ตอนที่ 193 จางฉุ้ยเหลียนตบหน้า
จางฉุ้ยเหลียนเห็นสายตาดูถูกของพนักงานในร้านน้ำชา ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติที่แล้วเธอก็ไม่เคยต้องมาขายหน้าต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้มาก่อน และยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องที่เธอถูกคนอื่นด่าว่า เธอไปทำลายครอบครัวของชาวบ้าน หรือทำร้ายจิตใจผู้หญิงที่กำลังตั้งท้องเลย
ฟู่ซินชี้หน้าด่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังของเฉียนเหมยเซีย “เฉียนเหมยหรง เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเธอ และเธอก็ควรที่จะเข้ามาสอดเรื่องนี้ให้มันน้อย ๆ หน่อยนะ ! ”
เฉียนเหมยเซียพุ่งเข้ามาด่าฟู่ซิน “นายยังมีหน้ามาด่าพี่สาวของฉันอีกหรือ นายอย่ามาว่าพี่สาวของฉันนะ”
จากนั้นหล่อนก็หันมาเพื่อที่จะจัดการกับจางฉุ้ยเหลียนต่อ แต่หล่อนก็โดนฟู่ซินตะคอกใส่เสียก่อน “เธอจะหยุดได้รึยัง ? ถ้าเธอยังไม่ยอมหยุด เราก็จะไปสถานีตำรวจกันเดี๋ยวนี้เนี่ยแหละ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนเหยียดยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “ฉันว่าทางที่ดีพวกเธอควรนั่งลง แล้วทำความเข้าใจกับสถานการณ์ให้มันดี ๆ ก่อนจะดีกว่านะว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่าให้ต้องมาหน้าแตกทีหลังเลย มันจะเก็บกวาดไม่ไหวเอาน่ะ ! ”
เฉียนเหมยเซียกัดปาก หันไปมองที่พี่สาวของตัวเอง เหมยหรงกัดฟังกระซิบเบา ๆ ว่า “หล่อนด่าเธอ เธอจะไปกลัวหล่อนทำไม พวกเราเห็นกับตา ฉันจะเป็นพยานให้เธอเอง ดูสิว่าตระกูลฟู่จะมีศักดิ์ศรีอยู่รึเปล่า เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่กี่วัน เขาไม่กล้าหย่ากับเธอหรอก ! ”
จางฉุ้ยเหลียนอยากจะปรบมือให้พี่สาวของภรรยาของฟู่ซินคนนี้จริง ๆ เพราะคนที่กลับกลอกและไร้สมองขนาดนี้ จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ค่อยได้พบเจอเท่าไหร่นัก แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจากการนัดดูตัวนับครั้งไม่ถ้วน เหมือนกับคู่ดูตัวที่แม่ของฟู่ซินเป็นคนจัดการ ทำไมเขาถึงได้ไปชอบพอกับคนแบบนี้ได้
เฉียนเหมยเซียไม่คิดแบบนั้น เมื่อเห็นว่าสามีโมโห อีกทั้งคู่ต่อสู้ของหล่อนก็ดูจะไม่สามารถต่อกรได้ง่าย ๆ หล่อนเลยลากตัวพี่สาวออกไปเพื่อที่จะปรึกษาหารือกัน ขณะที่หล่อนจ้องมองไปที่จางฉุ้ยเหลียน หล่อนก็นั่งลงที่เก้าอี้โต๊ะข้าง ๆ และยกมือขึ้นมาลูบท้องของตัวเองเป็นครั้งคราว
จางฉุ้ยเหลียนกลัวว่าถ้าสองสามีภรรยาคู่นี้จะทะเลาะกันขึ้นมาอีก และมันก็อาจจะส่งผลต่อเด็กในท้องของเหมยเซียได้ เพราะอย่างนั้นเธอเลยเลื่อนเก้าอี้เข้าไปนั่งที่โต๊ะของหล่อน และก็หวังว่ามันจะไม่เป็นเหมือนสงครามชิงรักหักสวาทที่ทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนอีก
