ตอนที่ 202 มีคนสละชีพ
“ฉันจะบอกความจริงกับเธอก็ได้ว่า ตอนที่พวกเราสองคนเจอกันบนรถไฟในตอนนั้น ฉันก็ได้แต่บ่นพึมพำในใจว่า เธอก็ออกจะดีซะขนาดนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฐานะ หรือว่าการศึกษา แต่ทำไมเธอต้องย้ายมาอยู่ในสถานที่ทุรกันดารแบบนี้ด้วย และการที่คนอย่างเธอย้ายมาอยู่ในที่แบบนี้ ก็เป็นเพราะผู้ชายใช่ไหมล่ะ” อาจเป็นเพราะจางฉุ้ยเหลียนทำท่าจะเดินหนีไป ติงเหมยก็เลยบอกความจริงในใจออกมา
“ถ้าเธอไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ ฉันก็จะดีใจมากเลย เพราะทุกคนที่นี่ต่างก็ไม่เคยเจอผู้หญิงที่แกร่งกว่าฉันมาก่อน แต่พอเธอย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ทุกคนก็เปลี่ยนไปหมด ตอนนั้นเธอมาด้วยสไตล์การแต่งตัวที่ทันสมัย ถึงแม้ว่าตอนนั้นพวกหล่อนจะดูถูกเธอ แต่ลับหลังเธอ พวกหล่อนก็อยากจะแต่งตัวเหมือนเธอกันจะตาย เธอแต่งตัวด้วยเสื้อไหมพรมคอกลม ฉันคิดว่ามันสวยมาก และให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ต่างประเทศอะไรทำนองนั้น แต่ก็มีบางคนที่พูดกันว่าตอนนี้เธอก็แต่งงานแล้ว จะมาแต่งตัวเหมือนพวกนักศึกษาแบบนี้ มันก็ดูไม่เหมาะสมเอาเสียเลย แต่พอลับหลังพวกหล่อนก็พากันไปเย็บคอปกหลอก ๆ เพื่อเอามาเย็บติดกับคอเสื้อ เหอะ ! คนแบบนี้ก็มักจะอิจฉาตาร้อนคนอื่นอยู่เสมอ”
ติงเหมยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ก่อนจะมองไปทางจางฉุ้ยเหลียนด้วยรอยยิ้ม และพูดว่า “ฉันล่ะอิจฉาคนแบบเธอจริง ๆ ด้วยความที่เธอไม่ได้สนใจสายตาของคนอื่น เธอก็เลยไม่ได้สังเกตเห็นว่าคนอื่นกำลังคิดอะไรอยู่ ขนาดชุดพนักงานร้านอาหารเธอก็ยังใส่ออกมาดูดีเลย ไม่ใช่สิ เธอเป็นคนเดียวที่มีอำนาจสั่งการที่สุดในบ้าน ”
“การแต่งตัวดูดีสะอาดสะอ้านไม่ใช่จุดประสงค์หลักหรอกนะ แต่เพราะฉันรู้สึกว่าภาพลักษณ์ที่ดีจะทำให้ฉันรู้สึกมั่นใจมากขึ้น แต่ความมั่นใจนี้มันก็ไม่ใช่เงินฝาก และก็ไม่ใช่รายได้ที่จะได้รับด้วย แต่เธอก็ต้องมองมันให้ชัดเจน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำงานหาเงินด้วยตัวเอง แต่เธอก็ยังเป็นหน้าเป็นตาให้กับครอบครัวของเธอได้ พวกเธอสองคนต่างก็มีความเท่าเทียมกัน” คำพูดของจางฉุ้ยเหลียนทำให้ติงเหมยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระมาก
“เท่าเทียมอะไรกันล่ะ ผู้ชายกับผู้หญิงไม่เคยมีความเท่าเทียมกันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ผู้หญิงคนหนึ่งจะต้องปรนนิบัติรับใช้ผู้ชายและคลอดลูก จนมันกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานแล้ว”
จางฉุ้ยเหลียนอยากจะพูดกับหล่อนว่า ผู้หญิงที่แต่งตัวดูดีสะอาดสะอ้านไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นรู้สึกว่าเธอดูดี และก็ไม่ใช่เพื่อดึงดูดผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่สามีของตัวเองด้วย แต่มันเป็นการให้ความเคารพตัวเองรูปแบบหนึ่งต่างหากล่ะ
