ตอนที่ 490 – ยังมีอีกหนึ่งคน
เวลานี้ เส้นทางวังเซียนกำลังจะปิดตัวลง ทุกคนน่าจะเร่งรุดออกไปจึงจะถูก ทำไมยังมีคนอยู่
โม่เทียนเกอกำลังวางแผนจะเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแล้วค่อยว่ากัน กลับสัมผัสได้ว่าบนร่างคนคนนี้มีเจตกระบี่อันเข้มข้น ความคิดวูบผ่านในสมอง นางหยุดเรียกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนออกมา หันหน้าไปมอง
“ข้ากลับมาอีกแล้ว” ผู้มาพูดอย่างอ่อนระโหยโรยแรง เผยรอยยิ้มขมขื่นให้นาง
โม่เทียนเกอตะลึงลาน “ท่าน……ทำไมท่านไม่ไป” ถึงบอกว่าไว้พบกันใหม่ แต่ก็ไม่ต้องเร็วขนาดนี้กระมัง
“เฮ้อ!” ผู้มาถอนหายใจยาว ไม่ใช่จิ่งสิงจื่อแล้วจะเป็นผู้ใด
เขาจากไปนานมากแล้วกระมัง ถ้าหากตามแผนที่แผ่นนั้นที่นางให้ น่าจะออกจากเส้นทางวังเซียนแล้วถึงจะถูก ทำไมหันกลับมาอีกเล่า โม่เทียนเกอไม่เข้าใจถึงสิบส่วน
จิ่งสิงจื่อแบมือ เอ่ยว่า “ดูท่าชะตาชีวิตข้ากำหนดไว้แล้วว่าต้องอยู่ที่นี่กับพวกท่านสองคน”
“เกิดอะไรขึ้น” โม่เทียนเกอสับสน ไม่มีนางกับฉินซีเป็นตัวถ่วง ด้วยความสามารถของจิ่งสิงจื่อ การออกจากเส้นทางวังเซียนน่าจะไม่ยากกระมัง เหตุใดหันกลับมาอีก
จิ่งสิงจื่อถอนหายใจลึก ๆ บนใบหน้าปรากฏแววเหนื่อยล้า โยนสิ่งของหนึ่งให้นาง
โม่เทียนเกอรับมา กลับเป็นแหวนเอกภพวงนั้น
จิ่งสิงจื่อเอ่ยว่า “ข้าคนนี้ถึงจะจิตใจอำมหิตฝีมือเหี้ยมโหด แต่ไม่เคยทำเรื่องที่ผิดคำพูด ร่วมมือกับคนอื่นก็จะไม่ฮุบกลืนสินสงคราม ครั้งนี้ถูกพวกท่านทำร้ายสาหัส ดังนั้น ข้าเอาศิลาวิญญาณระดับสูงทั้งหมดและหยกผลึกส่วนใหญ่ในนี้ไปเป็นการชดเชย อันนี้เป็นของพวกท่าน”
แหวนเอกภพถึงจะหายาก ถึงที่สุดแล้วเป็นเพียงอาวุธเวทเก็บของชิ้นหนึ่ง สำหรับเขาแล้ว ยังคงเป็นศิลาวิญญาณระดับสูงและหยกผลึกที่มีประโยชน์จริงมากกว่า สามารถช่วยเขาฝึกตน หยกผลึกในนี้ยังสามารถฝังลงไปบนกระบี่บินคู่ชีพของเขา นี่มีประสิทธิภาพมากกว่าหยกผลึกวิญญาณมาก หลอมเสร็จแล้ว พลังอำนาจของกระบี่บินจะยกระดับขึ้นอย่างใหญ่หลวง
คิดถึงตรงนี้ จิ่งสิงจื่อตะลึงไป หากออกไปไม่ได้ ชั่วชีวิตนี้ถูกขังอยู่ในวังเซียนนี้ กระบี่บินของเขาจะทรงพลังอีกแค่ไหนแล้วจะอย่างไรเล่า ตอนที่ไปจากเทียนจี๋ เขาคิดว่า หากมีสักวันกลายเป็นผู้อาวุโสกระบี่จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย เขาจะต้องกลับไปยังเทียนจี๋ กลับไปที่สำนักกู่เจี้ยน แย่งชิงสิ่งที่เป็นของตนเองเป็นของซือจุนกลับมา ดังนั้น ถึงเขาจะกลายเป็นผู้ฝึกตนอิสระ พเนจรไปทั่ว กลับไม่เคยยอมแพ้ต่อตนเอง แต่ตอนนี้เล่า เมื่อครู่ที่เขาหันกลับมา ความคิดล้างแค้นอันนี้ ถึงกับไม่เคยคิดถึงเลย
ถึงตอนท้ายสุด เขาเผยรอยยิ้มขมขื่น ช่างเถอะ ๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากออกไปนี่ ใครใช้ให้เขาโชคร้าย พบกับดาวข่มสองคนนี้เล่า
โม่เทียนเกอถือแหวนเอกภพวงนั้น ทอดมองจิ่งสิงจื่อ รอเขาอธิบาย
จิ่งสิงจื่อถอนหายใจอีก ลมที่เขาถอนหายใจวันนี้มากกว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมาเสียอีก ถัดจากนั้น กลับขมวดคิ้ว “อั๊ก!” กระอักเลือกออกมาคำหนึ่ง
“สหายเต๋าจิ่ง!”
