ตอนที่ 194 เวรกรรมตามสนอง
ได้ยินมาว่าตั้งแต่ฟู่ซินพาภรรยาและพี่สาวของภรรยากลับไปที่บ้านในวันนั้น เฉียนเหมยเซียก็ไม่ค่อยกลับไปที่บ้านของตัวเองอีกเลย
จางฉุ้ยเหลียนกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวแทนจำหน่าย ในบางครั้งเธอก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นทำงานหนักเกินไป เมื่อกลับมาถึงบ้านพอหัวถึงหมอนเธอก็หลับไปทันที ส่วนเรื่องของฟู่ซินและภรรยาของเขาเธอก็ไม่มีโอกาสได้ถามเลยเหมือนกัน ผ่านไปไม่ทันไรตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยผ่านมาจนถึงเดือนกรกฎาคมแล้ว
ในตอนนี้ร้านค้าที่ร่วมหุ้นกันเปิดในห้างสรรพสินค้าชั้นแรกก็ได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ก็มีร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงร้านเดียวเท่านั้น ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ที่เอามาตั้งขายในร้าน จางฉุ้ยเหลียนก็เลือกมาอย่างพิถีพิถัน ในปี 2012 ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ยังต้องการใช้พวกมันอยู่ ดังนั้นจางฉุ้ยเหลียนเชื่อว่าคุณภาพและยี่ห้อของสินค้า จะต้องทำกำไรให้พวกเขาได้อย่างแน่นอน
วันเปิดร้านเซี่ยจวินและตงลี่หวาก็มาร่วมงานด้วย ส่วนอันหลงก็อุ้มหลานมากับกู้จื้อชิวด้วยเหมือนกัน ร้านนี้ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถันโดยจางฉุ้ยเหลียนและฟู่ซิน ในฐานะตัวแทนจำหน่ายของเมือง Q ในร้านพวกเขามีสินค้าจำนวนมากและมีบริการที่ครบครัน
ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฤดูร้อนที่สั้น อีกทั้งยังมีสภาพอากาศที่ไม่ร้อนมาก คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยนิยมซื้อพัดลม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่จำเป็น คู่สามีภรรยาที่แต่งงานใหม่ หรือคนที่มีรายได้มากกว่าคนอื่น ย่อมต้องซื้อมันไปใช้ในฤดูร้อนอยู่แล้ว
จางฉุ้ยเหลียนอยากให้กิจการรุ่งเรืองตั้งแต่วันแรก เธอเลยปรึกษากับฟู่ซินว่าจะติดตั้งเครื่องปรับอากาศ แม้จะรู้ว่าเครื่องปรับอากาศเป็นแค่ของตกแต่ง แต่ขอแค่ให้ลูกค้าที่มาเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่นี่รู้สึกสบาย พวกเขาก็จะยอมควักเงินซื้อของกันได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นเมื่อทุกคนเดินเข้ามาในร้านแห่งนี้ พวกเขาก็จะสัมผัสได้ถึงลมเย็นพิเศษของร้านทันที พอลองสอบถามดูก็จะรู้ว่าลมเย็นนี้มันมาจากเครื่องปรับอากาศ จางฉุ้ยเหลียนติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่ด้านหน้าและด้านหลังร้านทั้งหมด 2 เครื่อง ทำให้อุณหภูมิให้ร้านเย็นสบายขึ้นกว่าเดิม