แล้วถ้าภรรยาปล่อยตัวเองให้ดูโทรม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ถึงแม้ว่าเธออยากจะทำแบบนั้นมันก็ไม่ผิดหรอก เธอสบายใจที่จะทำแบบไหนก็ทำแบบนั้น แต่ถ้าเธอปล่อยตัวเองให้โทรม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ทุกครั้งที่สามีของเธอเลิกงานกลับมาถึงบ้าน เธอจะแบกรับสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจของอีกฝ่ายได้อย่างนั้นหรือ
ภรรยาอย่างเราไม่ได้งอมืองอเท้า ไม่ได้นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่เฉย ๆ โดยที่ไม่ทำงานหรอกนะ สถานะของเธอคือภรรยา ทุกอย่างที่อยู่ในบ้านต่างก็เป็นหน้าที่ของผู้หญิงอย่างเราทั้งนั้น ถ้าเธอเอาแต่นอนขี้เกียจดูโทรทัศน์อยู่บนเตียง แทะเมล็ดทานตะวันอย่างสบายใจ วันหนึ่งถ้าเกิดว่ามีแขกมาเยี่ยมบ้าน เธอก็คงจะไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวยังไง
เหล่าบรรดาสามีต่างก็รู้ถึงความลำบากของภรรยาที่จะต้องเลี้ยงลูกอยู่บ้านเป็นอย่างดี แต่ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดี แต่เขาก็อาจจะมองไม่เห็นมัน เขากลับมาถึงบ้านและเห็นภรรยาแต่งตัวซอมซ่อด้วยเสื้อผ้าตัวเก่าไม่เรียบร้อย บ้านรกไม่เป็นระเบียบ ลูกก็ร้องไห้โยเย ภรรยาก็เอาแต่บ่นพึมพำไม่หยุดว่า “ในที่สุดคุณก็กลับมาสักที ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว”
จะมีใครบ้างล่ะที่จะรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากภาพที่เห็นเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายที่ได้รับความกดดันมหาศาลจากที่ทำงาน เขามักจะคิดว่าคุณไม่มีเวลาทำความสะอาดบ้านเลยแม้สักครึ่งชั่วโมงหรือว่าสัก 10 นาทีเลยหรือ หรือคุณแค่ไปล้างหน้าล้างตาแปรงฟัน ขจัดใบหน้าที่แสนเหนื่อยล้าออกไป ไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ
ในยุคสมัยนี้ ผู้หญิงที่คลอดลูกออกมาถึง 8 คน พวกหล่อนทำงานบ้านสารพัด อีกทั้งยังต้องทำอาหารกันจนหัวหมุน แล้วพวกหล่อนทำได้ยังไงล่ะ
เพียงแค่ถามออกไป ผู้หญิงก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว แต่ถึงอย่างไรพวกหล่อนต่างรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ได้ยากลำบากแต่อย่างใด เพราะการที่พวกหล่อนแต่งงานก็เพื่อที่จะคลอดลูกให้กับคุณ ซึ่งคุณก็ต้องดีกับหล่อนด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ของคุณ แม่ของคุณไม่มาดูแลหล่อนเลย แล้วคุณคิดว่ามันสมเหตุสมผลแล้วอย่างนั้นหรือ
โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ชายมักจะเป็นผู้ที่คล้อยตามได้ดี เขามักจะหลอกล่อให้คุณระบายอารมณ์ออกมา และมักจะยอมอ่อนข้อเพื่อให้คุณสงบลง แต่ถึงอย่างนั้นความอึดอัดมากมายก็ได้ถาโถมเข้ามาในจิตใจของเขา เพราะผู้หญิงที่ตัวเองรักมากที่สุดกลับมาตำหนิแม่ของเขาต่อหน้าเขา
