ตอนที่ 207 หลอกลวง
ใบหน้าของจางฉุ้ยเหลียนซีดเผือดลงไปทันที เธอมองไปที่กู้จื้อเฉิงพลางทำท่าทางครุ่นคิด “หรือว่าจะเป็นหล่อน แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง ? ”
กู้จื้อเฉิงขมวดคิ้วแน่น “มีเพียงแค่สองสามีภรรยาคู่นั้นเท่านั้นที่จะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่พวกเขาแล้วจะเป็นใครได้อีกล่ะ”
“แต่ปกติแล้วหล่อนก็มักจะเงียบและพูดน้อย เพราะอย่างนั้นแล้วปฏิสัมพันธ์ของหล่อนกับคนอื่นมันก็ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่” จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เธอได้รับรู้ และเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาไม่น้อย
“เพราะฉะนั้นไม่ว่าหล่อนจะพูดอะไรก็มักจะมีคนเชื่ออยู่เสมอยังไงล่ะ ความซื่อสัตย์ที่พึงกระทำจึงไม่ส่อแววออกมาให้ใครต้องสงสัย เวลาพูดอะไรจึงไม่มีใครสังเกตเห็น” กู้จื้อเฉิงคิดเรื่องนี้ได้ตั้งนานแล้ว เพราะมันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจนเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อ
“ฉันรู้สึกดีกับหล่อนมากกว่าซูหยาซิ่วอีกนะ ฉันให้ซิ่วซิ่วยังไง ฉันก็จะให้หล่อนแบบนั้น ความชอบของหล่อนก็คล้ายคลึงกับฉัน ในตอนที่เราสองคนคุยกันเรื่องนิยายความรักในหอแดง หล่อนก็มักจะแสดงทัศนคติที่เหมือน ๆ กับฉันออกมาอยู่เสมอ ฉันชอบให้หล่อนอยู่ข้าง ๆ ตัวฉัน ต่อให้หล่อนจะเงียบไม่พูดไม่จา แต่หล่อนก็ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นใจได้อย่างบอกไม่ถูก” จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกว่าคนที่มีความคิดที่เหมือนกับเธอมากที่สุดก็คือหลี่หยู่หวา เธอสนิทกับหล่อนถึงขั้นสามารถเรียกชื่อเดิมของหล่อนว่า “โอวข่า” ได้โดยที่หล่อนไม่โกรธเคือง
ลูก ๆ ทั้งสองคนของหลี่หยู่หวานั้นอยู่ที่บ้านเกิดของหล่อน ตอนที่หล่อนเตรียมตัวจะกลับไปเยี่ยมลูก ๆ ของตัวเองที่บ้าน หล่อนก็มักจะซื้อของกลับไปฝากพวกเขาด้วยเสมอ และจางฉุ้ยเหลียนก็มักจะให้ซอสพริกติดตัวหล่อนกลับไปด้วยเช่นเดียวกัน
“ซูหยาซิ่วเป็นคนที่ปากพล่อยไม่มีหูรูดมากคนหนึ่ง บางครั้งก็มักจะพูดนินทาเรื่องแย่ ๆ ออกมาจนทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจ ส่วนผู้หญิงคนนี้เป็นคนไม่ชอบพูด เวลาที่หล่อนพูดออกมาครั้งหนึ่งมันก็มักจะเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับเธอเสมอ เพราะอย่างนั้นการที่เธอชอบหล่อนมากกว่ามันก็เป็นเรื่องธรรมดา” อะไรที่ว่าดี เธอก็มักจะแบ่งให้หล่อนด้วยเสมอ เธอให้หมดทุกสิ่งอย่าง จนเกือบจะแบ่งปันผู้ชายของตัวเองให้หล่อนไปแล้วด้วยซ้ำ
หลี่หยู่หวาและซูหยาซิ่วมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในบ้านของจางฉุ้ยเหลียนเสมอ ถ้าอยากจะรู้อะไร มีสินค้าตัวไหนนำเข้ามาบ้าง ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ซึ่งหล่อนเองก็ไม่มีอะไรต้องกังวลด้วย และถ้าจางฉุ้ยเหลียนพูดอะไรบางอย่างที่ไม่สมควรพูดออกมา จนพวกหล่อนสามารถจับจุดอ่อนได้มันก็จะยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับซูหยาซิ่วแล้ว คำพูดที่โพล่งออกมาจากปากหลี่หยู่หวานั้นมันก็ดูน่าเชื่อถือมากกว่าคำพูดที่ออกมาจากฝีปากอันคมกริบของซูหยาซิ่ว คำพูดเหมือนกัน แต่ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของหลี่หยู่หวา มันกลับเต็มไปด้วยเจตนาที่ร้ายแรงยิ่งกว่าความจริงที่ออกมาจากปากของซูหยาซิ่ว