ผนังทางด้านซ้ายเป็นโซนของเครื่องซักผ้า มีทั้งแบบถังเดี่ยวและแบบถังคู่ เหนือขึ้นไปก็มีชั้นวางสีขาว พวกมันมีโทรทัศน์ขนาดต่าง ๆ วางเรียงรายอยู่ โทรทัศน์แต่ละเครื่องต่างก็เปิดรายการต่าง ๆ เอาไว้ตลอดเวลา แต่พวกเขาก็ปิดเสียงของมันเอาไว้
ส่วนผนังทางด้านขวาเป็นโซนของตู้เย็น มีทั้งแบบต่ำแบบสูง สีขาวสีเขียว รูปแบบหลากหลาย ตรงกลางเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ซึ่งแบ่งออกเป็นสองบล็อก ด้านหน้าวางพัดลมไว้สองสามเครื่อง ส่วนด้านหลังที่อยู่ติดกันพวกเขาวางโซฟาตัวยาวเอาไว้สองตัว เพื่อให้ลูกค้าสามารถเดินเข้ามานั่งพักได้ ส่วนผนังฝั่งตรงข้ามทางเข้าหลัก พวกเขาก็ทำเป็นเคาน์เตอร์สำหรับคิดเงิน ด้านหลังแบ่งเป็นโกดังสินค้า ห้องครัว ห้องน้ำ และห้องทำงาน
ทุกคนพอใจกับร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของจางฉุ้ยเหลียนเป็นอย่างมาก แม้แต่ตงลี่หวาก็ยังบอกว่าถ้าหล่อนซื้อบ้านแล้ว หล่อนก็จะมาซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ร้านนี้อย่างแน่นอน
ฟู่ซินถือกระดาษปึกหนึ่งเดินเข้ามา หลังจากจางฉุ้ยเหลียนรับมันมาแล้ว เธอก็แจกมันให้กับทุกคน และพูดออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นใบปลิวของร้านเรา หลังจากที่พวกคุณกลับไปที่บ้านของตัวเองแล้ว พวกคุณก็สามารถเอามันไปแจกจ่ายกับคนอื่น ๆ ได้ ด้านบนจะมีที่อยู่เบอร์โทรศัพท์ของร้าน ที่อยู่ร้าน และยังมีวิธีการเดินทางมาที่ร้านโดยการใช้ขนส่งสาธารณะ มันสะดวกสบายมาก ! ”
ตงลี่หวาพูดกับอันหลงด้วยความภูมิใจว่า “เธอดูลูกสาวของฉันสิ หล่อนเก่งกาจขนาดไหนถึงกับรู้จักทำใบปลิวส่งเสริมกิจการแล้ว”
ผ่านไปแค่ไม่กี่วันเช่าหวาก็ได้ยินเรื่องนี้ หล่อนรู้ว่าจางฉุ้ยเหลียนเปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในเมือง เลยเดินทางมาดูสักหน่อย หล่อนบอกว่าชอบโทรทัศน์เครื่องใหม่ อีกทั้งยังบอกอีกว่าที่บ้านยังไม่มีตู้เย็นเลยอยากจะได้กลับไปสักเครื่อง
แต่พนักงานในร้านไม่ยอม ฟู่ซินที่เดินออกมาเพื่อที่จะเจรจาก็โดนเช่าหวาต่อว่าไปยกหนึ่ง เขารู้ว่าสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนผิดหวังที่สุดในชีวิตก็คือพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอ เพราะอย่างนั้นเขาเลยจะรอดูสถานการณ์ไปก่อนและตัดสินใจว่าจะยังไม่โทรไปบอกจางฉุ้ยเหลียน
แต่สุดท้ายพนักงานในร้านก็แอบโทรไปที่บ้านตระกูลกู้ แล้วบอกให้จางฉุ้ยเหลียนมาดูที่ร้านสักหน่อย หลังจากที่เธอเดินลงมาจากรถโดยสารประจำทางแล้ว เธอก็เห็นเช่าหวากำลังยืนคุยกับลูกค้าผ่านกระจกหน้าร้าน
