ตอนที่ 187 ช็อก
ติงเหมยอุ้มลูกกลับไปที่บ้าน ไม่น่าแปลกใจที่ตอนนี้อุณหภูมิในบ้านของหล่อนจะต่ำกว่าบ้านอื่น
ก่อนที่จะออกมาจากบ้านตระกูลกู้ หล่อนจงใจเดินไปเปิดดูโกดังเล็ก ๆ ข้างรั้วบ้านของพวกเขา หล่อนเห็นว่าด้านในโกดังนั้นมันเต็มไปด้วยกระบอกบรรจุถ่านหินใบแล้วใบเล่า พอมาดูในโกดังเก็บของบ้านตัวเอง มีเพียงกองถ่านหินที่น่าเวทนาอยู่แค่กองเดียว แต่ความจริงแล้วกองถ่านหินแค่นั้นมันก็เยอะมากแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีไม่เท่าบ้านตระกูลกู้ หล่อนได้ยินมาว่าเพิ่งจะเข้าเดือนพฤศจิกายน ผู้บัญชาการกู้ก็ซื้อถ่านหินมาเก็บไว้ที่บ้านมากกว่า 3 ตันแล้ว หลังจากนั้นเขายังซื้อมาเพิ่มอีก 2 ตัน บอกว่าปีที่แล้วใช้ไป 4 ตัน ปีนี้ลูกยังเล็กควรซื้อมาเพิ่มอีกหน่อย
บ้านตระกูลกู้มีเงินมากมายมหาศาล บ้านของพวกเขาใช้เตาแก๊สทำอาหารไม่เหมือนกับบ้านอื่น ๆ ที่ใช้เตาถ่าน สามคนพ่อแม่ลูกนอนที่เตียง ขอแค่จุดถ่านทำเตียงให้อุ่นแค่นั้นก็ได้แล้ว ห้องเล็ก ๆ และห้องครัวร้อนพอใช้ได้แล้ว ห้องโถงอุ่นด้วยเครื่องทำความร้อนผ่านไปนานเข้าก็ไม่มีทางที่จะรู้สึกเย็นมือ
ตอนที่บ้านตระกูลกู้เปลี่ยนขนาดเตียงให้เหลือเพียงแค่ครึ่งเดียวของขนาดเตียงเดิม หล่อนกับโจวเผิงก็ยังแอบหัวเราะเยาะพวกเขา บอกว่าสุดท้ายเดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนเตียงนั่นให้กลับมาใหญ่เหมือนเดิม ตอนนี้ดูเหมือนเจ้าตัวน้อยนั่นจะนอนที่ห้องโถง พวกเขาสองสามีภรรยาก็นอนกันอย่างอิสระที่เตียง เพราะอย่างนั้นคุณยายคนนั้นก็เหมือนสาวใช้ที่คอยเอาแต่เลี้ยงลูกให้เขาไม่ใช่รึไง
ติงเหมยเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาบนผนังเพื่อดูเวลา จากนั้นก็วางลูกลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง แล้วหล่อนก็ออกไปต้มน้ำทำก๋วยเตี๋ยวกิน ตอนนี้หล่อนไม่มีอารมณ์ทำของอร่อย ๆ กินเลยสักนิด
แต่หล่อนกลับคิดไม่ถึงเลยว่าเชิงหนานลูกสาวในอ้อมอกกลับทำตัวไม่ดี พอออกจากมือแม่หล่อนก็ร้องไห้โวยวายทันที แต่พออุ้มขึ้นมาหล่อนก็หยุดร้องไห้งอแง เป็นอะไรที่ทรมานคนเป็นแม่อย่างหล่อนสุด ๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่ติงเหมยทำกับข้าว หล่อนก็ต้องใช้มือซ้ายอุ้มลูก ส่วนมือขวาก็ผัดกับข้าว
แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หล่อนรู้สึกหงุดหงิดสุด ๆ หล่อนโยนทารกอายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบลงไปบนเตียงแล้วด่าทอลูกสาวออกไปว่า “ร้อง ร้อง ร้อง เอาร้องไห้ เหมือนพ่อชาติชั่วของแกไม่มีผิด วัน ๆ ก็เอาแต่รังแกฉัน ชาติก่อนฉันคงไปทำเวรทำกรรมไว้จริง ๆ พวกแกสองคนพ่อลูกถึงได้ทำกับฉันแบบนี้”
ขณะพูดหล่อนก็ไม่ได้สนใจว่าลูกสาวของตัวเองกำลังร้องไห้อยู่ หลังจากนั้นหล่อนก็หมุนตัวเดินเข้าไปในครัวทันที หล่อนเริ่มตอกไข่เพื่อที่จะทำก๋วยเตี๋ยวผัดไข่
หลังจากที่โจวเผิงเดินฝ่ากระแสลมที่รุนแรงกลับมาถึงบ้าน เขาก็ได้ยินเสียงลูกร้องไห้ตั้งแต่หน้าประตู เขาจึงรีบเดินเข้ามาในบ้านทันที เขาเห็นลูกสาวกำลังนอนร้องไห้จนไอออกมาอยู่บนเตียง ส่วนภรรยาของเขาก็กำลังทำงานอยู่ในครัว เขาเลยอดที่จะขมวดคิ้วและพูดออกไปไม่ได้ว่า “ทำไมเธอไม่สนใจลูกเลย ห๊ะ ? ”
ติงเหมยพูดด้วยความโมโหว่า “ฉันไม่สนใจตรงไหน ฉันก็อยู่ดูแลลูกทั้งวัน ตอนนี้ก็ทำกับข้าวให้นายกิน แล้วฉันไม่สนใจลูกตรงไหน ห๊ะ ? ร้อง ร้อง ร้อง เอาแต่ร้องไห้”
โจวเผิงปวดใจอุ้มลูกสาวขึ้นมาโอ๋ เมื่อเห็นใบหน้าน้อย ๆ ที่แดงก่ำและบวมขึ้นมาจากการร้องไห้ของลูกสาว เขาก็โอ๋ลูกเบา ๆ และครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่าง
ติงเหมยเดินถือต้มหอมผัดไข่ทรงเครื่องเข้ามาด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ จากนั้นหล่อนก็กระแทกมันลงบนโต๊ะกินข้าว หล่อนหมุนตัวออกไปต้มบะหมี่ในห้องครัว และไม่แยแสโจวเผิงที่ไม่เคยเอาใจหล่อนเลยแม้แต่น้อย
ขณะอุ้มลูกโจวเผิงก็ถามออกไปเบา ๆ ว่า “ลูกสาวของพ่อ ใครทำให้แม่ของลูกโกรธหรือ ? แม่ของลูกกินดินปืนเข้าไปรึเปล่า ? ” หลังจากพูดจบจู่ ๆ เขาก็เห็นลูกสาวตัวสั่น เขาเลยรีบวางตัวของลูกสาวลง หลังจากเปิดผ้าอ้อมออกกลิ่นเหม็นก็โชยออกมาทันที
เขาเลยออกทำความสะอาดตัวลูกและเปลี่ยนผ้าอ้อมให้หล่อน ขณะเดียวกันติงเหมยก็ถือชามก๋วยเตี๋ยวเดินเข้ามา พอเห็นเขาทิ้งก้อนอุจจาระสีเหลือง ๆ ไว้ด้านข้าง หล่อนเลยอารมณ์เสียและด่าออกไปทันทีว่า “วัน ๆ ก็รู้จักแต่กิน ๆ ขี้ ๆ แกทำอะไรเป็นอีกบ้าง ห๊ะ ? ”
โจวเผิงฟังออกว่าติงเหมยต้องการพูดตีวัวกระทบคราด อย่าพูดถึงว่าเปลี่ยนผ้าอ้อมเสร็จแล้ว เขาจะไปล้างมือมากินข้าวเลย เขาเดินเข้าไปบอกให้ติงเหมยกินข้าวก่อน “เธอกินก่อนเลย ฉันไม่หิวเท่าไหร่”
ขณะมองติงเหมยกินบะหมี่คำโต เขาก็ถอนหายใจออกมา เขาคิดว่าภรรยาของเขาก็ผ่านอะไรหลาย ๆ อย่างมาไม่ง่ายเลย “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะซื้ออาหารกลับมาจากโรงอาหาร เธอไม่ต้องทำอาหารกลางวันแล้ว ถ้าตอนบ่ายหิวมากก็คุกกี้พีชไปก่อน พอตอนเย็นฉันกลับมา เธอก็ได้เป็นอิสระ”
ติงเหมยยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “ไม่คิดว่าอาหารที่โรงอาหารมันแพงแล้วรึไง ? ”
โจวเผิงไม่พูดอะไร หลังเงียบไปพักหนึ่ง เขาก็ถอนหายใจออกมา “จะทำยังไงได้ล่ะ ฉันเองก็ปล่อยให้เธอทรมานแบบนี้ไม่ได้หรอก เดี๋ยวพอลูกโตแล้ว เธอก็จะสบาย ! ”
ติงเหมยใช้ตะเกียบเคาะข้าง ๆ ถ้วยข้าว จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “ฉันว่านะ นายลองไปคุยกับแม่ของนายหน่อยสิ ฉันจะให้หล่อนดูแลลูกของเรา แล้วฉันก็จะปั๊มนมส่งไปให้หล่อน จากนั้นฉันก็จะหางานเก็บเงินสักสองปี รอคลอดลูกชายแล้วนายค่อยเปลี่ยนงาน ชีวิตของเราสองคนจะได้ดีขึ้นหน่อย มีเงินไว้ใช้ทำอะไรได้บ้าง ! ”
เมื่อติงเหมยพูดถึงเรื่องเปลี่ยนอาชีพขึ้นมาอีก โจวเผิงเลยอารมณ์เสียขึ้นมาทันที เขาเสียงแข็งปฏิเสธหน้าตึง “รอก่อนเถอะ ลูกเพิ่งจะโตได้ไม่เท่าไหร่เลย เธอก็จะให้หย่านมแล้ว”
ติงเหมยไม่แยแส “พี่สาวของฉันส่งลูกคนโตไปให้แม่สามีเลี้ยงให้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนแล้ว ส่วนคนที่สองอายุได้ 100 วันก็ส่งไปแล้ว มีอะไรไม่ได้กันล่ะ หรือลูกของนายล้ำค่านักรึไง ! ”
โจวเผิงก้มหน้าไม่พูดไม่จา หลังกินข้าวเสร็จแล้วเขาก็เตรียมตัวจะออกไปทำงานตอนบ่ายต่อ ก่อนที่เขาจะออกไปเขาก็หันมาพูดกับติงเหมยว่า “ถ้าเธออยู่บ้านแล้วมันเบื่อมาก เธอก็ไปนั่งเล่นที่บ้านผู้บัญชาการกู้สิ เด็กสองคนก็เกิดไล่เลี่ยกัน เหมาะที่จะเป็นเพื่อนกันพอดี ! ”
ติงเหมยไม่อยากพูดว่าบ้านคนโน้นคนนี้ดีต่อหน้าสามี หรือบอกว่าหล่อนอิจฉาคนอื่น หลังจากที่หล่อนครุ่นคิดอยู่สักพัก ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวสมองของหล่อน จะว่าไปมันก็ถูกนะ ลูกชายของจางฉุ้ยเหลียนก็อายุเท่ากับลูกสาวของหล่อน อีกทั้งเธอยังชอบทำตัวขี้อวด เพราะอย่างนั้นแล้วหล่อนอุ้มลูกไปเล่นที่บ้านของเธอดีกว่า อย่างน้อยในช่วงฤดูหนาวแบบนี้ก็จะได้ประหยัดค่าถ่านหินไปได้เยอะ ขณะเดียวกันก็จะได้กินผลไม้ดี ๆ ในบ้านของเธออีกต่างหาก เพราะอย่างนั้นหล่อนก็จะได้ไม่ต้องซื้อ และถ้าหล่อนไปตอนเที่ยง หล่อนก็จะได้กินอาหารที่ปรุงเสร็จแล้วกับชาวบ้านด้วย
ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ดีไปหมด หล่อนคิดว่าตัวเองช่างเป็นภรรยาที่ใช้ชีวิตได้ดีจริง ๆ