ดังนั้นสุนัขที่ชอบกัดคนอื่นมักจะไม่ชอบเห่า แต่คนที่ชอบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังของเธอและผลักไสเธอ อาจจะเป็นคนที่เธอคาดไม่ถึงก็ได้
แต่จางฉุ้ยเหลียนไม่เชื่อกู้จื้อเฉิงเลยสักนิด เพราะสวี๋ต้าหยงสามีของหลี่หยู่หวาก็เป็นคนที่ไม่ชอบพูดเหมือนกัน ปกติแล้วเขาก็เป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรเสี่ยง ๆ อยู่แล้ว รอยยิ้มอันใสซื่อของเขาก็ได้เผยให้เห็นถึงฟันที่ขาวเด่นสะดุดตา ทั้งสองคนต่างก็ใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่ายและเงียบ ๆ อาศัยผัดกาดขาว หัวไชเท้า ดอกบอลลูนกินคู่กับซอสพริกหม่าล่าในการประทังชีวิต
แต่ความกระล่อนเจ้าเล่ห์ และมีไหวพริบของกงเหลียนเซิ่งสามีของซูหยาซิ่วนั้น คล้ายกับผีหลอกเจ้าอย่างไรอย่างนั้น เขามักจะขุดหลุมฝังตัวเองอยู่เสมอ ๆ แต่เวลาที่เขาจะเล่นงานใครเขาก็จะมีเส้นตายของเขา ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ซื่อตรงแต่กลับเป็นเรื่องที่ไม่เคยออกนอกกรอบแต่อย่างใด เขามักจะกล้าพูดเรื่องที่ไม่อาจจะทนดูอยู่เฉย ๆ ได้ จุดเด่นในด้านนี้เหมือนกับภรรยาของเขาไม่มีผิดเพี้ยน
สำหรับสองสามีภรรยา มันคือวาสนาที่มีต่อกัน ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่ครอบครัวหนึ่งจะเข้ากับอีกครอบครัวหนึ่งไม่ได้ สำหรับสายตาของคนภายนอก หลี่หยู่หวาและสวี๋ต้าหยงนั้นเป็นคนที่ซื่อตรงมาก อีกทั้งการคัดเลือกในครั้งนี้ก็มีคนคอยผลักดันสนับสนุนเขาให้ขึ้นไปรับตำแหน่งนี้อีกด้วย ทุกคนควรที่จะให้โอกาสคนที่ทำงานตรากตรำอยู่เบื้องหลังอย่างเงียบ ๆ ให้สมกับความมุ่งมั่นของเขา
ตรงกันข้ามกับกงเหลียนเซิ่ง เจ้าหมอนี่ชอบกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจอยู่ตลอดเวลา เมื่อหัวหน้าเห็นเข้าก็รู้สึกปวดจี๊ดที่ก้านสมองขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ก็ยังใจแข็งปล่อยวางมันไปได้ เขารู้จักแยกแยะ รู้วิธีการรุกและถอย เห็นได้ชัดว่ากงเหลียนเซิ่งเป็นคนแรกที่มักจะประชาสัมพันธ์เรื่องต่าง ๆ ออกไป ถ้าให้เจ้าหมอนี่อยู่ข้างกาย ถึงแม้ว่าจะเสียงดังไปหน่อย แต่เขาก็มีประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว
อีกทั้งกงเหลียนเซิ่งก็เหมาะสมกับการนายทหารพลเรือนที่สุด ซึ่งเขาเองก็อยากจะย้ายไปอยู่หน่วยงานนั้นด้วยเช่นกัน เพราะอย่างนั้นเขาก็ไม่มีเรื่องที่จะต้องทะเลาะเบาะแว้งกับกู้จื้อเฉิงและเพื่อนอีกสองคนที่อยู่ที่นี่ เมื่อเปรียบเทียบกับทั้งสองคนแล้ว ความขี้สงสัยของกงเหลียนเซิ่งนั้นค่อนข้างมากเลยทีเดียว
นี่เป็นเรื่องที่สองสามีภรรยาตระกูลกู้ไม่อยากจะประสบพบเจอมากที่สุด ความรู้สึกที่เย็นวาบไปทั่วสันหลังได้บังเกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่ในเมื่อเรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ทั้งสองคนจึงทำได้เพียงแค่ทอดถอนใจออกมาที่ไม่อาจจะโต้แย้งอะไรกลับไปได้
