ตอนที่ 195 ตัวแทนจำหน่าย
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จางฉุ้ยเหลียนฉีกหน้าเช่าหวาและจางกว่างฝู นอกจากนี้เธอยังเป็นฝ่ายเหนือกว่าและพูดออกไปจนพวกเขาเถียงกลับไม่ได้อีกด้วย
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกเหมือนได้ระบายเรื่องทุกข์ใจออกมา เห้อ ! ไม่สิ เหมือนได้เอาก้างปลาที่ติดอยู่ตรงคอออกมามากกว่า รู้สึกสบายไปทั้งตัว เป็นความสุขที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้
แต่หลังจากนั้นเธอกลับรู้สึกว่างเปล่า มันเหมือนกับในที่สุดเธอก็ได้โยนตัวเองออกมา หรือคล้ายกับละครเรื่องหนึ่งที่ผู้คนต่างก็ได้ดูมาอย่างยาวนาน แต่พอมาถึงตอนจบแล้วพวกเรากลับลังเลที่จะดูมัน แม้ว่าจะรับรู้ได้ลาง ๆ แล้วว่าตอนจบจะเป็นยังไง
“ต่อไปถ้าพวกเขายังมาก่อกวนอีก เธอก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่โทรเรียกตำรวจก็พอ รับรองว่าฉันไม่ไล่เธอออกแน่นอน” จางฉุ้ยเหลียนหันไปพูดกับพนักงาน
การเดินทางกลับมาที่บ้านในครั้งนี้ก็ดูจะเร็วกว่าปกติ เธอไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเดินยิ้มกลับบ้าน เซี่ยจวินกำลังสอนงานเด็กฝึกงาน พอเขาเห็นว่าเธอเดินลงมาจากรถโดยสารประจำทาง เขาก็ถามเธอออกไปสั้น ๆ แล้วบอกให้เธอกลับไปที่บ้าน
ตงลี่หวากำลังต้มถั่วเขียวอยู่ในครัว หล่อนบอกว่าวันนี้อากาศร้อนเกินไปเลยจะเอาไปให้เด็กที่ร้านดื่มกันสักหน่อย จางฉุ้ยเหลียนเดินเข้าไปกอดตงลี่หวา เธอร้องไห้และหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้าไม่มีผิด
“เป็นอะไร มากอดทำไม หึ ? ! ” ตงลี่หวารับแรงกระแทกจากอีกฝ่ายไม่ไหว หล่อนรู้สึกเหมือนว่าหลังของหล่อนกำลังมีหมีตัวใหญ่เกาะอยู่ แม้จะได้ยินเสียง ฮือ ฮือ ฮือ! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ! แต่หล่อนก็รับรู้ได้ว่าลูกสาวของหล่อนกำลังมีความสุข
“อยากกลับบ้านแล้วใช่ไหม ? คิดถึงเสี่ยวเฉิงแล้วล่ะสิ ? ” ตงลี่หวายกมือขึ้นมาตบไปที่หน้าอกของตัวเองเบา ๆ พร้อมถามออกไปด้วยรอยยิ้มแห่งความรัก
“แม่คะ หนูอยากซื้อบ้านแล้ว พวกเราซื้อบ้านหลังใหญ่สักหลังดีไหม แล้วพวกเราก็มาอยู่ด้วยกัน ! ” พอได้ยินแบบนั้น ตงลี่หวาก็ตกใจในทันที หล่อนพยักหน้าให้ลูกสาว “ดีสิ ตามใจลูกเลย”
ทันใดนั้นเองน้ำตาของจางฉุ้ยเหลียนก็ไหลลงมาอย่างกับสายฝน “แม่ ! ”
