ตอนที่ 210 ฝีมือขั้นสูง
พี่เฉินกลับมาถึงบ้านด้วยความโกรธปนโมโหอย่างสุดขีด หล่อนพรวดพราดเข้าไประบายความโกรธนี้กับลูกสาวที่กำลังนั่งแกะช็อกโกแลตแท่งอยู่ในบ้าน “แกนะแก ชอบทำให้ฉันขายหน้าอยู่เรื่อยเลยจริง ๆ ”
ชีเจียวเจียวไม่เคยกลัวแม่ของตัวเองอยู่แล้ว เมื่อได้ยินผู้เป็นแม่ต่อว่าเช่นนี้ หล่อนก็กลอกตาไปมาและบ่นกระปอดกระแปดตอกกลับไปทันทีว่า “หนูจะไปหาเรื่องให้แม่ขายหน้าได้ยังไง วัน ๆ หนูก็อยู่แต่ในบ้านเนี่ย”
“ฉันรู้หรอกว่าแกน่ะเอาแต่ดูโทรทัศน์จนตาแฉะทั้งวัน แล้วละครเรื่อง (เปาบุ้นจิ้น) นี่มันสนุกตรงไหนกัน ต่อให้แกพิศวาสตัวละครที่ชื่อจั่นเจานั่นมากขนาดไหน เขาก็ไม่มีทางจุติลงมาหาแกหรอก” พี่เฉินโกรธจนหน้าดำหน้าแดง จากนั้นหล่อนก็พูดต่อไปอีกว่า “แกอย่ามาทำหน้าหงิกหน้างอใส่ฉันนะ ตั้งใจเรียนให้มันเป็นหน้าเป็นตาแก่วงศ์ตระกูลหน่อยได้ไหม”
ชีเจียวเจียวเขวี้ยงช็อกโกแลตที่อยู่ในมือลงไปบนพื้นอย่างหมดความอดทน จากนั้นก็แผดเสียงโต้กลับไปว่า “แม่ยังไม่จบอีกหรือ โดนคนข้างนอกรังแกข่มเหงมา แต่แม่กลับเอามาลงที่หนูเนี่ยนะ”
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธนั้นเริ่มแดงก่ำ ปากแบะคว่ำเหมือนจะร้องไห้ พร้อมกับทรุดตัวลงไปนั่งข้างเตียงอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “แกก็รู้ว่าแม่ของแกโดนคนข้างนอกข่มเหงรังแกมา แล้วแกสมควรที่จะมาทำหน้าหงิกหน้างอใส่ฉันอย่างนั้นหรือ”
“แล้วใครรังแกแม่ล่ะ” ชีเจียวเจียวเบิกตากว้าง ราวกับเตรียมจะพุ่งตัวออกไปทะเลาะกับคนที่มารังแกแม่ของหล่อนอย่างไรอย่างนั้น
พี่เฉินถอนหายใจออกมา “จะใครซะอีกล่ะ คนสมัยนี้มักจะเหยียบย่ำคนที่อยู่ต่ำกว่า และมักจะเชิดชูคนที่อยู่สูงกว่า วันนี้ฉันไปที่บ้านคุณอากู้ของแกมา เพื่อที่จะไปพูดกับภรรยาของเขาเรื่องของแก ฉันตั้งใจว่าถ้าไม่ได้จริง ๆ ฉันก็จะช่วยเลี้ยงลูกของเธอ และให้เธอมาช่วยทบทวนบทเรียนให้แก แต่พอฉันไปถึงฉันก็เจอกับเหล่าบรรดาภรรยาของทหารที่อาศัยอยู่ที่บ้านฝั่งตะวันตก พอฉันพูดอะไรออกไปพวกหล่อนก็ขัด จนฉันพูดอะไรก็ผิดไปหมด สุดท้ายฉันโกรธก็เลยกลับมาบ้านนี่แหละ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชีเจียวเจียวก็ระเบิดอารมณ์ออกมาในทันที หล่อนกระโดดขึ้นไปบนเตียง จากนั้นก็ก้มลงมามองแม่ของตัวเอง ก่อนจะตะโกนออกไปว่า “แม่ยอมให้พวกหล่อนด่าอย่างนั้นหรือ ทำไมแม่ไม่ด่ากลับไปให้หนูล่ะ พวกหล่อนมีสิทธิ์อะไรมาว่าหนู”