โชคดีที่ให้พวกเขาทั้งสองคนตกรอบไปก่อน จึงได้แต่ยืนมองพวกเขาปล่อยไก่ No No No! พวกเขาช่างเป็นเด็กน้อยที่ไร้เดียงสามากที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ ช่างเป็นวันเวลาที่ยาวนานมากจริง ๆ
(สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ หมายความว่า เรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน)
สองสามีภรรยาตระกูลกู้ต่างก็คิดทบทวนพิจารณาเรื่องราวของตัวเองเงียบ ๆ จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกว่าการเป็นคนดีมันค่อนข้างที่จะไร้เดียงสาเกินไปหน่อย เธอไม่เคยมีจิตใจที่คิดอยากจะปองร้ายคนอื่น และไม่มีความสามารถในการแยะแยะความคิดแย่ ๆ ของคนอื่นด้วย
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ทำตัวเหินห่างกับหลี่หยู่หวาแต่อย่างใด เพียงแค่อยากจะสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองของหล่อนอย่างเงียบ ๆ ก็เท่านั้น มีหลายครั้งที่เธอเองก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งหัวใจไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอพูดเรื่องการงานของกู้จื้อเฉิง หล่อนแสร้งทำเป็นแสดงออกถึงความห่วงใยและพูดออกมาด้วยความโศกเศร้ามากกว่าปกติ ถ้าเธอยอมรับฟังและยิ้มเหมือนเมื่อก่อน เรื่องนี้สำหรับจางฉุ้ยเหลียนและกู้จื้อเฉิงมันก็จะเป็นเหมือนดั่งคำสุภาษิตที่ว่า เอาใจคนต่ำต้อยวัดท้องสุภาพบุรุษ
(เอาใจคนต่ำต้อยวัดท้องสุภาพบุรุษ หมายความว่า ใช้ความคิดเห็นที่เลวไปคาดเดาคนที่มีคุณธรรมสูงส่ง)
บวกกับการจูงใจด้วยวัตถุสิ่งของด้วยแล้ว นั่นยิ่งทำให้ป้าหยูเชื่อคำพูดของหล่อนเข้าไปใหญ่ และมันก็เป็นอย่างที่จางฉุ้ยเหลียนคิดเอาไว้จริง ๆ หลี่หยู่หวามีความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อกับ ‘คนใหญ่คนโต’ ที่พักอาศัยอยู่บ้านทางฝั่งทิศตะวันออก ซึ่งพวกเขาก็รู้เรื่องราวที่เกี่ยวกับครอบครัวตระกูลกู้มาจากปากของหล่อน แม้กระทั่งชุดนอนสีแดงสุดเซ็กซี่ที่เธอเตรียมไว้ใช้ในวันเข้าหอ ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่บ้างฝั่งตะวันออกก็รู้เรื่องนี้ และคนพวกนั้นต่างก็พากันหัวเราะเยาะเธอ เพราะอย่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจว่า จะต้องมีใครบางคนเป็นนังผู้หญิงเลวทรามต่ำช้าอย่างแน่นอน
จางฉุ้ยเหลียนไม่กลัวผู้หญิงที่ชอบหาเรื่องทะเลาะต่อหน้า แต่เธอกลัวผู้หญิงแพศยาเลวทรามต่ำช้าและชอบแทงข้างหลังคนอื่น ต่อหน้าพยายามตีสนิทแต่พอลับหลังกลับนินทาว่าร้ายจนเธอถลอกปอกเปิกไปทั้งตัว มีความสามารถในการบิดเบือนความจริงเป็นที่หนึ่ง กลบเกลื่อนบิดเบือนข้อเท็จจริงจนไม่มีใครคิดว่าจะเป็นศัตรูได้
ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี 1993 ราคาวัตถุดิบก็มีราคาสูงขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ มีการรายงานข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ จางฉุ้ยเหลียนไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่า เรื่องนี้จะทำให้ก่อเกิดภาวะเงินเฟ้อหรือไม่ แต่สำหรับความรู้สึกของตัวเธอในตอนนี้ ประเทศต้องทำการปฏิรูปครั้งใหม่