“นายไม่ได้บอกว่ากำลังทำงานอยู่หรือ แล้วทำไมนายไม่ไปทำงานที่โรงงานเหมืองทรายล่ะ นายมาทำงานที่ร้านน้ำชาทำไม ? ” เฉียนเหมยหรงหันไปแขวะฟู่ซิน หล่อนพูดออกมาพร้อมกับใช้สายตาจิกกัดจางฉุ้ยเหลียนไปด้วย
“แล้วงานของฉันมันมีแค่ที่โรงงานเหมืองทรายรึไงล่ะ ? โรงงานเหมืองทรายนั่นฉันก็ให้พี่ชายของฉันเป็นคนดูแล ตอนนี้ฉันพักอยู่ในเมือง เพราะฉะนั้นฉันก็ต้องทำธุรกิจค้าขายอยู่ในเมืองสิ ! หรือว่าการที่ฉันกระดิกตัวนิดหน่อย ฉันก็ต้องรายงานพี่สาวของภรรยาหมดเลยรึไง ? ” ฟู่ซินพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ คำพูดของเขาทำให้สีหน้าของเฉียนเหมยหรงดูแย่ลงไปเรื่อย ๆ
เฉียนเหมยเซียเบะปาก พร้อมกับบ่นออกไปเบา ๆ ว่า “ฉันก็แค่ถามไม่ใช่รึไง นายพูดอย่างกับว่าฉันไม่รู้ว่านายยกโรงงานเหมืองทรายนั่นให้พี่ชายของนายไปแล้วอย่างนั้นแหละ โรงงานเหมืองทรายก็ทำเงินได้เยอะไม่ใช่หรือ ทำไมนายต้องยกให้พี่ชายของนายด้วยล่ะ ? ”
ฟู่ซินหันไปจ้องหล่อน จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า “ฉันไปทำธุรกิจที่เซี่ยงไฮ้ครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาหลายเดือน และคนที่ช่วยดูแลงานที่โรงงานเหมืองทรายให้ก็ไม่ใช่พี่ชายของฉันหรือ ! เธอจะไปรู้อะไร โรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวบ้านฉัน พ่อของฉันก็เป็นคนดูแลเองคนเดียว และการที่ฉันให้พี่ชายของฉันมาดูแลโรงงานเหมืองทรายให้ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีรึไง ! ”
เฉียนเหมยเซียโดนสั่งสอนจนพูดไม่ออก หล่อนได้แต่ก้มหน้าและบุ้ยปาก แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ยังเหลือบตาไปมองที่จางฉุ้ยเหลียน พอหล่อนเห็นว่าอีกฝ่ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้มออกมา หล่อนก็กระวนกระวายขึ้นมาทันที หล่อนยกมือขึ้นไปสะกิดตัวของพี่สาว เมื่อโดนสะกิด เฉียนเหมยหรงก็เหมือนโดนเปิดสวิตช์ หล่อนชี้หน้าด่าจางฉุ้ยเหลียนออกไปทันทีว่า “งั้นหล่อนล่ะเป็นใคร ? อย่าคิดว่าพวกเราไม่รู้นะว่า หล่อนเคยเป็นคู่ดูตัวของนาย พวกเธอทั้งสองคนก็แต่งงานมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว แต่พวกเธอยังมีความสัมพันธ์ที่หน้าไม่อายกันอยู่อีกหรือ”
ฟู่ซินโมโหจนควันออกหูขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนทางด้านของจางฉุ้ยเหลียน เธอก็รีบนั่งตัวตรงทำท่าทางราวกับว่าโอกาสที่หาได้ยากมาถึงแล้ว
“เกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าใครเป็นคนบอกพวกเธอ แต่ว่าฉันก็สามารถอธิบายให้พวกเธอฟังได้ ก่อนที่พวกเราสองคนจะมาดูตัวกัน ในตอนนั้นฉันก็มีคนรักอยู่แล้ว และเรื่องนี้พี่สะใภ้ใหญ่ของเธอก็น่าจะรู้ดี พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันและยังเคยอยู่หอพักเดียวกันอีกด้วย ถึงแม้ว่าหล่อนจะไม่รู้ว่าคนรักของฉันเป็นใคร แต่ฉันก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้กับทุกคน เพียงแค่พ่อแม่ของฉันไม่เห็นด้วยก็เท่านั้น ! แน่นอนว่าหลี่เหยาก็คงบอกพวกเธอแล้วเหมือนกัน ฉันมีพ่อแม่สองคู่ คู่แรกก็คือพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ส่วนอีกคู่หนึ่งก็คือพ่อแม่บุญธรรม”