พี่เฉินได้แต่พึมพำออกมาอย่างจนปัญญา “ก็เพราะเรื่องการเรียนแย่ ๆ ของแกนั่นแหละ อาสะใภ้กู้บอกว่าตัวเองเคยสอนแค่เด็กระดับชั้นประถมศึกษา เพราะอย่างนั้นเธอก็คงจะสอนเด็กระดับชั้นมัธยมอย่างแกไม่ได้ และยังบอกอีกว่าแกพูดจาแย่ ๆ ลับหลังเธอ ทุกคนก็เลยด่าแกว่าเป็นเด็กอกตัญญู ”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ พี่เฉินก็พูดออกไปเพราะอยากจะหลอมให้ลูกเป็นเด็กที่แกร่งกล้าว่า “แกก็เหมือนกัน แกจะไปพูดแบบนั้นทำไม แถมยังไปพูดให้ไห่เหยียนฟังอีก แกไม่รู้หรือว่า แม่ของหล่อนเป็นเหมือนไม้กวนอุจจาระที่ชอบสร้างปัญหาให้ยุ่งเหยิงมากกว่าเดิมน่ะ ห๊ะ ? ”
จีเชียวเชียวหน้าซีดเผือดในทันที แต่แล้วนัยน์ตาของหล่อนก็ฉายแววลึกลับยากที่จะคาดเดาออกมา จากนั้นหล่อนก็บ่นพึมพำอย่างคนวางมาดใหญ่โตเพื่อตบตาแม่ของหล่อนว่า “เธอกลัวว่าคนอื่นจะเอาสิ่งที่เธอทำกับหนูไปพูดน่ะสิ มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ เพราะอย่างนั้นเธอก็เลยมารังแกหนูแบบนี้ไง”
พี่เฉินเบิกตากว้างขึ้นมาในทันที “เธอรังแกอะไรแก เธอก็พูดแค่สองสามประโยคเองไม่ใช่หรือ และแกก็แค่ฟังเอง การที่ครูจะพูดสอนนักเรียนมันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่รึไง”
ชีเจียวเชียวโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที จากนั้นก็ยกเท้ากระทืบลงไปบนเตียงเพื่อระบายอารมณ์ “เธอมีสิทธิ์อะไรมาว่าหนูล่ะ หึ ! หรือเธอคิดว่าเธอสอนหนูได้ เธอก็ว่าหนูได้งั้นสิ พ่อของหนูยังไม่เคยว่าหนูเลยสักคำ แล้วคนอื่นมีสิทธิ์อะไรมาด่าหนูล่ะ”
ทันทีที่พี่เฉินได้ยินประโยคนี้ หล่อนก็ได้แต่พยักหน้าด้วยความเสียใจ “พูดอีกก็ถูกอีก พ่อของแกยังด่าแกไม่ลงเลย แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรมาด่าแก แกว่ามาสิว่า เธอด่าอะไรแก งั้นเราไปหาเธอดีไหม ? ”
ยิ่งเห็นชีเจียวเจียวเงียบ พี่เฉินก็ยิ่งร้อนใจเข้าไปอีก “แกพูดมาสิ เธอด่าอะไรแก”
“เธอสั่งให้หนูทำแบบฝึกหัดเยอะมาก แต่ยังไม่ทันที่หนูจะทำเสร็จ เธอก็บ่นว่าหนูมันไม่ได้เรื่องแค่นี้ก็ไม่เข้าใจ หนูอยากจะไปยืมนิยายของเธอมาอ่าน แต่เธอก็ไม่ให้หนูยืม หนูก็เลยแอบไปหยิบมาโดยที่ไม่ได้บอกเธอก่อน พอเธอมารู้ทีหลัง เธอก็บอกว่าไม่ต้องเอามันมาคืนแล้ว แต่หลังจากนี้ต่อไปหนูก็ไม่ต้องไปที่บ้านของเธออีก ชิ ! เธอคิดว่าเธอเป็นใครกัน ตัวเธอเองก็อาศัยอยู่ในบ้านของคุณอากู้เหมือนกันไม่ใช่รึไง คุณอากู้อนุญาตให้หนูเข้าไปอ่านได้ แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับหนูล่ะ” ชีเจียวเจียวพูดออกไปราวกับว่าหล่อนไม่ได้รับความเป็นธรรมมากอย่างไรอย่างนั้น เมื่อพี่เฉินได้ยินคำพูดของลูกสาว หล่อนก็หมดคำพูดขึ้นมาในทันที