“หล่อนเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูฉันมา เพื่อแม่ที่ตรากตรำทำงานหนักมาเกือบครึ่งชีวิต ใครก็ไม่มีสิทธิ์โทษกล่าวโทษหรือตำหนิแม่ของฉันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวฉันที่กำลังจะคลอดลูกของเขา” ติงเหมยว่าหล่อนลำบาก แล้วในตอนนั้นแม่ของเขาไม่ลำบากเลยอย่างนั้นหรือ
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าคำพูดนี้ติงเหมยไม่มีทางพูดมันออกมาแน่ ๆ ส่วนโจวเผิงเองก็ไม่ได้ตำหนิหล่อนเพราะเรื่องนี้เช่นกัน เพราะเขาคิดว่าแม่ของหล่อนไม่มีทางเห็นเขาเป็นคนในครอบครัวของหล่อนอย่างแน่นอน เพราะเขาก็รู้สึกว่าหล่อนไม่มีทางเห็นแม่ของเขาเป็นเสมือนแม่ผู้ให้กำเนิดของหล่อนด้วยแน่ ๆ ต่างฝ่ายก็ต่างคิดว่าอีกฝ่ายนั้นเห็นแก่ตัวมากเกินไป เพราะอย่างนั้นมันเลยค่อย ๆ ก่อเกิดความคิดที่จะเตรียมการป้องกันตัวเองขึ้นมา
สามีภรรยาไม่มีทางกลายมาเป็นคู่เวรคู่กรรมได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีมือที่สามเข้ามาแทรกก็ตาม เพียงแต่บางคนไม่คิดจะหาเพิ่ม และบางคนก็ไม่กล้าที่จะอดทนกับความเหงา
แต่ก็อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจ ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะได้กลับมาชาติมาเกิดใหม่ แต่เธอก็ยังพบเจอกับความยากลำบากไม่น้อยเลยเช่นกัน ครั้งที่แล้วที่จางฉุ้ยเหลียนเอ่ยปากพูดถึงหัวข้อนี้ขึ้นมา ใบหน้าของกู้จื้อเฉิงก็ถึงกับเปลี่ยนสีในทันที แต่เมื่อย้อนกลับไปเธอกลับรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้พูดอะไรที่มันเกินไปแต่อย่างใด กู้จื้อเฉิงก็ไม่ได้ต้องการคำอธิบาย และเธอก็ไม่ได้ถือสา แต่พอมานึกได้ในตอนนี้ เธอก็ยังรู้สึกเหมือนมีหนามแหลมคอยทิ่มแทงหัวใจของเธออย่างไรอย่างนั้น
ติงเหมยมาอาศัยอยู่ในบ้านของจางฉุ้ยเหลียน และหัวข้อสนทนาในทุก ๆ วันของพวกหล่อนต่างก็เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระของผู้ชายที่พวกผู้หญิงมักจะชอบพูด ๆ กัน แต่ก็ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย และหล่อนก็คิดว่าตราบใดที่หล่อนไม่ให้กำเนิดลูกชายมันก็จะไม่มีทางออกสำหรับเรื่องนี้
ไม่กี่วันหลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็เริ่มทะเลาะกันขึ้นมาอีกครั้ง จนแม่สามีของติงเหมยต้องรีบพาติงเหมยไปตรวจที่โรงพยาบาล ปรากฏว่าติงเหมยกำลังตั้งครรภ์ ทันทีที่กลับมาถึงบ้านหล่อนก็เอาแต่โวยวายใส่ลูกชายของตัวเองยกใหญ่ ด่าว่าเขาเป็นลูกอกตัญญู ไม่มีจิตสำนึก
โจวเผิงจึงพูดออกไปว่า “ให้หล่อนไปตรวจที่โรงพยาบาลดูอีกครั้ง ถ้าครั้งนี้เป็นลูกชายจริง ๆ ผมก็จะไปทำเรื่องขอย้ายที่ประจำการ” เขาคิดที่จะขายผ้าเอาหน้ารอด แต่เขาก็นึกไม่ถึงเลยว่าแม่ของเขาจะไม่เห็นด้วย แถมยังบอกอีกว่าถ้าครั้งนี้ยังเป็นลูกสาวอีก ก็ให้หล่อนคลอดต่อไปจนกว่าจะได้ลูกชาย