ตงลี่หวาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หล่อนรู้สึกสงสัย แต่เมื่อได้ยินเสียงนี้หล่อนก็รู้สึกได้ว่ามันแฝงไปด้วยเสียงร่ำไห้และความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง หลี่คลี่ยิ้มพร้อมกับตาที่แดงก่ำ “มันผ่านไปแล้ว มันผ่านไปแล้ว เดี๋ยวต่อไปก็ดีขึ้นเอง เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง ! ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้า เธอยิ้มออกมาอย่างเขิน ๆ พร้อมกับเอื้อมมือไปเช็ดน้ำมูกและน้ำตาตรงคอเสื้อด้านหลังของตงลี่หวา จากนั้นเธอก็ดึงมือของหล่อนมากุมไว้และพูดออกไปเบา ๆ ว่า “แม่คะ หนูอยากซื้อบ้านแล้ว”
ตงลี่หวาโอบกอดจางฉุ้ยเหลียน หล่อนทำเหมือนกับตอนที่หล่อนเคยโอ๋เธอตอนเด็ก ๆ อย่างไรอย่างนั้น หล่อนพูดออกไปพร้อมกันตบหลังของเธอไปด้วย “ซื้อสิ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องซื้ออยู่แล้ว พ่อของลูกก็พอมีเงินอยู่ พอซื้อบ้านแล้วต่อไปพวกเราก็จะได้ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนสูดน้ำมูก “แม่ไม่ได้บอกว่าบ้านในเมืองมันแพงหรือ แล้วทำไมพอหนูบอกจะซื้อ แม่ก็ยอมให้ซื้อเลยล่ะ” ก่อนหน้านี้ตอนที่จางฉุ้ยเหลียนกลับมาจากเซี่ยงไฮ้ เธอก็คิดจะซื้อบ้านให้พวกเขาสองสามีภรรยาเช่นกัน แต่เซี่ยจวินกลับไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะหัวเด็ดตีนขาดยังไงเขาก็ไม่ยอม ตงลี่หวาเองก็คิดว่าควรใช้เงินอย่างรอบคอบ ตอนนี้พวกเขายังไม่จำเป็นต้องซื้อบ้าน เพราะอย่างนั้นเรื่องที่จางฉุ้ยเหลียนจะซื้อบ้านมันเลยเป็นเหมือนกับการใช้จ่ายเงินอย่างสิ้นเปลือง
เพียงแต่เวลามันต่างกัน อีกทั้งสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปแล้วด้วย ตงลี่หวาลูบหัวของจางฉุ้ยเหลียน “ลูกสาวของแม่โตแล้ว ทำเรื่องใหญ่ ๆ ได้แล้ว” จากนั้นหล่อนก็พูดต่ออีกว่า “วันนั้นฟังจากคำพูดของแม่สามีของลูก อีก 2 ปีพวกเขาจะย้ายพวกลูกกลับมาอยู่ที่นี่ พอกลับมาแล้วก็ไม่แน่ว่าลูกจะต้องไปอยู่ที่บ้านของแม่สามี นานวันเข้าความสัมพันธ์ของลูกกับหล่อนก็จะเหมือนไม้ขีดไฟ ข้าว น้ำมัน และเกลือที่จะต้องจืดจางลงไปทุกวัน ลูกก็ไม่ได้คิดว่าหล่อนเก่งอะไรนักหนา และหล่อนเองก็ดูไม่ออกว่าลูกมีดีทุกด้าน”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมา น้ำตาล่วงหล่นลงมาอีกครั้ง “ดังนั้นซื้อบ้านไว้เร็วหน่อย หนูจะได้วิ่งกลับมาอยู่ที่บ้านแม่ได้ ! ”