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเดินมาถึงประตูร้าน เธอก็ได้ยินเช่าหวาพูดเสียงดังลั่นว่า “ไอ้หยา นี่เป็นยี่ห้อที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว เธอดูตู้เย็นเครื่องนี้สิว่ามันหรูหรามากขนาดไหน ถ้าซื้อกลับไปต้องเป็นหน้าเป็นตาให้แน่นอน พวกเธอกำลังจะแต่งงานกันใช่ไหมล่ะ มีคู่สามีภรรยาที่ไหนไม่ต้องซื้อตู้เย็นบ้างล่ะ แบบนั้นมันไม่ได้แปลว่าผู้ชายไม่จริงใจหรอกหรือ นี่แม่หนู เธอต้องฟังคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างป้านะ”
แต่แล้วเช่าหวาก็คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ออกมาดูเครื่องใช้ไฟฟ้าจะเป็นบ้านฝ่ายชาย พอได้ยินเช่าหวาพูดแบบนั้น หล่อนก็ไม่พอใจในทันที หลังจากที่เถียงกลับไปสั้น ๆ แล้ว ลูกค้าก็เดินออกไป เช่าหวาโมโหเดินตามออกไปแล้วด่ากลับว่า “คนอะไร ไม่มีเงินซื้อก็บอกว่าไม่มีสิ ยากจนอย่างกับอะไรดียังจะมาดูตู้เย็นอีก ถุย ! ”
เมื่อเช่าหวาเดินมาถึงหน้าประตู หล่อนก็เห็นใบหน้าที่เขียวปั๊ดของจางฉุ้ยเหลียนกำลังจับจ้องมาที่หล่อนอยู่ในตอนนี้ นั่นทำให้หล่อนขนลุกซู่ในทันที หล่อนได้แต่ฉีกยิ้มขอโทษและอธิบายให้จางฉุ้ยเหลียนฟังว่า “ไอ้หยา มียาจกสองคนมาขอดูตู้เย็น แต่ฉันไล่มันให้แกแล้ว ! ”
จางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามาในร้าน ตอนนี้ในร้านไม่มีลูกค้าเหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว เธอเลยหันไปจ้องเช่าหวา “แม่รู้ได้ยังไงว่าพวกเขาเป็นยาจก ? ยาจกที่ไหนจะมาดูตู้เย็นล่ะ ? ถ้าไม่จำเป็นพวกเขาจะว่างมาเดินเล่นดูเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างนั้นหรือ ? ”
เช่าหวาตกใจขึ้นมาทันที ขณะมองไปที่ท่าทางเดือดดาลของจางฉุ้ยเหลียน หัวใจของหล่อนก็เต้นรัว หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก หล่อนก็คิดว่าถึงอย่างไรเธอก็เป็นลูกในไส้ของหล่อน อีกฝ่ายจะทำอะไรหล่อนได้ ทันใดนั้นเองหล่อนก็ขึ้นเสียงกับจางฉุ้ยเหลียนทันที “ทำไม ฉันพูดไปแล้วแกจะเอาอะไรอีก ห๊ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นเธอก็โยนกระเป๋าในมือไปที่โซฟาอย่างแรง แล้วหันมาตะคอกใส่เช่าหวาและจางกว่างฝู “พ่อกับแม่มาก่อกวนใช่ไหม ? แม่ยอมรับมาเถอะว่าแม่ไม่ชอบหนู แม่เลยคิดจะมาทำลายธุรกิจของหนูอย่างนั้นใช่ไหม ? ”