หลังจากนั้นโจวเผิงก็เดินไปขอพบกับหาหัวหน้าของเขา ใคร ๆ ต่างก็นึกไม่ถึงเลยว่าผลลัพธ์สุดท้ายโจวเผิงจะทำเรื่องขอย้ายจริง ๆ เพราะทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็อยากที่จะย้ายไปอยู่ที่กรมทหาร y กันทั้งนั้น หลังจากนั้นโจวเผิงก็กลับมาเก็บข้าวของที่บ้านพาภรรยาและลูกจากไป
ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในอาการตกใจไม่น้อย แม้แต่ป้าหยูก็ยังเดินร้องห่มร้องไห้เข้ามาหาติงเหมย “เธอต้องดูแลลูกให้ดี ๆ นะ จากนี้เราจะไม่ได้เจอเธอแล้ว ถ้าเธอคลอดลูกชาย เธอก็ส่งข่าวมาหาพวกเราด้วยนะ”
ติงเหมยกลับรู้สึกชอบสถานการณ์เช่นนี้มาก หล่อนพูดกับจางฉุ้ยเหลียนอย่างหนักแน่นว่าการกลับไปครั้งนี้ หล่อนจะทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดทำธุรกิจ หล่อนเตรียมจะเปิดร้านขายของขนาดเล็ก และหล่อนจะเปิดมันด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง โดนไม่รอให้โจวเผิงยื่นมือออกมาช่วยแต่อย่างใด
เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ที่นี่ก็ว่างเปล่าอ้างว้างในทันที ไม่มีใครย้ายเข้ามา มันเงียบสงบไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใด ๆ
ตอนนี้กองกำลังที่เมืองสุ่ยหยวนแห่งนี้ ก็ขาดกำลังพลในชั่วพริบตา ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนต่างก็คาดไม่ถึง ดูเหมือนว่ากู้จื้อเฉิงที่เป็นคนน่าเคารพนับถือและน่าเกรงขามจะไม่ผ่านการคัดเลือก แต่บุคคลที่ไม่ได้อยู่ในสายตาทั้งสองคนกลับจากไปด้วยความดีใจ
เหตุผลมากมายได้ดึงดูดให้เหล่าบรรดาผู้คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็พากันจินตนาการออกไปไกล แต่ก็ต้องบอกก่อนว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นกลับรู้สึกผ่อนคลาย เธอไม่อยากให้กู้จื้อเฉิงต้องย้ายไปไกลกว่านี้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แค่พวกเขามองตากันก็เข้าใจกัน เธอไม่ได้คาดหวังกับอาชีพของเขาเท่าไหร่นัก แค่หวังว่าเขาจะไม่ต้องทุกข์ใจและขอให้เขามีความสุขไปตลอดชีวิตก็พอ
ในช่วงตรุษจีนก็มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นกับผู้กำกับการชี เพราะเขาได้สละชีวิตของตัวเองไปอย่างสมเกียรติ บางคนก็พูดกันไปต่าง ๆ นานาว่าเขาถูกระเบิดในระหว่างการทดสอบขีปนาวุธในระยะประชิด บ้างก็พูดว่าเพราะเขาได้เข้าร่วมโครงการลับ บ้างก็พูดว่าเป็นการฝึกฝนในสนามจริง และก็มีบางคนพูดว่าเป็นการฝึกภาคสนามของทหารทั่วไป
แต่ไม่ว่าใครจะพูดยังไง นั่นมันก็ไม่ได้สำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้ผู้กำกับการชีก็ได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เหลือไว้แต่เพียงหญิงหม้ายและเด็กกำพร้าพ่อเท่านั้น เพราะอย่างนั้นในกรมจึงตัดสินใจให้ครอบครัวของเขาอยู่ที่นี่ต่อไปได้ จนกว่าหล่อนต้องการที่จะไปจากที่นี่ด้วยตัวเอง