ตงลี่หวาส่ายหน้า “ไม่ใช่ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนมองตงลี่หวาด้วยความสงสัย เห็นเพียงแค่หล่อนมองเธอด้วยสายตาที่สดใส “แม่คิดว่า ถ้าลูกไม่อยากกลับไปที่บ้านแม่ผู้ให้กำเนิดของลูก คิดว่ามันน่าอายและไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนก็กลับมาอยู่ที่บ้านของตัวเอง อย่างน้อยมันก็ดีกว่าไปอยู่โรงแรมหรือเดินตามข้างถนนนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็ร้องไห้โฮออกมาทันที ในบ้านมีเพียงเสียงร้องไห้ของลูกสาว และมันก็เป็นการร้องไห้ที่ออกมาจากข้างใน ทำให้ตงลี่หวารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที เหมือนเธอจะเก็บเรื่องน่าหดหู่ไว้มากมาย และในที่สุดก็ได้ระบายมันออกมา
จางฉุ้ยเหลียนนั่งกอดเข่าที่พื้น และบอกกับตัวเองเงียบ ๆ ว่า การที่เธอไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของพวกเขาแล้วมันยังไงล่ะ หากมีพ่อแม่เช่นนี้ ยังจะต้องการสามีอีกทำไม ? ถึงตัวเองจะรู้สึกแย่ขนาดไหน ตั้งความหวังไว้มากเท่าไหร่ เธอก็ยังต้องอดทนต่อสู้ และไม่ยอมรับชะตากรรมอย่างนั้นหรือ
พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดปฏิบัติต่อเธอเหมือนต้นหญ้าที่ไร้ค่า แต่คนอื่นกลับปฏิบัติต่อเธอเหมือนของล้ำค่า การตัดความสัมพันธ์เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้บุญคุณในการให้กำเนิดที่เธอสามารถชดใช้ได้ ตัวเองก็ชดใช้จนหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ก็คือความรักจากการเลี้ยงดู มันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องนี้อีกแล้ว
สิ่งที่เซี่ยจวินและตงลี่หวาต้องการไม่ใช่เงิน พวกเขาต้องการให้เธออยู่เป็นเพื่อน และหวังว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ดีกินดียิ่งกว่าเดิม เพียงแค่เธอมีความสุขมากกว่าเดิม พวกเขาก็จะมีความสุขตามไปด้วย
หลังจากที่นั่งร้องไห้เสร็จแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกสบายไปทั้งตัว เธอมีความรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ เธอไม่หลงไปคิดว่าจะมีใครวางแผนแสร้งทำดีกับเธออีกไหม หรือจะมีใครหลอกเธออีกรึเปล่า
มีคำกล่าวที่ว่าความเกลียดชังพิสูจน์ให้เห็นได้มากกว่า ตอนนี้เธอตัดขาดจากทุกอย่างแล้ว เรื่องราวหลายอย่างก็มองจนทะลุปรุโปร่ง ต่อจากนี้ไป ไม่ว่าคนบนโลกจะคิดยังไง ถึงจะเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แต่เธอก็จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างคนแปลกหน้า
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้กลับไปที่บ้านตระกูลกู้ เธอนอนที่บ้านตระกูลเซี่ยจนถึงเช้า เมื่อยามค่ำคืนคังคังไม่เห็นหน้าแม่ เขาก็เอาแต่ร้องไห้เหมือนเจ้าขี้แยตัวน้อย ทำให้อันหลงโมโหจนเริ่มด่าทอออกมา บอกว่าแม่อย่างจางฉุ้ยเหลียนไม่มีความรับผิดชอบ