จางกว่างฝูรีบเดินเข้ามาอธิบายอย่างอารมณ์ดีว่า “ไม่ใช่แบบนั้นนะ พวกเราได้ยินมาว่าแกเปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า พวกเราก็เลยมาดู แล้วแกล่ะทำธุรกิจแบบนี้ ก็ไม่บอกพวกเราสักคำ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนเหยียดยิ้มออกมาอย่างเย็นชา อีกทั้งดวงตาของเธอก็แผ่ไอเย็นออกมา “หนูบอกพ่อกับแม่แล้วมันได้อะไรขึ้นมาล่ะ ? แล้วการที่หนูไม่บอกพ่อกับแล้วมันยังไง ? หรือพ่อกับแม่คิดจะมาขายของอยู่ที่นี่ ? พ่อกับแม่อยากเป็นผู้จัดการร้านนี้อย่างนั้นหรือ ? ก็เหมือนอย่างโรงงานเหมืองทรายของฟู่ซินไง พอมีอะไรหน่อยพ่อกับแม่ก็คิดอยากจะมีส่วนร่วมด้วย ! ”
พอเห็นจางฉุ้ยเหลียนโมโหเหมือนกับกินดินปืนเข้าไป จางกว่างฝูก็หันไปตำหนิเช่าหวาทันที “เพราะเธอนั่นแหละ อะไรก็ไม่รู้เรื่องยังจะไปขี้โม้โอ้อวดอยู่ได้ ไล่ลูกค้าออกไปแล้ว ตอนนี้ก็พอได้แล้วมั้ง ! ”
เช่าหวาไม่ยอมรับ หล่อนพูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ออกมาว่า “เขาก็ไม่ได้คิดจะซื้ออยู่แล้วนี่ แค่บอกว่ามาดูเฉย ๆ ”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ใครบ้านไหนเขาใช้กันมั่วซั่วบ้างล่ะ เขาก็ต้องเปรียบเทียบราคา บริการ และสินค้าของแต่ละร้านก่อนไม่ใช่รึไง ? แม่ไล่ลูกค้าของหนูออกไปแบบนั้น แม่ทำให้ธุรกิจและชื่อเสียงของร้านหนูเสียหายมากนะ รู้ไหม ? ”
เช่าหวารู้สึกอายจนโมโห หล่อนชี้หน้าด่าจางฉุ้ยเหลียนออกไปทันทีว่า “เหอะ ! แกอย่ามาว่าพวกเราแบบนี้นะ แกบอกว่าเราทำให้ร้านของแกเสียหายเยอะอย่างนั้นหรือ เยอะกับผีน่ะสิ แค่ดูก็รู้แล้วว่าสองคนนั้นมาจากบ้านนอก แค่มาดูไม่ได้คิดจะซื้อสักหน่อย”
จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ใช่สิ เดิมทีพวกเขาก็มีใจคิดอยากจะซื้อสินค้าจากร้านของเราประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่พอเขาโดนแม่ด่าออกไปแบบนั้น พวกเขาก็ไม่คิดที่จะมาซื้อของจากร้านเราอีก ไม่ใช่แค่จะไม่มาซื้อร้านของเราเท่านั้นนะ พอพวกเขากลับไปที่บ้าน พวกเขาก็จะไปป่าวประกาศกันให้แซดว่าร้านของเราเป็นอย่างโน้นอย่างนี้จนคนในหมู่บ้านของเขาไม่มาซื้อของจากร้านเรากันหมด แม่เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของหนูนะ แต่แม่กลับมาเป็นตัวถ่วงของหนู ! ”
เช่าหวาไม่สบอารมณ์ หลังอ้าปากพูดอยู่นานสองนาน สุดท้ายหล่อนก็พูดเหตุผลดี ๆ ออกมาไม่ได้สักอย่าง
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนโดนลูกสาวสั่งสอนจนพูดไม่ออกแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็ขึ้นเสียงพูดอย่างเอาชนะต่อไปอีกว่า “แล้วมาที่ร้านของหนูทำไม ? ”
จางกว่างฝูบุ้ยปากและพูดออกมาเบา ๆ ว่า “ก็ไม่ใช่เพราะพวกเราคิดถึงแกรึไงล่ะ แกไม่ได้กลับไปที่บ้านตั้งนานแล้ว ฉันกับแม่ของแกก็เลยมาดูแกสักหน่อย พอเห็นว่าแกไม่อยู่ร้าน พวกเราเลยช่วยขายของให้แกไง ! ”