เมื่อถึงช่วงบ่าย เมื่อกู้จื้อเฉิงคิดว่าตอนนี้ตงลี่หวาก็ใกล้จะกลับมาบ้านแล้ว เขาเลยทำใจให้สงบลงและเริ่มถามคำถามต่าง ๆ ที่เขายังคงติดใจกับจางฉุ้ยเหลียนอีกครั้ง แต่จางฉุ้ยเหลียนก็รู้แค่เหตุการณ์สำคัญใหญ่ ๆ ระดับประเทศเท่านั้น
แต่เรื่องใหญ่ระดับชาติพวกนี้กลับทำให้กู้จื้อเฉิงรู้สึกตื่นเต้นและเบื่อหน่ายด้วยเช่นกัน สีหน้าที่แสดงถึงความกังวลต่อประเทศชาติ และประชาชนของเขามันก็ดูตลกมาก “เป็นอะไร พี่อยากลงเล่นการเมืองหรือ ? พี่อยากจะรู้อนาคตเอาไว้บ้าง เผื่อจะได้เอาไว้เตรียมตัวล่วงหน้าว่างั้น ? ”
กู้จื้อเฉิงคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนก็แค่พูดหยอกล้อเขาเท่านั้น เขาส่ายหน้าและพูดออกไปว่า “เดิมทีฉันก็ไม่ใช่คนแบบนั้นอยู่แล้ว มีบางสิ่งบางอย่างที่เกิดมาแล้วไม่สามารถทำได้ แต่เรื่องที่เธอพูดมาฉันจะจำเอาไว้ ฉันจะปล่อยให้ประเทศชาติและประชาชนเดือดร้อนไม่ได้”
จางฉุ้ยเหลียนเงียบไม่พูดไม่จา เมื่อเทียบกับกู้จื้อเฉิงแล้วตัวเองเป็นคนใจแคบจริง ๆ นั่นแหละ เธอคิดแค่ว่าจะใช้ประโยชน์จากเวลาทำให้ครอบครัวของตัวเองมีชีวิตที่ดี และหนทางที่ดีที่สุดก็คือ นั่งเครื่องบินกลับบ้านและอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ สำหรับประเทศชาติแล้ว เธอก็คิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเธอจะเก่งขนาดไหน แต่เธอก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามกาลเวลา
ตอนที่กู้จื้อเฉิงได้ยินคำว่าน้ำท่วม ตลาดหุ้นล้ม โรคภัยไข้เจ็บ และแผ่นดินไหว เขาก็ทำตัวเป็นคนป่วยสุดเศร้า และท่าทางของเขามันก็ทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกละอายใจสุด ๆ หลังจากนั้นเขาก็เอาแต่เดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง ไม่รู้จะทำยังไงดี คำพูดเต็มหัวแต่ไม่รู้จะเอาไประบายให้ใครฟัง และจะมีใครเชื่อเขาบ้างรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
หลังจากที่ตงลี่หวากลับมาถึงบ้าน หล่อนก็เห็นว่าทั้งสองคนกลับมาคืนดีกันแล้ว เพียงแต่กู้จื้อเฉิงดูเคร่งเครียดและมักจะลากจางฉุ้ยเหลียนไปคุยในห้องนอนบ่อย ๆ แม้จะไม่รู้ว่าทั้งสองคนเล่นทายปริศนาอะไรกัน แต่เมื่อความรู้สึกกลับมาเหมือนเก่าแล้วหล่อนก็วางใจ