คังคังตื่นเช้ายิ่งกว่าเดิม แต่เขาก็ยังคงร้องไห้หาแม่เหมือนเดิมเช่นกัน อันหลงโมโหจนตาแดง กู้จื้อชิวเองก็โดนก่อกวนจนนอนไม่หลับ หล่อนได้แต่เดินวนไปวนมาในบ้านด้วยขอบตาที่ดำคล้ำ
“เจ้าเด็กนี่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ฉันอยู่เป็นเพื่อนเล่นของเธอทั้งวัน เธอก็ยังคิดถึงแม่ของตัวเองอีกหรือ ? ” อันหลงค่อนข้างหงุดหงิด แกล้งหยอกหลานด้วยการทำตาโตท่าทางดูน่าสงสาร
คังคังเป็นเด็กที่หน้าตาดี ดวงตากลมโตเป็นประกาย ตัวขาว ๆ อ้วน ๆ สภาพน่าฟัดน่ากอด น้ำตาเอ่ออยู่ในดวงตาจะร้องแต่ก็ไม่ร้องพร้อมกับเบะปากท่าทางน่าเอ็นดูสุด ๆ
กู้จื้อชิวทนไม่ได้อีกต่อไป หล่อนเลยตัดสินใจจะพาหลานไปที่บ้านตระกูลเซี่ย
“ไอ้หยา ตอนเช้าน้ำค้างกำลังตก ลูกจะอุ้มหลานออกไปได้ยังไง ถ้าเกิดไม่สบายขึ้นมาล่ะจะทำยังไง ? ” อันหลงเข้าไปขวางแต่ก็หยุดหลานที่มีน้ำตานองหน้ากับลูกสาวหัวดื้อไม่ได้
หล่อนจึงทำได้แค่แต่งตัวให้หลานอบอุ่นมากขึ้น จากนั้นสองแม่ลูกก็เริ่มออกเดินทางไปที่บ้านตระกูลเซี่ยเพื่อไปหาจางฉุ้ยเหลียนทันที
ยามเช้าตรู่เมื่อคังคังได้เห็นโลกภายนอก เขาก็หยุดร้องไห้ทันที เขามองดูผู้คนที่ออกมาเดินเล่นซื้อของยามเช้าด้วยความรู้สึกแปลกใหม่
อันหลงเห็นดวงตาของหลานชายหมุนไปหมุนมาจนเหมือนไม่รู้จะดูอะไร หล่อนก็หัวเราะออกมาแล้วเอื้อมมือไปตบก้มน้อย ๆ ของเขา “เป็นเจ้าตัวแสบน้อยจริง ๆ ไม่รู้จักนอนหลับพักผ่อนดี ๆ เลยนะ”
กู้จื้อชิวเดินมาถึงตึกที่ครอบครัวเซี่ยจวินอาศัยอยู่ด้วยดวงตาที่ดำคล้ำ จากนั้นก็บอกให้อันหลงออกไปซื้อของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่จะเงยหน้าแล้วคร่ำครวญออกมา “แม่เจ้า ตึกเจ็ดชั้นเหนื่อยตายพอดี”
อันหลงหอบหายใจเดินขึ้นตึกไปบ่นให้ลูกสาวฟังไป “ใครให้ลูกอุ้มเจ้าอ้วนนี่มาล่ะ ? แม่บอกไม่ต้องมา ลูกก็ไม่ฟัง ไอ้หยา ลูกระวังหน่อยนะ อย่าพาเขาไปล้มที่ไหนล่ะ ! ”
กู้จื้อชิวโดนแม่ของตัวเองกำชับอยู่ข้าง ๆ แม่ของหล่อนเอาแต่ขยับปากบ่นจนมาถึงชั้นเจ็ด หล่อนคิดว่าแม่ของหล่อนน่ารำคาญซะยิ่งกว่าเจ้าเด็กอ้วนในมือซะอีก แบบนี้ยอมให้คังคังร้องไห้ต่อไปยังจะดีซะกว่า
หล่อนเหนื่อยเหมือนลูกหมากำลังจะตาย กู้จื้อชิวเอาอารมณ์ไปลงที่ประตู หล่อนเคาะประตูดัง ปัง ! ปัง ! แล้วหันหน้าไปพูดกับเจ้าตัวน้อยว่า “ร้องสิ ร้องสิ นายไม่คิดถึงแม่นายแล้วรึไง ! ”