เมื่อได้พบเจอกับเหตุการณ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้ อารมณ์ความรู้สึกของกู้จื้อเฉิงก็ดิ่งลงมากเลยทีเดียว เขาบอกกับจางฉุ้ยเหลียนว่าผู้กำกับการชีเคยช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ ตอนที่เขาเพิ่งย้ายมาประจำการที่นี่ใหม่ ๆ เขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากผู้กำกับการชีจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันครั้งหนึ่งด้วยเช่นกัน
จางฉุ้ยเหลียนรู้เรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี ตอนนั้นเธอเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ เธอก็เลยเชิญแขกมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกันที่บ้าน นอกจากเหล่าบรรดาเพื่อนบ้านแล้ว เธอก็ยังเชิญหัวหน้ารวมทั้งคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหัวหน้ามาร่วมรับประทานอาหารด้วย ซึ่งผู้กำกับการชีก็เป็นหนึ่งในนั้น
ลูกสาวของเขาได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกในปี 1982 และใกล้จะได้เข้าเรียนชั้นมัธยมต้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ และมันก็เป็นช่วงเวลาที่จะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากอีกด้วย แต่โชคชะตากลับเล่นตลกกับหล่อน หัวหน้าครอบครัวต้องมาตายเช่นนี้ อย่าว่าแต่ภรรยาของผู้กำกับการชีที่ถึงกับทรุดตัวลงเลย เพราะขนาดเธอเองก็ยังอดเป็นห่วงพวกเขาไม่ได้
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้เป็นห่วงแค่เรื่องการใช้ชีวิตหลังจากนี้ของสองแม่ลูกคู่นี้แล้วเท่านั้น แต่เธอยังเป็นห่วงสองแม่ลูกที่เฝ้ารอคอยเงินบำนาญค่าจัดงานศพที่ยังไม่ได้รับจากหน่วยงานอีกด้วย
ครอบครัวของผู้กำกับการชีรู้สึกว่าเงินส่วนนี้ได้ถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม อย่างน้อยพ่อแม่และภรรยาของชีจี้กวางก็ได้รับการยกย่องอย่างสมเกียรติ เพราะลูกของผู้กำกับการชีเป็นผู้หญิง พวกเขาจึงคิดว่าลูกของเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับมรดก
เรื่องที่น่าสงสารยิ่งกว่านั้นก็คือ ยังไม่ทันมี่กระดูกของผู้กำกับการชีจะเย็นสนิท (เพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน) แต่พวกเขาก็ต้องมาทนดูเหล่าบรรดาญาติพี่น้องของผู้กำกับการชีบาดหมางกันเพื่อช่วงชิงเงินบำนาญของเขา
กู้จื้อเฉิงทนเห็นพวกเขาวิ่งเต้นด้วยความโลภไม่ได้อีกต่อไป จึงออกคำสั่งกับทหารชั้นผู้น้อยในกรมว่าห้ามให้ตระกูลชีเข้ามาร่วมงานศพอีกเด็ดขาด แต่ใครจะไปเฝ้าระวังได้ตลอดเวลาขนาดนั้นกันล่ะ กำแพงใหญ่ทางด้านทิศตะวันตกสามารถเดินทะลุไปยังหมู่บ้านของชาวบ้านในละแวกนั้นได้ กู้จื้อเฉิงเป็นกังวลว่าภรรยาและลูกสาวของผู้กำกับการชีจะถูกแม่สามีรังแก จึงได้พาพวกหล่อนเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเอง พี่เฉินภรรยาของผู้กำกับการชีไม่อยากสร้างความลำบากใจให้กับจางฉุ้ยเหลียน จึงมาขออาศัยอยู่ในบ้านของติงเหมยแทน จางฉุ้ยเหลียนจึงได้นำถ่านหินและฟืนไปให้พวกหล่อน