จิ่งสิงจื่อทรุดนั่งบนพื้น เช็ดคราบโลหิตที่ปากอย่างไม่แยแสสักนิด ยิงยิ้มให้นาง “ตอนนี้รู้แล้วกระมัง ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากไป เป็นข้าออกไปไม่ได้”
“ท่าน……” โม่เทียนเกอสายตาซับซ้อน ถามเสียงต่ำว่า “เป็นใคร”
“ย่อมเป็นสองคนนั้นของสำนักจิ่วเยี่ยน” จิ่งสิงจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ที่หน้าเส้นทางวังเซียน ข้าเจอกับพวกเขาอีก คนที่อยู่จิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางคนนั้นรักษาบาดเจ็บอยู่ข้างบนมาตลอด ไม่ได้ลงมา ความแข็งแกร่งยังสมบูรณ์ดี พวกเขาขั้นกลางหนึ่งคน ขั้นปลายหนึ่งคน ข้าได้แต่หนีเอาชีวิตรอด”
“……” โม่เทียนเกอไม่ได้พูดจาไปครึ่งค่อนวัน เมื่อครู่ที่นี่ สาเหตุที่อาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนไม่ลงมือเป็นเพราะว่าเขามีเพียงคนคนเดียว และยังคำนึงถึงอาจารย์เต๋าหยวนมู่และหลิงอวิ๋นเฮ่อ ออกไปจากที่นี่ รวมตัวกับหลิงซื่ออวี่ เจอกับจิ่งสิงจื่ออีก ย่อมจะต้องเอาเขามาระบายโทสะ จิ่งสิงจื่อถึงจะร้ายกาจ แต่ถึงที่สุดแล้วเป็นเพียงระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้น เผชิญกับการล้อมสังหารของผู้ฝึกตนขั้นกลางคนหนึ่งและผู้ฝึกตนขั้นปลายคนหนึ่ง ได้แต่หนีถ่ายเดียว
เรื่องนี้ โม่เทียนเกอไม่ได้รู้สึกผิดเกินไป จิ่งสิงจื่อเลือกจะร่วมมือกับพวกเขา ย่อมต้องแบกรับความเสี่ยงตรงนี้ แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ที่เขาออกไปไม่ได้มันเกี่ยวข้องกับพวกเขาสองคนเสมอ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทั้งสามคนตอนนี้เรียกได้ว่าผู้ร่วมทุกข์เห็นใจกันและกันอย่างแท้จริง เส้นทางวังเซียนจวนจะปิดแล้ว พวกเขาตอนนี้ล้วนไม่มีกำลังจะออกไป
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน โม่เทียนเกอก็ถอนหายใจ ล้วงโอสถหนึ่งขวดออกมาจากกระเป๋าเอกภพ โยนให้เขา “ไม่มีหนทางแล้ว รักษาบาดเจ็บก่อนเถอะ”
จิ่งสิงจื่อรับมา เปิดขวดหยกดมดู ดวงตาเป็นประกาย “พวกท่านนี่ของดีเยอะดีแท้ ยาเก้าตลบคืนหยาง โอสถรักษาบาดเจ็บประเภทนี้ถึงกับมีด้วย! ใช่แล้ว เจ้าเด็กฉินโส่วจิ้งนี่ทักษะหลอมยาไม่เลว ฐานะก็ร่ำรวย ย่อมใช้แต่ของดี ๆ” เทมาหนึ่งเม็ดกลืนลงไป คิดแล้ว เก็บโอสถทั้งขวดใส่เข้าไปในอกเสื้ออย่างทะนุถนอม เอ่ยว่า “คืนข้านะ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ที่ข้าออกไปไม่ได้พวกท่านก็มีส่วนรับผิดชอบนิดหนึ่ง ข้าเก็บค่าชดเชยนิดหนึ่งก่อน”
โม่เทียนเกอทั้งขบขันและหงุดหงิด เขานี่มันช่าง……
“รีบรักษาบาดเจ็บหน่อยเถอะ วาจาไร้สาระมากมายขนาดนี้!” โอสถนี้ถึงจะล้ำค่า แต่พวกเขาไม่ได้ขาดหญ้าวิญญาณ สามารถหลอมขึ้นได้ทุกเมื่อ มอบให้เขาสักขวดจะนับเป็นอะไร