เมื่อเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนเป็นฝ่ายเริ่มพูดอธิบายออกมาก่อน สองพี่น้องก็หันไปมองตากันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เฉียนเหมยหรงเชิดคางขึ้น จากนั้นก็พูดกับจางฉุ้ยเหลียนออกไป “พูดต่อสิ ฉันจะรอดูว่าเธอยังมีอะไรที่จะเอามาแถได้อีก ! ”
“คนที่แนะนำให้พวกเรารู้จักกันน่าจะเป็นคุณป้าของฟู่ซิน พวกเธอเองก็ไปสอบถามเรื่องนี้ได้ บ้านของฟู่ผิงอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของฉัน หลังจากที่พวกเราดูตัวเสร็จ พวกเราก็ไม่ได้คิดที่จะสานสัมพันธ์อะไรกันต่อ” เมื่อเห็นว่าเฉียนเหมยเซียและพี่สาวของหล่อนยังคงไม่เชื่อ จางฉุ้ยเหลียนก็ได้แต่ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
จากนั้นเธอก็พูดต่อออกไปอีกว่า “แต่ดูเหมือนครอบครัวของฟู่ซินจะชอบฉันมาก และบอกว่าจะให้เงินค่าสินสอดทองหมั้นจำนวนมากกับฉันด้วย ส่วนเรื่องจำนวนเงินนั้น พวกเธอจะไปถามใครดูก็ได้ แต่มันก็คงจะไม่ต่างจากพวกเธอมากเท่าไหร่หรอกมั้ง ก็แค่ 10,000 หยวน”
สองพี่น้องสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สีหน้าของเฉียนเหมยหรงเขียวปั๊ด ส่วนเฉียนเหมยเซียก็หน้าถอดสีและมีหยดน้ำตาไหลออกมาจากตา เมื่อเห็นสีหน้าของสองพี่น้องคู่นี้ จางฉุ้ยเหลียนก็เดาได้ในทันทีเลยว่า ตอนที่ฟู่ซินไปสู่ขอหล่อน เขาต้องให้เงินค่าสินสอดทองหมั้นแค่ไม่เท่าไหร่แน่นอน
“แต่ตอนนั้นฉันก็กำลังเรียนวิทยาลัยอยู่ นักศึกษาคนหนึ่งถ้ายังเรียนไม่จบก็ไม่สามารถแต่งงานได้ อีกทั้งพวกเราทั้งสองคนก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อกันด้วย สุดท้ายเราก็ค่อย ๆ ตัดความสัมพันธ์กัน จนกระทั่งพวกเราได้มาบังเอิญเจอกันอีกครั้ง เขารู้ว่าฉันทำงานให้กับเถ้าแก่โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง ในเวลานั้นฟู่ซินก็กำลังจะเปิดโรงงานเหมืองทรายพอดี เขาเลยต้องการเงินสุด ๆ เพราะอย่างนั้นฉันเลยได้เป็นหุ้นส่วนกับโรงงานเหมืองทรายของเขา ช่วยลงทุนไปด้วยนิดหน่อย และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงไปเป็นนักบัญชีให้กับโรงงานเหมืองทรายของเขา และให้น้องชายของฉันมาดูแลโรงงานเหมืองทรายให้เขา ! ”
พอได้ยินแบบนี้แล้ว เฉียนเหมยเซียก็เริ่มรู้สึกอายขึ้นมา หล่อนเหลือบไปมองสีหน้าของเฉียนเหมยหรงที่กำลังมองมาที่หล่อนเช่นกัน จากนั้นเฉียนเหมยหรงก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างเย็นชาและพูดออกไปว่า “มันจะบังเอิญขนาดนั้นเลยหรือ ? เขาขาดเงินมาขอยืมจากเธอ ส่วนเธอเองก็ให้เขายืม เธอบอกว่าทั้งสองคนไม่มีความรู้สึกอะไรต่อกัน แล้วจะให้ยืมเงินกันง่าย ๆ ได้ยังไง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเบะปากทำหน้าดูถูก “บนโลกใบนี้การที่ผู้ชายกับผู้หญิงจะร่วมมือกัน มันก็มีแค่เหตุผเดียวคือมีความรู้สึกดี ๆ ให้กันอย่างนั้นหรือ ? ” เธอนั่งตัวตรงและน้ำเสียงของเธอก็แข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งท่าทางของเธอก็ดูหยิ่งยโสมากขึ้นด้วย