ตอนกลางวันจางฉุ้ยเหลียนก็มักจะให้พวกหล่อนมาอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเอง เหตุผลแรกก็คือ เธออยากจะให้ชีเจียวเจียวได้มีสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ที่ดี และเหตุผลที่สองก็คือ เธอไม่อยากให้พี่เฉินต้องเหงา ถ้าหล่อนมาอยู่ที่นี่หล่อนก็จะได้มีเพื่อนที่คอยพูดคุยด้วยตลอดเวลา
“ไม่ต้องกลัวนะคะ เงินบำนาญไม่ใช่มรดก ไม่สามารถแบ่งให้คนอื่นได้เหมือนกับเงินมรดกหรอกค่ะ” จางฉุ้ยเหลียนยกมือขึ้นไปกุมมือของพี่เฉินเอาไว้ “ครอบครัวของพี่ใหญ่ชีมาขอเบิกเงินบำนาญไม่ได้หรอกค่ะ อย่าว่าแต่จะมีจำนวนเงินเท่าไหร่เลย ต่อให้มีเงินมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเงินบำนาญนี้”
พี่เฉินพูดขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “แต่แม่สามีของฉันก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลนะ พวกเราก็ควรจะแบ่งให้หล่อนไปสักนิดสักหน่อย”
จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมาทันที “พวกเขาก็ยังมีลูกตั้ง 8 คน อย่าบอกนะว่าลูกที่เหลืออีก 7 คนไม่สามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ หวังโลภอยากจะได้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ไร้ยางอายไปหน่อยหรือคะ ลูกสาวแท้ ๆ ของพี่ใหญ่ชีก็มีแค่คนเดียว และตอนนี้หล่อนก็ยังไม่ได้เข้าเรียนชั้นมัธยมเลย ”
พี่เฉินทอดถอนหายใจออกมา “ฉันยังไม่รู้เลยว่าฉันควรจะให้เงินพวกเขาเท่าไหร่ ฉันอยากจะให้พวกเขามาแบ่งกันเอง ไอ้หยา ฉันกำลังกังวลว่าอนาคตฉันจะทำยังไงต่อไป”
จางฉุ้ยเหลียนไม่เข้าใจ หัวคิ้วของเธอขมวดเข้าหากัน “วีรบุรุษเสียสละชีพ และก็เป็นการเสียสละชีพในหน้าที่ ดูเหมือนว่าจะได้เงินบำนาญจำนวนเงิน 10 เท่าของรายได้ต่อหัวในปีที่แล้วบวกกับเงินเดือนขั้นพื้นฐานจำนวน 40 เดือนก่อนหน้านั้น”
พี่เฉินเงยหน้าขึ้นและถามออกไปด้วยความสงสัย “เธอรู้เรื่องมากมายขนาดนี้ได้ยังไง ? ”
จางฉุ้ยแหลียนคลี่ยิ้มออกมา “ไม่ใช่เพราะว่าหนูรู้หรอกค่ะ หนูแค่เห็นว่าช่วงนี้เหล่ากู้ยุ่งอยู่ตลอด ก็เลยอยากจะช่วยเขา หนูเลยถือโอกาสสอบถามเรื่องนี้กับเขา อย่าถือสาหนูเลยนะคะ”
พี่ใหญ่เฉินส่งเสียงร้องไห้โฮออกมายกใหญ่ “ทำไมมันถึงไม่ยุติธรรมขนาดนี้ ทำไมพวกเขาถึงให้เงินเราน้อยขนาดนี้ ฉันอยากจะบอกพวกเขาว่า พวกเขาน่าจะให้เงินเดือนขั้นพื้นฐานของพี่ชีให้ฉันกับลูกทุกเดือนไปจนกว่าจะถึงช่วงเวลาเกษียณอายุของเขา เมื่อถึงวันนั้นพวกเขาก็น่าจะเคลียร์เรื่องเงินบำนาญให้เรา”
ชีเจียวเจียวที่นั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะก็วิ่งร้องห่มร้องไห้เข้ามาหาเช่นกัน “ใช่ค่ะ พ่อเป็นผู้เสียสละให้กับประเทศชาติ ประเทศชาติติดหนี้เรา ประเทศชาติติดหนี้เรา”
จางฉุ้ยเหลียนถูกสองแม่ลูกคู่นี้มองกลับมาด้วยสายตาที่เย็นชา เธอไม่รู้เลยว่าคำพูดนี้จะทำให้สองแม่ลูกคิดไปไกลได้มากขนาดนี้
MANGA DISCUSSION