แต่ว่า นี่ก็ยุ่งยากแล้ว มีคนอื่นอยู่ที่นี่ นางจะเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอย่างไรเล่า
คิด ๆ ดูแล้ว ส่ายหน้าอย่างจนใจ ช่างเถอะ ตอนนี้ในศาลเจ้าแห่งนี้ ปราณมารไม่เหลือแล้ว พลังวิญญาณเต็มเปี่ยม และยังมีลมหายใจแห่งหงส์เพลิงที่ตกค้าง ไม่ได้ด้อยกว่าในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนสักเท่าไหร่ ถึงอย่างไรโอสถบนตัวนางยังมีอยู่มาก รักษาบาดเจ็บที่นี่เถอะ สำหรับอนาคต…… หากออกไปไม่ได้จริง ๆ ย่อมมีโอกาสเสมอ
คิดเยี่ยงนี้แล้ว นางล้วงหนังอสูรปีศาจหนึ่งผืนออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ วางฉินซีลงไป ตนเองก็กลืนโอสถหนึ่งเม็ด เริ่มนั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจ
เพื่อรักษาบาดเจ็บให้ฉินซี เมื่อครู่นี้โม่เทียนเกอแทบจะให้พลังวิญญาณทั้งร่างกายไปจนหมดสิ้น การปรับลมหายใจนี้ใช้เวลาเกือบหนึ่งวันหนึ่งคืน
รอจนนางลืมตาทั้งคู่ จิ่งสิงจื่อก็ไม่อยู่แล้ว
เส้นทางวังเซียนปิดตัวแล้ว คิดว่าจะต้องไม่มีคนอื่น เขาอาจจะออกไปเดินเล่นข้างนอก พวกเขาไม่รู้ว่าต้องรั้งอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมก็สมควรแล้ว
โม่เทียนเกอคิดแล้วฉวยที่จิ่งสิงจื่อไม่อยู่ พาฉินซีเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
พอเข้าไป ปล่อยเสี่ยวหั่วและเสี่ยวฝานออกมาก่อน ไม่ให้ต่อสู้กัน ให้พวกมันฝึกตนต่อในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน สำหรับเฟยเฟย อยู่ข้างนอกกลับมีประโยชน์
เมื่อมองเสี่ยวฝาน นางอดคิดถึงสัญญาณที่ตนเองมีต่อฝูงชางหลงไม่ได้ วันใดหากนั่งละสังขาร หรือว่ามีวาสนาแปลงเทพ จะยกเลิกสัญญาอสูรวิญญาณ ปล่อยมันกลับทะเลตะวันออก ปัจจุบันนี้นางถูกขังอยู่ในวังเซียนนี้ ไม่รู้ว่าคำสัญญานี้ยังสามารถทำได้หรือไม่
ส่ายหน้า ปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อน เรื่องที่สัญญา นางจะทำเต็มกำลัง แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ไม่ได้
ถัดจากนั้น นางจัดเก็บสิ่งของ แล้วพาฉินซีออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน กลับไปอยู่ในตำหนักใหญ่หงส์เหลิง
วังใต้ดินนี้ นอกจากศาลเจ้าแแห่งนี้ ไร้สิ่งปลูกสร้างอื่นใด พลังวิญญาณข้างในถึงจะเต็มเปี่ยม แต่มืดครึ้มเกินไป หากมีโอกาส ยังคงต้องไปที่ด้านบน
แต่ว่า ในระยะเวลาสั้น ๆ ทำไม่ได้ เพราะว่าศพหลอมระดับแปลงเทพตัวนั้นยังท่องอยู่ด้านบน
โม่เทียนเกอคิดเยี่ยงนี้แล้ว หยิบสิ่งของออกมาจากกระเป๋าเอกภพทีละชิ้น
ผ่านไม่นาน จิ่งสิงจื่อกลับมาแล้ว เขาฝีเท้าเบาสบาย จิตสมาธิไม่เลว ดูท่า อาการบาดเจ็บฟื้นฟูได้ดีมาก