ฟู่ซินไม่เคยเห็นจางฉุ้ยเหลียนเป็นแบบนี้มาก่อน เขาเลยเริ่มทำตัวไม่ถูก จางฉุ้ยเหลียนชี้นิ้วออกไปพร้อมกับอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างชัดเจนว่า “ข้อแรก ตอนนั้นฟู่ซินไม่เข้าใจว่าอะไรคือเงินกู้จากธนาคาร ส่วนข้อสอง ฟู่ซินไม่เข้าใจการตลาดของโรงงานเหมืองทราย และข้อสาม ฟู่ซินไม่มีความรู้เกี่ยวกับด้านบัญชีเลยสักนิด นอกจากงานอดิเรกเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว ในสามข้อที่ฉันกล่าวมานี้ ฉันก็เก่งกว่าเขาทุกด้าน พวกเราสองคนมีความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนกัน ถ้าพวกเราสองคนมีความรู้สึกดีต่อกันจริง ๆ ฉันก็คงไม่ต้องวิ่งไปแต่งงานกับสามีที่ต้องย้ายไปประจำการอยู่ในที่ทุรกันดารแบบนั้นหลังจากที่เรียนจบทันทีหรอก และฉันก็คงจะไม่ต้องมามีเรื่องกับพวกเธอสองคนให้ปวดหัวแบบนี้ด้วย ! ”
เฉียนเหมยหรงหน้าแดงยิ่งกว่าอะไรดี หล่อนรู้ว่าตัวเองปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ ในทางกลับกัน เฉียนเหมยเซียกลับบีบน้ำตาออกมา และมองฟู่ซินด้วยท่าทางน่าสงสาร จากนั้นก็ตำหนิเขาด้วยความน้อยใจ “ทำไมนายไม่พูดกับฉันให้ชัดเจน ฉันเคยถามนายตั้งหลายครั้งแล้ว แต่นายก็ไม่ยอมพูด ไม่อย่างนั้นฉันก็คงไม่เข้าใจผิดฉุ้ยเหลียนแบบนี้หรอก ! ”
ฟู่ซินเค้นเสียง “หึ” ออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็หันหลังและไม่สนใจหล่อนอีก จางฉุ้ยเหลียนที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เธอเลยนั่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็ตัดสินใจแล้วว่าเธอจะแสร้งทำตัวเด็ดขาดให้ถึงที่สุด จะได้ขจัดความกังวลให้เฉียนเหมยเซีย
“วันนี้ที่เขานัดฉันออกมาก็เพราะเขาอยากจะคุยเรื่องธุรกิจอย่างที่สองของพวกเรา เขาอยากจะเปิดร้ายขายพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และพัดลม ส่วนขั้นตอนต่าง ๆ พวกเราก็กำลังปรึกษาหารือกันอยู่ หรือก็คือภาพที่พวกเธอเห็นเมื่อสักครู่นี้นั่นแหละ เขาเองก็ไม่มีห้องทำงาน หรือจะให้พวกเราไปคุยกันที่บ้านของพวกเธอหรือ ? เอ๊ะ ! หรือจะไปที่บ้านของฉันดีล่ะ ? แล้วพวกเธอคิดว่าแบบนั้นมันเหมาะสมไหมล่ะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนตั้งคำถามและใช้มือตบลงไปบนโต๊ะอย่างแรง ทำให้สองพี่น้องสะดุ้งตกใจในทันที