“จะว่าไปแล้วคุณอากู้ของแกก็เป็นคนดีไม่ใช่เล่นเลยนะ แต่ภรรยาของเขานี่นิสัยไม่ดีเอาซะเลย” พี่เฉินได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยความเห็นใจ จากนั้นก็พูดกำชับกับลูกสาวของตัวเองว่า “หลังจากนี้แกก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ หลังจากที่แกเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว แกก็ต้องรีบมองหาเป้าหมายของตัวเอง แกก็เห็นอาสะใภ้กู้แล้วนี่ อากู้ของแกรักเธอราวกับไข่มุกเม็ดงามอย่างไรอย่างนั้น แถมยังบอกอีกว่า กว่าเธอจะมีชีวิตเหมือนอย่างทุกวันนี้ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เธอต้องพบเจอกับความลำบากมานักต่อนัก แต่ฉันก็ไม่เห็นว่าเธอจะลำบากตรงไหนเลย แค่กระเตง ๆ ลูกนั่งรถโดยสารประจำทางไปทำงานทุกวัน นั่งทำงานอยู่แต่ในร้าน ไม่ต้องตากฝน ไม่ต้องตากแดด เธอจ้างคนมาช่วยทำความสะอาดบ้าน 2 คน ส่วนเธอก็เอาแต่นั่งดูโทรทัศน์ เมื่อถึงเวลาก็ไปทำอาหาร ทำอาหารนิด ๆ หน่อย ๆ ก็บ่นว่าเหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้ว ”
ชีเจียวเจียวเองก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย “หนูก็เห็นเหมือนกัน คุณอากู้รักเอ็นดูเธอราวกับเด็กน้อยแรกเกิดอย่างไรอย่างนั้น ครั้งที่แล้วที่เขาซื้อเสื้อผ้ามาฝากหนู หนูก็เหลือบไปเห็นถุงขนมขนาดใหญ่จากต่างประเทศที่เขาซื้อมา และตอนนี้คังคังก็ยังกินไม่ได้อยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่คิดที่จะแบ่งให้หนูเลย เขาเอาขนมพวกนั้นให้ภรรยาของตัวเองหมด”
เมื่อนึกถึงขนมถุงสีม่วงที่แสนอร่อยนั้นขึ้นมา ชีเจียวเจียวก็อดที่จะน้ำลายไหลออกมาไม่ได้ ขนมนั่นอร่อยมาก หล่อนเคยเห็นจากที่อื่น ซึ่งแม่ของหล่อนก็ตัดใจซื้อมันให้หล่อนไม่ลง เพราะราคาของมันแพงเกินไป
สองแม่ลูกเอาแต่พูดแขวะจางฉุ้ยเหลียนยกใหญ่ เพราะพวกหล่อนคิดว่าเธอไม่มีตรงไหนที่เหมาะสมกับกู้จื้อเฉิงเลยสักนิด แต่สุดท้ายก็ติดเรื่องที่พวกหล่อนต้องไปขอร้องอ้อนวอนเธอ พวกหล่อนจึงทำได้เพียงแค่กลืนคำพูดเหล่านั้นลงไปอย่างเงียบ ๆ
ยิ่งใกล้ถึงวันปีใหม่กู้จื้อเฉิงก็ยิ่งส่งของไปให้ตระกูลชีมากขึ้น เพราะปีนี้ครอบครัวของพวกหล่อนไม่มีหัวหน้าครอบครัวอย่างผู้กำกับการชี และเขาก็รู้ว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่ใช่คนที่ชอบพาตัวเองไปแข่งขันกับใคร เขาจึงเอาของไปให้พี่เฉินหลังเลิกงานโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก
ในตอนนั้นเองชีเจียวเจียวก็กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในบ้าน จากนั้นหล่อนก็ได้ยินเสียงตะโกนที่คุ้นเคยดังมาจากหน้าบ้าน “พี่สะใภ้อยู่บ้านไหมครับ ? ”
หล่อนกระโดดเด้งตัวลุกขึ้นทันที หล่อนปิดโทรทัศน์และรีบเอาหนังสือมาเปิดทิ้งไว้ จากนั้นก็เดินไปลูบ ๆ จัดทรงผมอยู่หน้ากระจก เมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงได้พุ่งออกไปข้างนอกด้วยรอยยิ้มทันที จากนั้นก็เชิญกู้จื้อเฉิงให้เข้ามาในบ้าน หล่อนรินน้ำให้กับกู้จื้อเฉิงพลางพูดขึ้นว่า “แม่ไม่อยู่บ้านค่ะ หล่อนไปทำความสะอาดบ้านของคุณป้าเกอ”