ตอนกลางคืนขณะนอนอยู่บนเตียง กู้จื้อเฉิงก็ให้จางฉุ้ยเหลียนเล่าถึงเหตุการณ์ที่เธอได้พบเห็นอีกครั้งให้เขาฟัง และเรื่องทั้งหมดนั้นมันก็เกี่ยวข้องกับประเทศชาติและประชาชน และนั่นมันก็ทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกเครียดเป็นอย่างมาก เพราะความสามารถของกู้จื้อเฉิงไม่มีทางต่อต้านเหตุการณ์ตามกาลเวลาที่จะต้องเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน “ถึงฉันจะไม่เข้าใจ แต่ฉันก็อ่านหนังสือประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจมาไม่น้อย เช่นเรื่องหุ้นนี่ ฉันรู้เรื่องของหุ้นมาจากหนังสือต่างประเทศ เพราะประเทศของพวกเขาก้าวหน้ากว่าบ้านของเราอยู่หลายสิบปี พวกเขาผ่านเหตุการณ์ที่พวกเราต้องเจอมาแล้ว ถึงจะไม่ใช่ประเทศเดียวกัน แต่นี่มันก็เหมือนกับ (ทฤษฎีวิวัฒนาการ) ของดาร์วิน เพียงแค่เดินต่อไปข้างหน้า มันก็ต้องเกิดขึ้นแน่นอน”
วันนี้กู้จื้อเฉิงเหมือนติดอยู่ในพายุ เหมือนกับชิงช้าที่จู่ ๆ ก็ขึ้น ๆ ลง ๆ มันเหนื่อยซะยิ่งกว่าการออกไปวิ่ง 10 กิโลเมตรซะอีก แต่เขาก็ไม่ง่วงเลยสักนิด ราวกับว่าตัวเองได้ดื่มกาแฟแก้วใหญ่เข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
“บางเรื่องมันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป ถึงอย่างไรตอนนี้มันก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นไม่ใช่หรือ ขอแค่ยังไม่เกิด พวกเราก็มีโอกาสเปลี่ยนมันได้ แต่พี่ก็อย่าเอาเรื่องนี้ออกไปพูดข้างนอก หรือพูดสิ่งที่ตัวเองคาดเดาให้คนอื่นฟังล่ะ คนอื่นเขาจะหาว่าพี่เป็นบ้า” ต่อจากนั้นเธอก็เล่าเรื่อง ๆ หนึ่งในเขาฟัง เรื่องมีอยู่ว่า มีประเทศนิรนามแห่งหนึ่งเกิดเหตุสึนามิ แผ่นดินไหว และเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย มีคนบอกว่าตัวเองทำนายเรื่องที่จะเกิดขึ้นเอาไว้แล้ว แต่นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ของประเทศนั้นกลับเห็นว่าทุกอย่างปกติดี เลยไม่ได้เก็บไปใส่ใจ หลังเกิดภัยพิบัติครั้งนั้นแล้ว ถึงได้มีสื่อรายงานออกไป
“ถ้าคน ๆ นั้นทะลุมิติกลับมาเกิดใหม่เหมือนฉันล่ะ ? หรือแม้ว่าคน ๆ นั้นจะสามารถทำนายอนาคตได้ ? แต่พี่เห็นไหมล่ะว่าเหตุการณ์บางอย่างที่มันจะเกิด ถึงอย่างไรมันก็ต้องเกิดขึ้น เพราะมันเป็นบทลงโทษจากธรรมชาติคืนสู่มนุษย์ ในเมื่อมันไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ งั้นพวกเราก็พยายามทำให้สูญเสียน้อยที่สุดก็พอแล้ว” ขณะฟังคำแนะนำของจางฉุ้ยเหลียน หัวใจของกู้จื้อเฉิงก็ค่อย ๆ สงบลง