“ดีนะที่วันนี้คนที่มาเจรจาธุรกิจกับฟู่ซินคือฉัน ถ้าเป็นคนอื่น ธุรกิจครั้งนี้ก็คงจะล้มเหลวไม่เป็นท่าแล้ว ไม่ใช่แค่จะล้มเหลวแล้วเท่านั้นนะ แต่ยังโดนคนอื่นเยาะเย้ยอีกด้วย พวกเธอคิดว่าเมือง Q ใหญ่สักแค่ไหนกันเชียว ? แต่ละคนก็รู้จักคุ้นหน้าคร่าตากันทั้งนั้น และการที่เธอทำแบบนี้มันก็ไม่เท่ากับการทำให้เขาขายหน้ารึไง แล้วต่อไปใครจะมาทำธุรกิจกับเขาอีก หลังจากนี้ถ้าเขาทำธุรกิจไม่ได้อีก พวกเธอจะมีชีวิตอยู่ดีกินดีกันได้ยังไง ? ” จางฉุ้ยเหลียนขึ้นเสียงพร้อมกับพูดสั่งสอนออกไป ทำให้พี่น้องตระกูลเฉียนหัวหดกันเลยทีเดียว พวกหล่อนทั้งสองคนได้แต่นั่งนิ่งยอมรับคำสั่งสอน การกระทำเช่นนี้ห่างไกลจากพฤติกรรมในตอนมาถึงมากทีเดียว
พนักงานเองก็ตกใจเช่นกัน อยากจะเข้ามาเสิร์ฟน้ำให้แต่ก็ไม่กล้า
“ขอโทษนะ พวกเราเองก็ไม่ได้ตั้งใจ ไอ้หยา ก็ฉันไม่รู้นี่ว่าเรื่องทุกอย่างมันจะเป็นอย่างนี้ เธอลองคิดดูสิว่าถ้าฉันรู้ว่ามันเรื่องมันเป็นแบบนี้ ฉันจะพาน้องสาวของฉันมาที่นี่หรือ หล่อนก็กำลังท้องกำลังไส้อยู่นะ ! ” เฉียนเหมยหรงกล่าวขอโทษออกมาด้วยความอับอาย พร้อมกับดึงตัวน้องสาวของหล่อนอย่างเฉียนเหมยเซียเข้ามาเพื่อให้ทุกคนเห็นใจ “ถ้าไม่เห็นแก่หน้าผู้ใหญ่ งั้นก็เห็นแก่หน้าเด็กในท้องของหล่อนเถอะ อย่าเอาเรื่องพวกเราเลยนะ”
จางฉุ้ยเหลียนเล่นบททวงศักดิ์ศรีของตัวเองมามากพอแล้ว เธอรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิสัยใจคอ จางฉุ้ยเหลียนเลยเลียริมฝีปากแล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “เอาเถอะ ฉันจะเห็นแก่เด็กในท้องของเหมยเซีย ฉันจะให้อภัยพวกเธอก็ได้ หวังว่าวันข้างหน้าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก และอย่ามาตะโกนเอะอะโวยวายต่อหน้าผู้คนแบบนี้ด้วยเหมือนกัน”
หลังจากพูดจบจางฉุ้ยเหลียนก็เอื้อมมือไปเก็บกระดาษที่วางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ แล้วพูดกับฟู่ซินว่า “งั้นฉันจะกลับไปคิดต่อที่บ้าน ครั้งหน้าฉันจะเอาแผนงานที่เหมาะสมมาให้นายดู ! ”
ฟู่ซินพยักหน้าเป็นการตอบรับ เฉียนเหมยหรงเองก็หลีกทางให้จางฉุ้ยเหลียนเดินออกไป เมื่อสถานที่แห่งนี้เหลือเพียงพวกเขาทั้งสามคน สีหน้าของฟู่ซินก็ดำเหมือนก้นหม้อทันที
เฉียนเหมยเซียตกใจจนร้องไห้โฮออกมา เฉียนเหมยหรงเองก็รู้สึกแย่ หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก หล่อนก็ลุกขึ้นแล้วพูดออกไปว่า “ไอ้หยา เหมยเซียเลิกร้องไห้ได้แล้ว ก็แค่เข้าใจผิดกันเท่านั้นเอง พวกเราก็ไม่รู้นี่ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง ถ้าหากว่าเรารู้เร็วกว่านี้ ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาหรอก”
ฟู่ซินเค้นเสียง “หึ ! ” เมื่อได้ยินคำพูดของพี่สาวของภรรยา ตอนนี้แม้แต่จะเปล่งเสียงพูดออกมาเขาก็ยังขี้เกียจ เขาเพียงแค่ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเท่านั้น จากนั้นเฉียนเหมยเซียก็เดินตามเขาออกไปด้วยความหวาดกลัว เฉียนเหมยหรงรู้ว่าระหว่างทางกลับบ้าน ต้องเกิดเรื่องวุ่นขึ้นอย่างแน่นอน หล่อนอยากจะตามไปด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี
หล่อนได้แต่เดินตามทั้งสองคนออกไป พอเห็นฟู่ซินเข้าไปในรถของตัวเองแล้ว หล่อนก็รีบตะโกนบอกเฉียนเหมยเซียว่า “รีบขึ้นรถไป เร็วเข้า”