กู้จื้อเฉิงพยักหน้าเป็นการตอบรับ ก่อนจะมองไปยังหนังสือเรียนที่เปิดกางเอาไว้อยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็คลี่ยิ้มพร้อมกับยื่นมือออกไปลูบศีรษะของหล่อนอย่างอ่อนโยน “เอาล่ะ ฉันเองก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรหรอก แค่จะเอาของมาให้ก็เท่านั้น ฉันคิดว่าที่บ้านของเธอน่าจะไม่มี ฉันก็เลยเอามาให้เป็นของขวัญรับปีใหม่ ถ้าขาดเหลืออะไรเธอก็รีบบอกคุณอากู้คนนี้ได้เลยนะ”
ชีเจียวเจียวก้มหน้าลงพร้อมกับเอ่ยปากพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “ที่บ้านเราไม่ขาดเหลืออะไรหรอกคะ คุณอากู้ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
กู้จื้อเฉิงจึงถามออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เรียนเหนื่อยไหม ปีใหม่ทั้งทีอย่ามัวแต่อุดอู้อยู่แต่ในบ้านล่ะ ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้าง”
ชีเจียวเจียวส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ “ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะ พื้นฐานของหนูไม่ดียิ่งต้องขยันมากขึ้น ถึงแม้ว่าคุณอาสะใภ้กู้จะไม่สอนหนูแล้ว แต่คะแนนของหนูก็จะตกลงไปอีกไม่ได้ ดั่งสุภาษิตที่ว่า ความขยันชดเชยความไม่เก่งได้ นกโง่ย่อมสามารถบินก่อนได้ ยังไงล่ะคะ”
เด็กคนนี้มีความคิดใช้ได้เลยทีเดียว กู้จื้อเฉิงอดที่จะถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ ไม่ได้ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เขาก็ล้วงมือเข้าไปหยิบเงินสดจำนวน 100 หยวนออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็ยื่นมันให้กับชีเจียวเจียว “อ่ะ นี่เงินปีใหม่ ถ้ามีหนังสืออะไรที่เป็นประโยชน์ เธอก็เอาเงินนี้ไปซื้อได้เลย ไม่ต้องไปเสียดายเงินนะ หรือเพื่อนร่วมชั้นของเธอซื้ออะไร เธอก็เอาเงินนี้ไปซื้อของเหมือนพวกเขาได้ และตราบใดที่เธอขยันเรียน เธอก็ต้องมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน”
ชีเจียวเจียวดันมือของกู้จื้อเฉิงกลับไป จากนั้นหล่อนก็ส่ายหน้าปฏิเสธ : “ไม่ได้หรอกค่ะ หนูคงรับเงินนี้เอาไว้ไม่ได้จริง ๆ คุณอากู้ช่วยเหลือเรามาเยอะแล้ว ถ้ายังร้องขอเรื่องเงินอีก เราก็คงจะละอายแก่ใจไม่น้อย หนูเองก็มีศักดิ์ศรี และมันก็ไม่ได้หายไปหลังจากที่พ่อของหนูจากไปหรอกนะคะ คุณอากู้คะ คุณอาเก็บมันไว้เถอะค่ะ หนูไม่อยากให้คนอื่นคิดว่า หนูเป็นเด็กไม่รู้ความ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น