จางฉุ้ยเหลียนโบกมือไปมา จากนั้นก็พูดออกไปอย่างถากถางว่า “พูดมาเถอะ อย่าเอาแต่พูดคำพูดหลอกลวงนั่นเลย หนูกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ครั้งหนึ่งวันที่ 1 เดือนพฤษภาคมแล้วไง พ่อกับแม่มาทำอะไรที่นี่กันแน่ ? ตอนลูกชายของหนูอายุครบ 1 ขวบ ก็ไม่เห็นว่าคุณตากับคุณยายแท้ ๆ ของเขาจะมาเลย การที่พ่อกับแม่อยากเจอหนูมันยากนักรึไง ? บ้านตระกูลกู้ พ่อกับแม่ก็เคยไปเหยียบมาก่อนไม่ใช่หรือ ? แล้วพ่อกับแม่จะวิ่งแจ้นมาที่ร้านนี้ทำไม คิดว่าหนูไม่รู้รึไงล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเดินไปที่เคาน์เตอร์ด้วยความโมโห จากนั้นก็ถามพนักงานออกไปเบา ๆ ว่า “วันนี้ขายได้บ้างไหม ? ”
พนักงานคิดเงินส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ จางฉุ้ยเหลียนคว้าเอาแก้วน้ำของหล่อนมากระแทกลงไปบนโต๊ะเพื่อระบายอารมณ์เสียงดัง ปัง ! จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงตะโกนของจางฉุ้ยเหลียน “เป็นสุนัขจิ้งจอกกันทั้งนั้น จะมาแกล้งทำเป็นคนดีอะไรกับหนูอีก ไม่รู้สึกรังเกียจตัวเองบ้างเลยรึไง พอพ่อกับแม่เห็นว่าหนูมีชีวิตดีเข้าหน่อย ก็คิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีกใช่ไหมล่ะ ! ”
เช่าหวาโดนลูกสาวของตัวเองด่าจนอยากจะเอาหน้ามุดดิน หล่อนทนไม่ไหวอีกต่อไป รีบลุกขึ้นแล้วตะโกนออกมาทันที “ทำไม ฉันจะมาที่นี่แกจะทำไม แกเป็นเถ้าแก่ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้านี่ แกก็ให้โทรทัศน์ ตู้เย็นกับแม่ของแกสักเครื่องมันจะเป็นไรไป ? กลับบ้านไปฉันก็จะได้บอกว่าแกดีอย่างโน้นอย่างนี้กับคนอื่นบ้าง ! ”
จางฉุ้ยเหลียนดึงเก้าอี้ออกมา จากนั้นเธอก็หย่อนตัวลงนั่ง ยกขาขึ้นมานั่งไขว้ห้างและพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ทำไมแม่ไม่ป่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้ล่ะ แม่เองก็อยู่ดีมีสุขไม่ใช่รึไง ชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญกับแม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ”
จางกว่างฝูแสร้งเป็นคนดีทำหน้าทะเล้น “ใช่ ใช่ เป็นของนอกกายทั้งนั้น แต่ถึงอย่างนั้นเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ฉันเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดของแกนะ แกคิดดูสิว่าแกซื้อของดี ๆ เยอะแยะมาตั้งขายขนาดนี้ แกก็แบ่งตู้เย็นให้เราสักเครื่องมันจะเป็นไรไป”
“ยากจนขนาดนี้ยังมีหน้าอยากจะมาซื้อตู้เย็น ! ” จางฉุ้ยเหลียนนำคำพูดที่เช่าหวาพูดเมื่อกี้มาพูดให้พวกเขาฟังอีกรอบ ทันใดนั้นเองสีหน้าของทั้งสองคนก็เปลี่ยนเป็นสีของมะเขือม่วงโดนไฟเผาในทันที