เฉียนเหมยเซียมองพี่สาวของตัวเองด้วยใบหน้าน่าสงสาร เฉียนเหมยหรงเองก็กัดฟันตามขึ้นรถไปด้วยเช่นกัน ระหว่างทางกลับบ้านฟู่ซินก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว หลังจากครุ่นคิดสักพักหนึ่งแล้ว เฉียนเหมยหรงก็กระซิบข้างหูน้องสาวของตัวเองว่า “ถ้าเขาใส่อารมณ์กับเธอ เธอก็แกล้งทำเป็นปวดท้อง เขารักลูก ต้องทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กแน่นอน”
เฉียนเหมยเซียพยักหน้าเป็นการตอบรับ ถึงจะรู้สึกกังวลแต่หล่อนก็คิดว่าสิ่งที่พี่สาวพูดมันก็ถูกต้องจริง ๆ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลังจากที่เดินเข้ามาในบ้านแล้ว ฟู่ซินก็โยนกระเป๋าลงไปบนพื้น แล้วหันมาตะคอกใส่เฉียนเหมยหรงทันที “รีบเก็บข้าวของของน้องเธอซะ แล้วก็ไสหัวกลับไปที่บ้านของพวกเธอเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ต้องการยัยนี่แล้ว”
เฉียนเหมยเซียตกใจจนร้องไห้โฮออกมา เฉียนเหมยหรงรู้แล้วว่าตอนนี้ตัวเองได้สร้างเรื่องใหญ่แล้ว ผู่ชูเฟิงเดินออกมาเห็นฉากนี้เข้าพอดี หล่อนเลยตะโกนถามออกไปว่า “มีอะไร มีอะไร เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”
เฉียนเหมยหรงยกมือขึ้นมาตบหัวตัวเอง จากนั้นหล่อนก็ลอบคิดในใจว่าเวรแล้ว หล่อนลืมยัยป้าคนนี้ไปซะสนิท แล้วยัยป้านี่ก็รู้เรื่องไม่น้อยเลยด้วย
เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงรีบส่งสายตาไปให้เฉียนเหมยเซียทันที เฉียนเหมยเซียที่กำลังร้องไห้อยู่ หล่อนเลยลืมไปแล้วว่าตอนที่นั่งอยู่บนรถพี่สาวเคยบอกอะไรหล่อนไว้ อีกทั้งหล่อนก็ยังไม่เข้าใจว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น เฉียนเหมยหรงที่ยืนอยู่ด้านหลังของฟู่ซินเลยรีบแสดงท่าทางเอามือขึ้นมากุมท้องของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางของพี่สาว เหมยเซียก็รีบเอามือมากุมท้องและพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนว่า “ปะ…ปวดท้อง”
ผู่ชูเฟิงตกใจในทันที ฟู่ซินเองก็ตกใจ สองแม่ลูกเลยคิดที่จะพาเฉียนเหมยเซียไปส่งที่โรงพยาบาล แต่เฉียนเหมยหรงกลัวว่าพอไปถึงโรงพยาบาลแล้วพวกเขาจะจับพิรุธของน้องสาวหล่อนได้ หล่อนเลยรีบห้ามพวกเขาเอาไว้ทันที “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แค่ให้เธอนอนพักสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้วล่ะ ไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอก”
ฟู่ซินไม่สนใจคำพูดของหล่อนแต่อย่างใด เขาอุ้มตัวของเฉียนเหมยเซียขึ้นแล้วรีบลงจากตึกทันที เฉียนเหมยหรงเองก็ตกใจสุด ๆ รีบวิ่งตามหลังไปทันที ผ่านไปไม่ถึง 1 ชั่วโมง คนตระกูลเฉียนก็มารวมตัวที่โรงพยาบาลกันหมด
และในตอนนี้แม่ของเฉียนเหมยเซียก็มาปรากฎตัว หล่อนถามผู่ชูเฟิงด้วยน้ำเสียงโมโห “นี่พวกเธอดูแลลูกสาวของฉันยังไง ห๊ะ ? พวกเธอดูแลลูกสาวของฉันยังไง ? ”
MANGA DISCUSSION