กู้จื้อเฉิงก็ยิ่งรู้สึกสงสารและเข้าใจหล่อนมากขึ้นไปอีก เขาทำได้แต่ถอนหายใจออกมาและวางเงินเอาไว้บนโต๊ะเท่านั้น จากนั้นเขาก็พูดออกไปเสียงเบาว่า “เธอไม่ต้องไปสนใจสายตาของคนอื่นหรอก สิ่งสำคัญก็คือใช้ชีวิตของตัวเองให้มีความสุขก็พอ ปกติแล้วฉันก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเธอเท่าไหร่นัก ถ้ามีอะไรไม่สบายใจ เธอก็ไปหาคุณอาสะใภ้ได้เลยนะ หล่อนจิตใจดี ถึงยังไงหล่อนก็ต้องช่วยเธออยู่แล้ว”
ชีเจียวเจียวเป็นเด็กที่ไม่เคยเข้าไปในเมือง แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็สามารถเลียนแบบเล่ห์เหลี่ยมเหล่านั้นของคนในเมืองได้ น้ำตาของหล่อนเอ่อล้นออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น จากนั้นหล่อนก็พรั่งพรูเรื่องที่แม่ของหล่อนได้รับความไม่เป็นธรรมจากจางฉุ้ยเหลียนออกมา หล่อนร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมกันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “หนูไม่รู้ว่าหนูไปทำอะไรให้คุณอาสะใภ้กู้ไม่ชอบใจ และหนูก็ไม่กล้าไปขอโทษหล่อนด้วย ฮือ ฮือ คุณอากู้ หนูไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะคะ”
แต่ถึงกระนั้นหล่อนก็ไม่ได้เล่าเรื่องที่ตัวเองทำแบบฝึกหัดที่จางฉุ้ยเหลียนมอบหมายให้หล่อนทำไม่เสร็จ รวมทั้งเรื่องที่หล่อนผลักคังคังให้กู้จื้อเฉิงฟังด้วย หล่อนบอกเพียงแค่ว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นไม่ชอบหล่อน ดังนั้นเธอจึงได้หาเหตุผลมาอ้างเพื่อจะได้ไม่ต้องสอนหล่อนอีก แถมหล่อนยังบอกอีกว่า หล่อนค่อนข้างเหนื่อยกับการเรียนในตอนนี้ของตัวเองมาก แม่ของหล่อนจะต้องไปกวาดหิมะด้วยความยากลำบากทุกวัน แถมยังต้องกลับมาทำอาหารให้หล่อนที่บ้านอีก
ยิ่งกู้จื้อเฉิงได้ฟัง ปมคิ้วของเขาก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน ในตอนนั้นเองพี่เฉินก็กลับเข้าบ้านมาพอดี หล่อนได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของลูกสาว หล่อนจึงร้อนใจขึ้นมาทันที
พี่เฉินเปิดประตูบ้านเข้ามาด้วยความร้อนใจ แต่เมื่อเห็นกู้จื้อเฉิงนั่งอยู่ในบ้าน หล่อนก็รู้สึกตกใจขึ้นมาไม่น้อย “ไอ้หยา อากู้มาเยี่ยมที่บ้านหรอกหรือ เอ๊ะ ! แล้วนี่เจียวเจียวร้องไห้ทำไม”
กู้จื้อเฉิงไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เขาก็จักรู้นิสัยของจางฉุ้ยเหลียนเป็นอย่างดี ถ้าไม่ได้บีบบังคับเธอ เธอไม่มีทางทำแบบนี้อย่างแน่นอน ส่วนคำพูดของเด็กคนนี้ เขาก็ไม่สามารถเชื่อมันได้อย่างสนิทใจ จึงได้แต่พูดเรื่องการเรียนของหล่อนออกไปเท่านั้น เมื่อพี่เฉินเห็นว่า กู้จื้อเฉิงพยายามพูดอธิบายเพื่อช่วยภรรยาของตัวเองแบบนี้ หล่อนก็รู้ได้ในทันทีเลยว่า มันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ หล่อนจึงได้เงยหน้าและหัวเราะออกมา