คังคังทำเหมือนเด็กที่รู้ความ ไม่ว่าจะทำยังไงเขาไม่ยอมร้องไห้ออกมาอีก เขาคลี่ยิ้มราวกับเด็กโง่ออกมา และทำน้ำลายไหลใส่เสื้อของกู้จื้อชิวแทน มันเลยทำให้หล่อนโมโหขึ้นมาทันที “เหอะ ! เจ้าตัวแสบ นายรังแกฉันใช่ไหม ห๊ะ ? ถ้านายยังไม่ร้องอีก ฉันจะอุ้มนายออกไปแล้วนะ ไม่ให้นายได้เจอแม่แล้ว ! ”
คังคังยังคงหัวเราะมีความสุขเหมือนเดิม ส่วนทางด้านเซี่ยจวินหลังจากที่เขาแต่งตัวเสร็จแล้วเขาก็เดินออกมา พอได้ยินว่าข้างนอกมีเสียงคนคุยกัน และได้เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของคังคังตัวน้อยผ่านตาแมวตรงประตู
เขาก็ไม่รู้สึกง่วงอีกต่อไปและไม่ได้โมโหจากการตื่นนอนด้วย เขารีบเปิดประตูแล้วพูดด้วยรอยยิ้มทันที “โอ๋หลานตา ทำไมถึงมาหาตาแต่เช้าแบบนี้ล่ะ ? ”
ในเวลาเดียวกันเซี่ยจวินก็พยักหน้าให้คุณย่าและคุณน้าของคังคังเพื่อเป็นการทักทาย จากนั้นก็เชิญทั้งสองคนเข้ามาด้านใน และหยอกหลานไปด้วย “คิดถึงตาแล้วใช่ไหม ? ” ขณะเดียวกันก็ตะโกนเรียกคนในบ้าน “ตื่นได้แล้ว ตื่นได้แล้ว คังคังมาหา”
อันหลงนั่งลงบนโซฟา หล่อนพูดกับเซี่ยจวินออกไปว่า “เจ้าเด็กนี่แสบใช้ได้เลย ร้องไห้ออกมาสิ ทำไมไม่ร้องไห้ออกมาแล้วล่ะ ตอนกลางคืนก็ไม่ยอมหลับยอมนอนเอาแต่ร้องไห้หาแม่ ตอนเช้าลุกขึ้นมาก็ไม่ยอมดื่มนมเอาแต่ร้องไห้ พอมาถึงบ้านคุณตาแล้ว ทำไมไม่ร้องไห้ออกมาอีกล่ะ ? ”
ตงลี่หวารีบเดินออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว เมื่อหล่อนเดินออกมาแล้ว หล่อนก็เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มเหมือนดอกไม้บานของคังคัง พอหล่อนจะเอื้อมมือไปรับเด็กมา หล่อนก็โดนเซี่ยจวินอุ้มหนี แล้วเขายังออกคำสั่งกับหล่อนอีกว่า “รีบไปทำกับข้าว คุณย่ากับคุณน้าของคังคังมากันตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว พวกเธอยังไม่ได้กินข้าวมาแน่ ไอ้หยา เธอดูสิ พวกเธอหอบเอาอาหารเช้ามาด้วย เธอรีบไปทำกับข้าวให้พวกเธอไป ! ”
ตงลี่หวารีบยิ้มทักทายอันหลง “ฉันเอาแต่มองหลาน คุณย่าคังคังรอแปปหนึ่งนะ”
อันหลงดึงมือของตงลี่หวาเอาไว้ “ไม่ต้องหรอก ยายคังคัง เราซื้อมาแล้ว ผู้ใหญ่อย่างพวกเรากินกันคนละนิดละหน่อยก็พอแล้ว”
หลังตื่นนอนจางฉุ้ยเหลียนก็เดินออกมาจากห้อง เธอเห็นฉากที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเข้าพอดี เมื่อเธอเดินมาถึงข้างตัวของเซี่ยจวิน เธอก็รับเด็กน้อยคังคังไปอุ้มแล้วยิ้มทักทายทุกคน “ตั้งแต่ที่พาคังคังกลับมา พวกเรายังไม่ได้ตั้งชื่อจริงให้เขาเลยนะคะ”