เช้าวันรุ่งขึ้นกู้จื้อเฉิงก็ออกไปทำงานตามปกติ ส่วนเรื่องของจางฉุ้ยจวินเขาก็ไม่แม้แต่จะเอ่ยถาม และจางฉู้ยเหลียนก็ไม่คิดที่จะพูดด้วย
ส่วนติงเหมยก็ทำตัวน่าสงสัยเป็นอย่างมาก หล่อนหิ้วของมาหาที่บ้านตระกูลกู้วันเว้นวัน บอกว่าอยากให้เด็กสองคนได้เล่นกัน เพราะไม่ว่ายังไงพวกเขาก็อายุไล่เลี่ยกัน
จางฉุ้ยเหลียนเฝ้ามองคังคังและเชิงหนานอยู่ในห้องนั่งเล่น เด็กทั้งสองคนดูจะชอบพอกันมาก แต่พวกเขาก็เพิ่งจะอายุเท่าไหร่กันเอง แต่ถึงอย่างนั้นคนที่อายุเท่ากันก็สามารถคุยภาษาเดียวกันได้
ตอนนี้เชิงหนานก็สามารถนั่งเองได้แล้ว พอหล่อนชวนคังคังเล่นด้วย คังคังก็เล่นกับหล่อน แม้แต่ตงลี่หวาก็ยังพูดว่า พอทั้งสองคนได้กินด้วยกันนอนด้วยกัน น้ำหนักตัวของคังคังก็เยอะขึ้นมาก
อย่าว่าแต่คังคังเลย ตั้งแต่ติงเหมยมาเล่นที่บ้าน ตงลี่หวาก็ดูมีความสุขขึ้นมากเหมือนกัน ถ้าทั้งสองคนไม่ถักไหมพรม พวกเธอก็จะดูโทรทัศน์ด้วยกัน และในตอนกลางวันผู้หญิงทั้งสามคนก็จะมานั่งกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข
เพียงแต่มันจะลำบากจางฉุ้ยเหลียนหน่อย เพราะเธอเขียนนิยายได้น้อยลงเรื่อย ๆ แต่เธอก็ไม่สามารถทนได้ที่จะปล่อยให้ตงลี่หวาไม่มีคนคุยเล่นด้วย เพราะอย่างนั้นเธอเลยได้แต่ออกกำลังกายและปลูกฝังนิสัยใหม่ให้กับตัวเอง
พอเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนถือสมุดและปากกาเข้าไปในห้องนอนคนเดียว ติงเหมยก็อดที่จะถามตงลี่หวาออกไปไม่ได้ว่า “ป้าคะ ป้าคิดว่าหล่อนเอาแต่อ่านเขียนหนังสือทั้งวันแบบนั้น หล่อนไม่เหนื่อยบ้างเลยรึไง ? ”
ตงลี่หวาถักไหมพรมพร้อมกับตอบกลับไปว่า “มีอะไรให้เหนื่อยกันล่ะ? หล่อนชอบเขียนหนังสือเล่นแบบนั้นอยู่แล้ว ถ้าเธอให้หล่อนมาดูโทรทัศน์น่ะสิ หล่อนจะไม่มีความสุข”
“มีคนชอบเขียนหนังสือเล่นด้วยอย่างนั้นหรือ ไอ้หยา มันน่าสนใจตรงไหนกัน สู้เหล่าโจวสามีของฉันที่เอาแต่ถือหนังสือนิยายทำเป็นมีความรู้ก็ไม่ได้” ติงเหมยหัวเราะคิกคักออกมา
ตงลี่หวาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หล่อนบุ้ยปากและพูดออกไปว่า “ก็นั่นมันงานของหล่อน จะทำยังไงได้ล่ะ ถึงยังไงก็ต้องชอบ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ติงเหมยก็ถามออกไปด้วยความสงสัยว่า “งาน ? เขียนหนังสือก็หาเงินได้อย่างนั้นหรือ ? ”
ตงลี่หวาวางไม้ถักไหมพรมในมือลง แล้วพูดออกไปด้วยความภูมิใจว่า “ใช่แล้วล่ะ ลูกสาวของฉันหาเงินจากการเขียนหนังสือ”
MANGA DISCUSSION