“ไอ้หยา แกนะแก ทำให้แม่ต้องเสียหน้าอีกแล้ว ที่ให้คุณอากู้มาเห็นเรื่องขบขันของเราแบบนี้” พี่เฉินพูดออกมาราวกับว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็ก
กู้จื้อเฉิงจึงรีบพูดอธิบายออกไปอย่างรวดเร็วว่า “คำพูดของครูก็เปรียบเสมือนคัมภีร์สัจธรรมที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ของนักเรียน คุณอาสะใภ้ทำไปก็เพื่ออยากให้เธอได้ดี เจียวเจียวของเราเป็นเด็กที่เข้มแข็งมาก เมื่อถูกต่อว่าแบบนั้นย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา”
เมื่อเห็นท่าทางครุ่นคิดของกู้จื้อเฉิง พี่เฉินก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง แล้วพูดออกไปว่า “ลูกสาวของฉันเอาเรื่องนี้ไปพูดกับไห่เหยียน เธอก็รู้ใช่ไหมล่ะว่าเด็กทุกคนมักจะกล้าพูด ไห่เหยียนก็เลยเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้แม่ของหล่อนฟัง เธอก็รู้ว่าปากของฟ่านจินเฟิ่งร้ายแรงมากขนาดไหน เพราะอย่างนั้นหล่อนก็เลยเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้คุณอาสะใภ้กู้ฟัง ยิ่งคำพูดพวกนี้แพร่กระจายออกไปมากเท่าไหร่ ความหมายของมันก็ยิ่งบิดเบือนมากขึ้นเท่านั้น วันนั้นคุณอาสะใภ้กู้ก็พูดกับฉันแล้ว ฉันก็เลยรู้สึกผิด ไอ้หยา งั้นก็ช่างมันเถอะ เราอย่าไปสร้างความลำบากใจให้คุณอาสะใภ้กู้เลยนะ ทบทวนบทเรียนอยู่ที่บ้านก็คงจะไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก ”
ถ้าจางฉุ้ยเหลียนอยู่ที่นี่ด้วย เธอจะต้องเชื่อคำพูดพวกนี้อย่างแน่นอน นึกไม่ถึงเลยว่าพี่เฉินจะมองเรื่องทุกอย่างได้ขาดแบบนี้ เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของหล่อนก็สามารถใส่ความคนอื่นได้แล้ว และยังแสดงให้เห็นว่าตัวเองนั้นเข้าใจและมีเหตุผลอีกต่างหาก ไม่ว่าจะมองยังไงเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของคนอื่น สุดท้ายความผิดทั้งหมดก็มาลงที่ฉุ้ยเหลียน ส่วนเจียวเจียวนั้นก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยที่บอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่านั้น
ในสายตาของกู้จื้อเฉิง จางฉุ้ยเหลียนก็เป็นคนที่มีจิตใจคับแคบมากคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมารังแกเด็กคนนี้
เมื่อพี่เฉินเห็นถุงของมากมายที่วางอยู่บนพื้น หล่อนก็ร้องออกมาด้วยความตกใจในทันที “ไอ้หยา ของพวกนี้เธอเอามาให้พวกเราหรือ”