จางฉุ้ยเหลียนนึกย้อนกลับไปในห้วงแห่งความทรงจำ ดูเหมือนว่าบริษัทเก่าแก่จำนวนมากต่างก็เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 1995 และส่วนใหญ่ต่างก็เริ่มสร้างในช่วงเวลานี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอาจจะมีการปฏิรูปครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์
ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะไม่รู้ว่านี่มันคืออะไร แต่ในใจของก็เธอรู้สึกว่า มันกำลังจะมีพายุฝนที่พร้อมจะสาดโหมกระหน่ำเข้ามาอย่างไม่มีข้อยกเว้น
ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของจางฉุ้ยเหลียนขายดีเป็นเทน้ำเทท่า การปรากฏตัวของคู่แข่งนั้นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าการค้าของเธอนั้นมีแนวโน้มไปในทางที่ดี และนี่มันก็เป็นปรากฏการณ์ทั่วไปในหมู่นักธุรกิจจีน ถ้าพวกเขาพบว่าการทำแบบนี้เธอสามารถสร้างเงินได้ งั้นฉันก็ต้องทำตามได้เหมือนกับการเลียนแบบสูตรสำเร็จรูป แต่นี่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน ในมุมมองของเศรษฐกิจย่อมเป็นเรื่องที่ดี
คู่แข่งบางคนก็พร้อมที่จะเชือดเฉือนผลกำไรของคุณ ในความเป็นจริงยิ่งมีคู่แข่งมากขึ้นเท่าไหรก็จะยิ่งดึงดูดผู้บริโภคในระยะยาวได้มากขึ้นเท่านั้น สามารถขยายขอบเขตออกไปได้กว้างขวางมากขึ้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมธุรกิจค้าปลีกจึงขายได้ดีกว่าร้านค้าที่แยกตัวออกไปเดี่ยว ๆ
เพียงแต่การขนส่งนั้นค่อนข้างที่จะยุ่งยากไม่น้อยเลยทีเดียว จางฉุ้ยเหลียนไม่สามารถทำคนเดียวได้ เธอจึงจำเป็นต้องจ้างคนมาช่วย ยิ่งนานวันเข้าจางฉุ้ยเหลียนก็ยิ่งทำไม่ทัน เพราะอย่างนั้นเธอก็เลยตัดสินใจจ้างคนส่งสินค้าเพิ่มอีก 2 คน มารับหน้าที่ขนส่งสินค้าและติดตั้ง
ปกติแล้วจางฉุ้ยเหลียนจะคอยบ่นกระปอดกระแปดกับกู้จื้อเฉิงอยู่บ่อย ๆ เธอพร่ำบอกเสมอว่าบริษัทโลจิสติกส์ในยุคสมัยใหม่นั้นดีกว่ายุคสมัยนี้มากแค่ไหน และสมบูรณ์แบบมากแค่ไหน เธออยากให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่ดูท่าแล้วยังต้องรอต่อไปอีก 20 ปี
กู้จื้อเฉิงรู้สึกตื่นเต้นภายในใจเล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกว่าโอกาสนั้นยังมาไม่ถึง ถึงแม้ว่าโอกาสของพวกเขาจะยังมาไม่ถึง แต่โอกาสของชีเจียวเจียวก็มาถึงแล้ว
การประชุมผู้ปกครองครั้งนี้ คุณครูได้แจ้งว่ากำหนดการสอบกลางภาคจะสอบในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ พี่เฉินรีบวิ่งมาขอคำปรึกษากับจางฉุ้ยเหลียนด้วยความรีบร้อน บอกว่าการเรียนของชีเจียวเจียวนั้นไม่ค่อยดีเลย หล่อนถามจางฉุ้ยเหลียนว่าจะสามารถช่วยทบทวนบทเรียนให้ลูกสาวของหล่อนได้รึเปล่า
ตอนกลางวันจางฉุ้ยเหลียนจะต้องทำงาน พอเธอกลับมาถึงบ้านก็ค่ำมืดแล้ว แถมเธอยังต้องเขียนต้นฉบับและยังต้องพูดคุยกับกู้จื้อเฉิงอีกด้วย เธอจะยอมเอาเวลาพักผ่อนนั้นไปสอนลูกสาวของหล่อนฟรี ๆ ได้ยังไง เพราะอย่างนั้นเธอเลยบอกไปว่า ตัวเองนั้นไม่มีเวลาว่างมากพอ และแนะนำให้พี่เฉินไปจ้างครูมาช่วยทบทวนบทเรียนให้ชีเจียวเจียวจะดีกว่า
“ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ให้หล่อนไปลงสมัครโรงเรียนการพยาบาล ในอนาคตหล่อนก็จะได้ออกมาเป็นนางพยาบาลที่มีเงินเดือนที่ดี โรงพยาบาลนั้นเป็นหน่วยงานที่ดีมากแห่งหนึ่ง สวัสดิการก็ดี เงินเดือนก็เสถียร หาสามีที่ดีสักคน แค่นี้พี่ก็น่าจะวางใจได้แล้วไม่ใช่หรือ” จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจอะไร เพราะเธอก็แค่อยากจะหลีกเลี่ยงอีกฝ่ายก็เท่านั้น
แต่เธอกลับนึกไม่ถึงเลยว่าพี่เฉินจะไปดักรอกู้จื้อเฉิงระหว่างทาง เมื่อเจอกับกู้จื้อเฉิง หล่อนก็ทำการบีบน้ำตาพลางพูดขึ้นว่า : “เพราะเรื่องการจากไปของผู้เป็นพ่อ เจียวเจียวจึงเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ไม่มีกระจิตกระใจจะเรียนต่อ หลังจากที่คะแนนออกมาแล้ว ฉันก็พบว่าหล่อนร่วงหล่นไปอยู่อับดับที่สุดท้าย เพราะฉะนั้นการจะสอบกลางภาคมันก็ย่อมเป็นเรื่องที่ยากกว่าเดิม ภรรยาของเธอก็ไม่ยอมช่วย ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร”
กู้จื้อเฉิงคลี่ยิ้มออกมาและพูดว่า “งั้นก็หมดหนทางแล้วล่ะครับ พี่ก็เห็นไม่ใช่หรือครับว่า ช่วงนี้จางฉุ้ยเหลียนยุ่งมากขนาดไหน กลางวันก็ยุ่งจนหัวฟูกับธุรกิจในร้านค้าของตัวเอง ตกดึกก็ต้องรีบกลับมาทำอาหาร ซักผ้า ดูแลลูก และหาเวลาว่างมาเขียนต้นฉบับอีก ขนาดเวลาที่หล่อนจะได้หลับอย่างสบายยังไม่มีเลย ผมเข้าใจในความลำบากของพี่นะ แต่เรื่องนี้จางฉุ้ยเหลียนก็ช่วยไม่ได้จริง ๆ ”
พี่เฉินนึกไม่ถึงเลยว่ากู้จื้อเฉิงจะปกป้องภรรยาของตัวเองมากขนาดนี้ เขาพูดราวกับว่าภรรยาของเขานั้นเหนื่อยจนแทบขาดใจแล้วอย่างไรอย่างนั้น เมื่อได้ยินเช่นนั้นหล่อนจึงได้แต่ปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น “เรื่องที่พี่ชีเป็นห่วงมากที่สุดในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็คือ ผลการเรียนของเจียวเจียว เขาอยากให้หล่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ เธอดูสิ หลังจากที่เขาจากไปการเรียนของเจียวเจียวก็ตกลงไปทันที เมื่อมันเป็นแบบนี้ ฉันจะมีหน้าไปพบเขาในยมโลกได้ยังไง”
กู้จื้อเฉิงได้ยินแบบนั้น เขาก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เขาขมวดคิ้วและพูดออกไปว่า “งั้นพี่ลองไปคุยกับครูของหล่อนดูก่อนไหมครับ ว่าให้ครูช่วยทบทวนบทเรียนให้หล่อนวันละ 1 ชั่วโมงหลังเลิกเรียนทุกวัน ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ไปสมัครเรียนพิเศษในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ได้ เราก็จะช่วยออกค่าเรียนพิเศษให้นิดหน่อยด้วย”
พี่เฉินบ่นพึมพำออกมาด้วยความไม่พอใจ “ได้ยังไงกัน ครอบครัวของฉันออกจะลำบากขนาดนี้ เราฉันจะไปหาเงินมาจากไหนให้หล่อนเรียนพิเศษล่ะ ไอ้หยา”
เมื่อได้ยินดังนั้น กู้จื้อเฉิงก็เริ่มฉุนเฉียวขึ้นมาทันที “ในเมื่อคะแนนของเจียวเจียวไม่ดี ทางที่ดีที่สุดก็คือให้หล่อนไปทบทวนบทเรียนกับครูของตัวเอง มีปัญหาตรงไหนก็ต้องไปแก้ไขตรงนั้น ฉุ้ยเหลียนไม่ใช่ครูของหล่อน คงจะช่วยหล่อนไม่ได้”