“พ่อกับแม่เนี่ยนะจะใช้ตู้เย็น พ่อกับแม่มีปัญญาจ่ายค่าไฟหรือ ? ” จางฉุ้ยเหลียนเบะปาก มองทั้งสองคนตั้งแต่หัวจรดเท้า
นั่นจึงทำให้พวกเขาโมโหขึ้นมาทันที “แม่แกสิ หมามันยังไม่รังเกียจความยากจน แกยังดีไม่เท่าสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งเลยด้วยซ้ำ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนฉีกยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “ลูกแกะรู้คุณยังรู้จักคุกเข่าดื่มนม ลูกกาเองก็รู้จักป้อนให้พ่อแม่ในยามแก่เฒ่า แต่โบราณว่า แม้แต่เสือร้ายก็ยังไม่กินลูกของตัวเอง แล้วพ่อกับแม่ทำอะไรกับหนูไว้บ้างล่ะ ? หนูไม่ได้เป็นคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลย ที่หนูยอมทนครั้งแล้วครั้งเล่า มันก็เป็นเพราะเห็นแก่บุญคุณที่พ่อแม่ให้กำเนิดหนูมา หรือพ่อกับแม่อยากจะให้หนูช่วยรื้อฟื้นความทรงจำเล่าเรื่องที่พ่อกับแม่ทำกับหนูไว้ให้ฟังทีละเรื่องดีล่ะ ? ”
เช่าหวาโมโหจนตาแทบถลนออกมา หล่อนด่าทอออกไปว่า “จางฉุ้ยเหลียน แกมันไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ฉันจะไปฟ้องแกที่ศาล บอกว่าแกไม่ยอมเลี้ยงดูพ่อแม่ ให้แกได้ติดคุกหัวโต ! ”
จางฉุ้ยเหลียนเบะปาก “ถ้าอย่างนั้นแม่ก็ไปเลย ลูกชายของแม่ก็โตเต็มวัยแล้ว เขาให้เงินแม่เท่าไหร่ หนูก็จะให้แม่เท่านั้น ในกฎหมายไม่ได้ระบุว่าลูกสาวต้องซื้อโทรทัศน์ซื้อตู้เย็นให้พ่อแม่ เงินเดือนสมัยนี้จะได้เท่าไหร่กันเชียว อย่างต่ำสุดหนูควรให้เงินแม่เท่าไหร่ล่ะ ? ”
ขณะพูดจางฉุ้ยเหลียนก็เงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เลียนแบบท่าทางที่หยิ่งยโสและรังแกผู้อื่นของป้าเฉ่วจากละครในโทรทัศน์ “หนูอ่านหนังสือพิมพ์เมื่ออาทิตย์ก่อน มีชายชราคนหนึ่งบอกว่า ลูกสาวไม่ยอมเลี้ยงดูพ่อแม่ ศาลเลยตัดสินให้ผู้หญิงคนนั้นให้เงินพ่อแม่เดือนละ 50 หยวน ปีหนึ่งก็แค่ 600 หยวน”
เช่าหวาตกใจตาโตมองจางฉุ้ยเหลียนอย่างไม่อยากจะเชื่อ หล่อนอยากจะรู้ว่ายัยงูพิษตรงหน้าของหล่อนตอนนี้ ยังจะเป็นลูกสาวที่ยอมให้หล่อนขูดรีดอยู่อีกไหม
“600 หยวนต่อปี ตอนแต่งงานหนูก็ให้เงินแม่ไป 3,000 หยวนแล้ว เพราะอย่างนั้นแม่ก็สามารถใช้เงินนั่นได้อีก 5 ปี และถ้านับปีนี้ด้วย ตอนนี้ก็ 2 ปีแล้ว ต่อไปถ้าอยากได้เงินอีกก็รอให้ถึงปี 1996 แล้วค่อยมาว่ากันนะ” จางฉุ้ยเหลียนเหมือนกับจิ้งจอกเฒ่าที่วางแผนได้อย่างร้ายกาจ ราวกับว่าในที่สุดเธอก็ยอมเผยหางออกมาให้เห็นแล้ว
จางกว่างฝูมองเช่าหวาด้วยความมึนงง “3,000 หยวนอะไร ? ปี 1996 อะไร ? หล่อนพูดถึงเรื่องอะไร ? ”
MANGA DISCUSSION