บทที่ 10 แม่นางเซียว
แผนการถอยเพื่อรุกของเหลียงเฟยประสบความสำเร็จแล้ว ตระกูลเย่สุภาพมากขึ้น เมื่อถึงเวลามื้อกลางวันพวกเขาก็เตรียมยาบำรุงกำลังไว้ให้ตนโดยเฉพาะ เพื่อให้เขาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
ก่อนจะจากไป ตระกูลเย่ยังให้เงินยี่สิบตำลึงแก่เขา ในฐานะที่เขาไม่สมหวังในการสมรสเพื่อรักษาสายสัมพันธ์เอาไว้! แท้จริงแล้ว ตระกูลเย่หวังจะมีโอกาสกลับมาคืนดีอีกครั้งต่างหาก
เหลียงเฟยรับเงินยี่สิบตำลึงนั้นอย่างเต็มใจ ไม่ได้รู้สึกเคอะเขิน เขานำเงินจำนวนนี้ไปซื้อชุดใหม่เพื่อสลับใส่ จากนั้นจึงก็เลือกเข้าพักที่โรงเตี๊ยมอวิ๋นหลาย
การได้มายังจวนตระกูลเย่ในครั้งนี้ทำให้เขาได้รับประโยชน์มากมาย เหลียงเฟยตัดสินใจจะอยู่ต่ออีกสักสองสามวันก่อนกลับสำนักเซียนหยูฮั่ว เพื่อหวังจะได้ชมศาสตร์วิชาการต่อสู้ของคนอื่น แล้วนำไปปรับปรุงศาสตร์ลับของตนต่อในภายภาคหน้า
เขามั่นใจว่าตนจะประสบความสำเร็จอย่างสูงในการบ่มเพาะวิถีแห่งเทพและศาสตร์บงการสวรรค์!
หลังจากพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมอวิ๋นหลายได้สองสามวัน ในวันนี้ระหว่างที่เหลียงเฟยกำลังรับประทานอาหารกลางวัน บนโต๊ะของเขามีจานเล็กสองใบและจอกวางอยู่
ณ มุมของร้าน ชายวัยกลางคนร่างผอมไร้ราศีสีซอเอ้อหูคลอเบา ๆ เสียงกังวานของเครื่องดนตรีชิ้นนี้ มอบความอ่อนหวานทำให้รู้สึกสงบ ข้าง ๆ ชายผู้นั้น มีสตรีเยาว์วัยอายุราว ๆ 12 – 13 ปี กำลังร้องเพลง ‘ดอกเหมย’ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง ชวนให้หลงใหล
อาหารเลิศรส สุราชั้นเยี่ยม เสียงเพลงไพเราะเสนาะหู แสนจะเพลิดเพลิน!
แต่ความสุขนั้นย่อมไม่ยั่งยืน เมื่อจู่ ๆ ก็มีชายฉกรรจ์ห้าคนถือมีดเข้ามาทำลายบรรยากาศที่อันงดงามนี้จนป่นปี้
คนกลุ่มนั้นดูไม่เหมือนโจรผู้ร้าย พวกเขาสวมชุดเครื่องแบบสีเดียวกัน ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยพอสมควร คล้ายจะเป็นกองกำลังของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง!
เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาก็ส่งเสียงคำรามลั่น ทำให้เสียงบรรเลงเพลงที่เสนาะเพราะพริ้งต้องหยุดลงทันที! ผู้คนในร้านดูหวาดกลัวพวกเขามากกว่าเจอโจรผู้ร้ายเสียด้วยซ้ำ ทุกคนรีบหลบซ่อนตัวลงใต้โต๊ะ ร่างกายสั่นเทิ้ม เหมือนพบเจอเทพแห่งภัยพิบัติก็มิปาน
เว้นคนคนหนึ่ง นั่นคือเหลียงเฟย!