ทุกคนฉีกยิ้มออกมา มันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกหรือ ไม่มีใครเรียกเธอว่า “จางฉุ้ยเหลียน” อีกแล้ว ทุกคนล้วนใช้คำว่าคังคังแทน
อันหลงคือย่าคังคัง กู้จื้อชิวคือน้าคังคัง เซี่ยจวินคือตาคังคัง ตงลี่หวาคือยายคังคัง ส่วนจางฉุ้ยเหลียนก็คือแม่คังคัง
ทุกคนใช้คังคังเป็นคำต่อท้าย แต่มันก็ดูเหมือนทุกคนจะสนุกกับมัน
จางฉุ้ยเหลียนอุ้มคังคังกลับมาที่ห้อง หลังให้นมแล้วเธอก็ใช้เวลากล่อมแปปเดียวเขาก็หลับไป จากนั้นเธอก็ออกมากินข้าวกับทุกคน อันหลงถามจางฉุ้ยเหลียนว่า “เธอถือหุ้นร้านเครื่องใช้ไฟฟ้านั่นเท่าไหร่ ? แล้วใช้เครดิตซื้อได้รึเปล่า ? ”
“เครดิต ? ” ตงลี่หวาตกใจ “เครดิตซื้อโทรทัศน์กับตู้เย็นได้ด้วยหรือ ? ”
อันหลงพยักหน้าด้วยความเบื่อหน่าย “ใช่ไหมล่ะ พอฉันพูดออกมาแล้วฉันก็รู้สึกอายหน่อย ๆ แต่มีญาติคนหนึ่งทางฝั่งพ่อ ได้ยินว่าจางฉุ้ยเหลียนเปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เขาก็เลยอยากจะผ่อนจ่าย ฉันคิดว่าเดี๋ยวอีกสองวันเขาก็คงจะมาหาเราที่บ้าน”
จางฉุ้ยเหลียนเลิกคิ้วและพูดด้วยรอยยิ้ม “ญาติทางฝั่งพ่ออย่างนั้นหรือคะ ? คงไม่ใช่เหล่าจิ้วคนนั้นหรอกใช่ไหมคะ ? ถ้าเป็นญาติทางฝั่งแม่ อย่าว่าแต่อยากจะผ่อนจ่ายเป็นเดือนเลยค่ะ พวกเขาอยากจ่ายยังไงก็ได้ แต่ถ้าเป็นญาติทางฝั่งพ่อ หนูไม่กล้าทำธุรกิจด้วยหรอก ! ”
อันหลงมีความสุขขึ้นมาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ หล่อนถามทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า “ทำไมถ้าเป็นญาติทางฝั่งฉันได้ แต่ญาติทางฝั่งพ่อถึงไม่ได้ล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมา แล้วหยิบไข่ต้มมากระเทาะกับโต๊ะ จากนั้นก็แกะไปพร้อมกับพูดอธิบายออกไป “ความน่าเชื่อถือของฝั่งแม่ไม่ต้องจ่ายค่ามัดจำหรือใช้หลักประกันใด ๆ สามารถผ่อนชำระได้ 3 ปีโดยไม่มีดอกเบี้ย แต่ญาติทางฝั่งพ่อ โดยเฉพาะบ้านของเหล่าจิ้วเห็นทีจะไม่ไหวจริง ๆ หนูทำได้แค่ไม่เอากำไร แต่ใช้เครดิตไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ! ”
อันหลงมีความสุขกับคำพูดประจบสอพอของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าไปแล้ว หล่อนก็พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ก็เจ้าหน้าไม่อายนั่นอยากจะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าขึ้นมาน่ะสิ บอกว่าจะซื้อไว้ให้ลูกชายแต่งภรรยาเข้าบ้าน ฉันว่าก็แค่อยากหลอกได้ของฟรีมากกว่า เธออย่าไปสนใจเขาเด็ดขาดล่ะ ! ”
MANGA DISCUSSION