เมื่อเห็นโม่เทียนเกอ เขาตะลึงไปพักหนึ่ง แล้วจึงชี้ไปที่สิ่งของรอบกายนางถามว่า “ท่านช่าง……”
“ไปไม่ได้ชั่วคราว ต้องอยู่ให้สบายหน่อยไม่ใช่หรือ” โม่เทียนเกอเหล่มองเขา เทชาให้ตนเองอย่างนิ่งเฉย
ที่มุมหนึ่งของตำหนักใหญ่ถูกนางจัดเป็นห้องฝึกตนเล็ก ๆ หนึ่งห้อง ด้านในสุดเป็นเตียงไม้ไผ่หนึ่งหลัง ปูหนังอสูรอันนุ่มนิ่ม ฉินซีก็ถูกวางอยู่ที่นั่น ด้านข้างยังคงเป็นหนังสัตว์หนึ่งผืน บนนั้นวางเสื่อสวดมนตร์ เป็นที่ฝึกตนของตัวนางเอง ด้านหน้าจัดโต๊ะน้ำชาหนึ่งตัว ด้านข้างมีเตาน้ำชาขนาดเล็ก ด้านนอกสุดเป็นโต๊ะเตี้ยหนึ่งแถว วางตำราต่าง ๆ นานา เป็นทั้งของตกแต่งแล้วก็ฉากกั้น
จิ่งสิงจื่ออุทานอย่างตื่นตะลึง ส่ายหน้าเอ่ยว่า “สตรีก็คือสตรี……”
โม่เทียนเกอชี้ไปอีกด้านหนึ่งของรูปปั้นเทพหงส์เพลิง “ฝั่งนั้นเป็นของท่าน ไม่รบกวนกันและกัน”
มีรูปปั้นเทพและโต๊ะบูชาขวางกั้น ต่างฝ่ายจะไม่เห็นกันอย่างทะลุปรุโปร่ง รักษาพื้นที่ส่วนตัวนิดหน่อย
จิ่งสิงจื่อกวาดตามอง ไม่พูดอะไรมากอีก เดินไปหานาง “ข้าเพิ่งจะเดินวนทั่ววังใต้ดิน”
โม่เทียนเกอผลักเสื่อสวดมนตร์อีกใบออกไป ให้เขานั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะน้ำชา ถามว่า “มีการค้นพบอะไรหรือ”
จิ่งสิงจื่อลังเลชั่วขณะ กล่าวว่า “มีคนที่เป็นอย่างพวกเรา ไม่ได้ออกไป”
“อะไรนะ” โม่เทียนเกอประหลาดใจ จากนั้นขมวดคิ้ว “หรือว่าเป็นประมุขมารกุ่ยฟางคนนั้น” พวกเขาออกไปไม่ได้เป็นเพราะว่าความแข็งแกร่งจำกัด คนอื่นไม่มีปัญหานี้กระมัง
จิ่งสิงจื่อพยักหน้าก่อน แล้วจึงส่ายหน้า “ใช่ แล้วก็ไม่ใช่”
“หมายความว่าอะไร”
“ประมุขมารกุ่ยฟางคนนั้นสิ้นชีพแล้ว” จิ่งสิงจื่อเอ่ย
โม่เทียนเกอตะลึง “อะไรนะ? !” ถึงจะบอกว่าเคยคาดเดา แต่นางไม่เชื่อมาโดยตลอดว่าประมุขมารที่สามารถต่อสู้กับอู๋หมิงเจินเจ่อจะถึงกับสิ้นชีพลงไปเช่นนี้ นางอดคิดถึงเมืองกุ่ยฟางไม่ได้ คิดถึงคำวิจารณ์ที่เหล่าผู้ฝึกมารในเมืองพวกนั้นมีต่อประมุขมารกุ่ยฟาง ยังมีเล่ห์กลที่เขาได้รับเจดีย์มารสวรรค์แต่ปิดไว้ไม่ประกาศ ถึงแม้อายุขัยของเขาจะไม่มากแล้ว แต่การสิ้นชีพไปอย่างนี้…… ชวนให้ผู้คนเชื่อได้ยากมากจริง ๆ
“สรุปแล้วท่านเห็นอะไร”
“ท่านเคยพูดว่า ที่นี่มีศิลาจารึกปีศาจแรกเริ่มหนึ่งหลัก เป็นที่มาของปราณมารพวกนั้นแต่ก่อนนี้ ใช่หรือไม่”
โม่เทียนเกอพยักหน้า ตอนที่เพิ่งเข้าวังใต้ดิน นางเคยพูดเยี่ยงนี้กับจิ่งสิงจื่อ
“ข้าเพิ่งจะเดินวนรอบในวังใต้ดิน หาศิลาจารึกหลักนั้น”
“จากนั้นเล่า” โม่เทียนเกอถาม หรือว่าประมุขมารกุ่ยฟางไม่อาจดูดซับปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มมากขนาดนั้น ดังนั้นตัวระเบิดตายไปแล้ว?