เขาไม่เพียงไม่กลัว แต่ยังรู้สึกหงุดหงิดเสียด้วยซ้ำ คิดในใจว่าพวกนี้เป็นคนของตระกูลไหนกันแน่ ถึงได้กล้าทำตัวหยิ่งผยองเช่นนี้
เมื่อเหล่าชายฉกรรจ์มองเห็นเขาที่มีอากัปกิริยาน่าเกรงขาม พวกเขาก็ไม่ได้ไปก่อกวน แต่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ในภัตตาคาร จนในที่สุดชายผู้มีสีหน้าหน้าเหี้ยมโหดที่น่าจะเป็นผู้นำของคนเหล่านี้ก็มองไปยังสองพ่อลูกที่ซึ่งขับร้องบรรเลงเพลงเมื่อสักครู่ สีหน้าที่โหดเหี้ยมของเขาหยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนที่ริมฝีปากจะปรากฏรอยยิ้มเยาะหยันชั่วร้าย
ชายร่างใหญ่ไม่รอช้าพาลูกหาบของตนอีกสี่คนเดินตรงไปหาพ่อลูกคู่นั้น
“ตาเฒ่า! พวกเจ้าเห็นสตรีสวมชุดผ้าไหมสีขาวสะอาดเดินผ่านมาบ้างหรือไม่?” ชายเคราเฟิ้มถามอย่างไม่สนใจนัก ดวงตากำลังจับจ้องไปยังสตรีเยาว์วัยที่อยู่ข้างชายสูงวัยอย่างไม่ละไปไหน
เด็กสาวทนสายตาของชายร่างใหญ่มิได้ จึงร้องเรียกบิดา แล้วหลบซ่อนตัวในอ้อมอกของนายชายวัยกลางคน
ชายผู้เป็นพ่อวางซอแล้วก้มหัวลงอย่างนอบน้อม พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “มะ…ไม่เลย ข้าไม่ได้เห็นสตรีรูปงามดังที่ท่านถามนั้นเลย”
ได้เห็นปฏิกิริยาของหญิงสาว ชายร่างใหญ่ก็ยิ่งรู้สึกสนใจ เขาเอียงศีรษะกลับไปด้านหลังและส่งเสียงกระซิบอย่างแผ่วเบา “แม้จะยังไม่รู้ว่าแม่นางเซียวหายไปไหน แต่เด็กคนนี้ดูน่ารักน่าชังนัก ดูจากวัยของนาง คงยังไม่ทันได้ร่วมเตียงกับผู้ใด หากจับตัวไปส่งให้คุณชาย บางทีอาจจะได้รับการอภัยโทษที่ไม่สามารถตามหาแม่นางเซียวมาก็ได้!”
ชายร่างใหญ่ทั้งสี่คนที่อยู่ข้างหลังต่างพยักหน้าคล้อยตามด้วยรอยยิ้ม
ชายผู้มีเคราหนาหันกลับมาตวาดชายวัยกลางคนด้วยน้ำเสียงดังลั่น “โกหก! เจ้าแกล้งหลอกพวกข้าอยู่แน่ คิดจะซ่อนหญิงสาวนางนั้นไว้สินะ!”
ชายวัยกลางคนรู้สึกถึงอันตราย จึงคุกเข่าลง “ข้าและลูกสาวไม่เห็นหญิงที่พวกท่านกล่าวถึงเลย พวกท่านปล่อยพวกข้าไปเถิด!”
ถึงอย่างนั้นชายหน้าหนวดกลับยังคงท่าทางดุดัน น่าเกรงขาม “ถ้อยคำของจัณฑาลอย่างพวกเจ้า จะเอาอะไรไปเชื่อได้! ไอ้แก่ชั่ว เจ้าจงบอกพวกข้าถึงที่ซ่อนตัวของแม่นางคนนั้นเสีย หากยอมบอก พวกข้าจะปล่อยลูกสาวของเจ้าไป!” พลางสั่งการชายตัวใหญ่ทั้งสี่ด้วยสายตา “จับตัวนางไว้!”
ลูกหาบทั้งสี่รับคำสั่ง ก้าวเข้ามาจับตัวเด็กสาวผู้นั้น และยังแนบมือลวนลามที่หน้าอกและสะโพกของนางอีกด้วย
‘ช่างเป็นการกระทำที่ต่ำช้าเหลือเกิน’
‘นางเป็นแค่เด็กสาววัยขบเผาะเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ?’
‘คนพวกนี้ต่ำช้ายิ่งกว่าเดรัจฉานเสียอีก!’
เหลียงเฟยขบกรามแน่น เขาใช้วิชาฝีเท้าลดกรด และในพริบตาก็มาปรากฏตัวขวางหน้าชายฉกรรจ์ทั้งห้าพร้อมกับส่งเสียงตะโกนดัง “พวกเดรัจฉาน ปล่อยนางเดี๋ยวนี้!”
ชายหน้าหนวดดูท่าทางไม่ได้หวาดกลัวเท่าใดนักหันมาถามกลับ “เจ้าว่าใครเป็นเดรัจฉาน?”
ด้วยความเร็วที่ชายหน้าหนวดผู้นั้นไม่ทันสังเกต เหลียงเฟยคว้าคอของเขาไว้ได้ แล้วพูดเอ่ย “ข้าหมายถึงพวกเจ้านั่นแหละ พวกสัตว์เดรัจฉาน!”