กู้จื้อเฉินพยักหน้าเป็นการตอบรับ “ใช่ครับ ผมเอามาให้เป็นของขวัญปีใหม่ ผมรู้ว่าที่บ้านของพี่สะใภ้ต้องไม่มีของพวกนี้แน่ ๆ อีกอย่างผมกับภรรยาก็ไม่ได้ขาดแคลนของพวกนี้อยู่แล้ว ผมก็เลยเอามาให้พี่สะใภ้กับเจียวเจียว”
ดวงตาของหล่อนลุกวาวขึ้นมาทันที พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดปาก ก่อนจะลองถามหยั่งเชิงออกไปว่า “หลังจากที่เธอเลิกงาน เธอก็ตรงมาที่บ้านของเราเลยหรือ งั้นก็แสดงว่าเธอยังไม่ได้พูดกับภรรยาของเธอใช่ไหม ? ”
กู้จื้อเฉิงรู้สึกแปลกใจกับคำถามของพี่เฉินเป็นอย่างมาก แต่เขาก็พยักหน้าตอบรับอย่างซื่อตรง พี่เฉินตบมือลงไปบนหน้าขาของตัวเองอย่างแรง พร้อมกับส่งเสียงอุทานว่า “ไอ้หยา” ออกมา และรีบพูดด้วยสีหน้าร้อนใจว่า “อากู้ เราสองแม่ลูกซาบซึ้งในความดีของเธอมาก แต่การทำเรื่องดี ๆ ไม่เห็นจะต้องช่วยด้วยวิธีการนี้เลย บ้านของเธอก็ยังมีภรรยาและลูก เธอตรงมาที่นี่โดยที่ไม่บอกกล่าวภรรยาของเธอก่อน พอเธอกลับไปที่บ้าน เธอจะต้องทะเลาะกับภรรยาของเธอแน่”
ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง กู้จื้เฉิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาอยากจะพูดออกไปมากว่า บ้านของเขาไม่ได้ขาดแคลนของพวกนี้ จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ใช่คนที่มีจิตใจคับแคบแต่อย่างใด เขาโบกมือไปมาและพูดว่า “แค่ของเล็ก ๆ น้อย ๆ น่ะครับ ภรรยาของผมรู้อยู่แล้ว เลยบอกให้ผมเอาของพวกนี้มาให้ เดี๋ยวพอตอนที่เราจะย้ายก็ต้องมากลัดกลุ้มใจเพราะของเยอะอีก เราไม่อยากจะจ่ายเงินค่าขนของเพิ่มน่ะครับ”
พี่เฉินหันไปมองกู้จื้อเฉิงด้วยความร้อนใจ และพูดออกไปว่า “เธอนี่มันจริง ๆ เลย เธอซื่อตรงเกินไปจริง ๆ ภรรยาของเธอก็เห็นว่าเธอเอาของมาให้พวกเราสองแม่ลูก แต่หล่อนก็ไม่ได้ว่าอะไรเลยอย่างนั้นหรือ เธอไม่ได้บอกกล่าวหล่อนก่อนและนำของพวกนี้มาให้เราด้วยตัวเอง เพราะอย่างนั้นมันก็จะดูเหมือนกับว่า เธอให้ความสำคัญกับพวกเราสองแม่ลูกเป็นอย่างมาก เพราะอย่างนั้นแล้วต่อให้หล่อนจะใจกว้างมากแค่ไหน แต่หล่อนก็จะไม่รู้สึกอะไรเลยอย่างนั้นหรือ”
กู้จื้อเฉิงตกตะลึงในทันที เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องมันจะสลับซับซ้อนมากขนาดนี้ เมื่อเห็นท่าทางเข้าใจของกู้จื้อเฉิง พี่เฉินก็พูดออกไปด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ตอนนี้ข้างนอกก็เริ่มมีข่าวลือหนาหูแพร่สะพัดไปทั่วกรมทหารแล้ว เธอว่าการที่คนพวกนั้นเรียกเราสองแม่ลูกว่าเป็นหญิงหม้ายกับลูกกำพร้าพ่อ มันก็ฟังดูไม่ดีใช่ไหมล่ะ อากู้ ต่อไปเธอก็คงจะมาที่บ้านของเราไม่ได้แล้ว ฉันกับลูกไม่เป็นอะไรหรอกนะ ! แต่ภรรยาของเธอน่ะสิไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว”
MANGA DISCUSSION