“ประมุขมารกุ่ยฟางก็สิ้นชีพอยู่ข้าง ๆ ศิลาจารึกหลักนั้น” จิ่งสิงจื่อพูด “แต่ว่า ยังมีหนึ่งคนที่มีชีวิต”
โม่เทียนเกอตะลึง หลุดปากว่า “หยางเฉิงจี?!”
“มิผิด ก็คือเขา” จิ่งสิงจื่อเอ่ย “ตอนนี้เขามีปราณมารทั่วร่าง รอบด้านกระจัดกระจายด้วยสิ่งมีชีวิตมารนับไม่ถ้วน แต่ ปราณมารของสิ่งมีชีวิตมารเหล่านี้ล้วนหายไปแล้ว กลายเป็นสิ่งวายชนม์”
โม่เทียนเกอสีหน้าแปรเปลี่ยนไป “หรือว่า ผู้ที่ฝึกมหาเวทปีศาจแรกเริ่มแล้วดูดซับปราณมารที่นี่ก็คือเขา”
“มหาเวทปีศาจแรกเริ่ม?” จิ่งสิงจื่อถาม
โม่เทียนเกอพยักหน้าช้า ๆ “มิผิด บนศิลาจารึกหลักนั้นบันทึกวิชาเวทสายมารชั้นสุดยอดเอาไว้ ก็คือมหาเวทปีศาจแรกเริ่ม”
จิ่งสิงจื่อขมวดคิ้วครุ่นคิด สุดท้ายคิดไม่ออก ส่ายหน้า นอกจากครั้งภูเขามารนั่น เขากับซงเฟิงซ่างเหรินไร้ความเกี่ยวข้อง และก็ไม่ทราบว่าสิ่งที่เขาฝึกคือมหาเวทปีศาจแรกเริ่ม ดังนั้นไม่ทราบเลยว่านี่เป็นวิชามารเช่นไร
“ข้าไม่รู้จักมหาเวทปีศาจแรกเริ่มอะไรนั่น” จิ่งสิงจื่อพูด “เห็นเด็กนั่นฝึกวิชามารอยู่ตรงนั้น เดิมข้าคิดจะให้กระบี่เดียวปลิดชีพเขาเลย แต่พอคิดอย่างละเอียด เส้นทางวังเซียนปิดลงแล้ว คนเพิ่มอีกคนก็ดี ไม่แน่ว่าถึงเวลาหาหนทางออกไปได้ เขาก็จะเป็นแรงสนับสนุน”
“โชคดีที่ท่านไม่ได้ฆ่าเขา” โม่เทียนเกอผ่อนลมหายใจ หยางเฉิงจีกับนางนับว่าเป็นคนรู้จักเก่า พฤติกรรมก็ยังดีอยู่ คิดแล้ว นางขมวดคิ้วอีก “ประมุขมารกุ่ยฟางสิ้นชีพได้อย่างไร ในเมื่อเขาสิ้นชีพแล้ว ทำไมหยางเฉิงจียังมีชีวิต”
“นี่ข้าก็ไม่รู้แล้ว” จิ่งสิงจื่อเอ่ย “ประมุขมารกุ่ยฟางก็สิ้นชีพอยู่ที่ข้างกายหยางเฉิงจี ราวกับเป็นองครักษ์พิทักษ์ธรรม ข้าเดาว่า เป็นไปได้ว่าเขาจะปกป้องศิษย์จนตาย”
……………….
ตอนที่ 491 – ไม่สามารถยอมแพ้
MANGA DISCUSSION