พี่เฉินกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่กู้จื้อเฉิงกลับหันขวับไปจ้องหน้าหล่อนและพูดว่า “พี่สะใภ้ อย่าหาว่าผมพูดจาทำร้ายจิตใจเลยนะครับ เรื่องของเจียวเจียว พี่สะใภ้ต้องให้ความสนใจกับหล่อนมากกว่านี้ หล่อนเพิ่งจะขึ้นมัธยมต้น เพิ่งเข้าสู่สนามสอบครั้งแรก แต่คะแนนกลับแย่มากขนาดนี้ ถึงตอนนี้จะยังทำคะแนนได้ไม่ดี แต่หล่อนก็ยังมีเวลาอีกหลายปี”
พี่เฉินรู้สึกรำคาญใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็พล่ามกลับไปด้วยความไม่พอใจว่า “เพราะหล่อนคิดถึงพ่อของหล่อนไง หล่อนเอาแต่ร้องไห้ทุกวันหลังจากที่กลับบ้านมาเจอของใช้ของพ่อตัวเอง ไอ้หยา เธอลองบอกฉันมาสิว่า ฉันควรจะทำยังไง”
กู้จื้อเฉิงจึงโต้แย้งกลับไปว่า “ในเมื่อหล่อนคิดถึงพ่อขนาดนั้น แต่พี่สะใภ้กลับไม่รู้ว่าควรจะต้องทำยังไงอย่างนั้นหรือครับ ในเมื่อพี่รู้ว่าเรื่องที่พี่ชีเป็นห่วงมากที่สุดก็คือ เรื่องผลการเรียนของหล่อน หวังให้หล่อนได้สอบเข้ามหาวิทยาลัย แล้วทำไมพี่ไม่ยอมเปลี่ยนจากความเศร้าให้กลายมาเป็นพลังล่ะครับ ความขยันหมั่นเพียรของหล่อนอาจจะปลอบประโลมจิตวิญญาณของผู้กำกับการชีที่อยู่บนสวรรค์ก็ได้ ”
พี่เฉินนึกไม่ถึงเลยว่ากู้จื้อเฉิงจะพูดออกมาเช่นนี้ หล่อนถึงกับหมดคำพูดขึ้นมาทันที จากนั้นก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี สุดท้ายก็หาข้ออ้างโดยการบอกว่าต้องกลับไปทำอาหารที่บ้าน เมื่อพูดจบก็เดินจากไปทันที
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ชีเจียวเจียวก็รีบรุดหน้าเข้ามาหาทันที จากนั้นหล่อนก็เอ่ยปากถามด้วยความคาดหวังว่า “เป็นยังไงบ้าง คุณอากู้ตกลงไหมคะ ? ”
พี่เฉินแสดงสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก จากนั้นก็เดินไปนั่งบนเตียงด้วยความไม่สบอารมณ์ ชีเจียวเจียวยืนอยู่ตรงหน้าของหล่อน และถามขึ้นด้วยความระมัดระวังตัวว่า “เป็นอะไรไปคะ คุณอากู้ไม่ยอมตกลงอย่างนั้นหรือ”
“เด็กคนนี้นี่ ชอบทำให้แม่อับอายขายขี้หน้าจริง ๆ จนถึงตอนนี้แม่ยังตกใจกับคำพูดของคุณอากู้ไม่หาย แม่อยากจะแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยจริง ๆ ” พี่เฉินหมุนตัวไปทางอื่นอย่างไม่สบอารมณ์
ชีเจียวเจียวจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงผิดหวังว่า “เขาไม่ยอมให้หนูไปทบทวนบนเรียนที่บ้านของพวกเขาหรือ”
พี่เฉินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ลูกสาวฟัง จากนั้นก็บุ้ยปาก และพูดออกไปว่า “คุณอากู้รักจางฉุ้ยเหลียนมาก เลยไม่ยอมให้หล่อนมารับใช้ลูก เหอะ ! ”
ชีเจียวเจียวแสดงท่าทีไม่ได้รับความเป็นธรรมออกมา จากนั้นก็อ้าปากบ่นพึมพำออกไปว่า “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ เขาเคยบอกว่าจะดูแลหนูต่อหน้าศพของพ่อ แต่ไม่กี่วันผ่านไป เขาก็ไม่สนใจหนูซะแล้ว”
พี่เฉินถอนหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ไอ้หยา เขาคงไม่ทำแบบนั้นหรอก แค่พูดจาให้สวยหรูดูดีไปงั้นแหละ เหอะ ! สุดท้ายก็หลอกลวงทั้งนั้น”
MANGA DISCUSSION