ชายฉกรรจ์อีกสี่คนเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ พวกเขาต่างก็คิดว่าบุรุษผู้นี้ แม้ดูเหมือนจะมีพลังเพียงขอบเขตขัดเกลากระดูกขั้นสูงเท่านั้น แต่ดูจากความเร็วของเขาคงไม่ใช่เพียงเท่านั้น บางทีอาจเป็นผู้มีฝีมือสูงส่งที่สามารถซ่อนลมปราณได้
เพราะงั้นแล้ว พวกเขาจึงถอยหลังไปคนละหนึ่งก้าว ชายหน้าใหญ่คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “เจ้าหนุ่มน้อย หัดรู้จักประมาณตนบ้างนะ ไม่เห็นหรือไงว่าพวกข้าคือคนของตระกูลโหลวน่ะ!”
‘ตระกูลโหลว? ในเมืองหลวงเช่นนี้ คงจะเป็นตระกูลของโหลวอวี้ตี๋นั่นสินะ?’
‘ไม่ผิดแน่ เพราะมีเพียงลูกหลานรุ่นที่สองของตระกูลใหญ่เท่านั้น ที่จะมีลูกน้องมาอวดอ้างอย่างนี้ได้’
เหลียงเฟยนึกถึงความอัปยศอดสูที่คุณชายโหลวมอบให้ครั้นอยู่ที่สำนักเซียนอยูฮั่ว การแพร่ข่าวลือของคุณชายโหลว ทำให้เขาประสบอุปสรรคในการสู่ขอบุตรสาวตระกูลเย่ ดังนั้นเมื่อเห็นการกระทำของคนกลุ่มนี้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกคับแค้นชิงชัง ก่อนจะออกแรงบีบคอชายหน้าหนวดคนนั้นจนสิ้นลมหายใจคามือ “ข้าสังหารคนจากตระกูลโหลวของพวกเจ้าไปเสียแล้ว!”
สี่ชายฉกรรจ์เห็นสหายสิ้นลมหายใจลงทั้งอย่างนั้นด้วยความตื่นตะลึง ไม่คิดว่าการอ้างชื่อตระกูลโหลวจะไม่มีประโยชน์อันใดเลย
เหลียงเฟยโยนร่างของชายหน้าหนวดทิ้ง แล้วใช้หมัดพันสนร้อยกระเรียนโจมตีคนที่เหลืออย่างต่อเนื่องโดยไม่เปิดโอกาส
แม้คนเหล่านั้นจะมีพลังขั้นผู้ฝึกยุทธ์ แต่ความเร็วก็ยังไม่เท่าเหลียงเฟย อีกทั้งเหลียงเฟยยังใช้หมัดพันสนร้อยกระเรียนฉบับสมบูรณ์แบบไร้ซึ่งช่องโหว่รุกโจมตีก่อน ทำให้คนเหล่านี้ไม่ทันตั้งตัวและถูกสังหารลงได้อย่างง่ายดาย โดยที่โต๊ะม้านั่งแทบจะไม่ได้รับความเสียหายเลย
ชายวัยกลางคนและเด็กสาวเห็นดังนั้น จึงรีบคุกเข่าลงคำนับขอบคุณ “ขอบพระคุณท่านสุภาพบุรุษที่ได้ช่วยชีวิตนางไว้ หากไม่มีท่าน ลูกสาวข้าคงจะต้องแย่แน่ ๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก เห็นเรื่องไม่ชอบธรรมก็ต้องออกมาช่วย นี่เป็นสิ่งที่ชายชาตรีควรทำ” เหลียงเฟยพูดพร้อมกับช่วยพยุงพวกเขาขึ้นมา
เขากหันกลับไปมองศพทั้งห้าร่าง พูดอย่างเย็นชา “ที่นี่มีเรื่องผิดกฎหมายเกิดขึ้นแล้ว พวกท่านรีบไปเถิด”
“ข้าไม่ไป!” หญิงสาวดูไม่ค่อยเต็มใจจะไป ไม่ใช่เพราะถูกเหลียงเฟยช่วยชีวิตแล้วหลงใหลอยากตอบแทนด้วยการมอบกาย แต่เป็นเพราะความดื้อรั้นและใจร้อนของนาง ทำให้นางต้องการที่จะแบกรับความรับผิดชอบในการก่อเรื่องกับตระกูลโหลวร่วมกับเหลียงเฟย
อย่างไรก็ตาม ชายวัยกลางคนกลับลากนางไปอย่างแน่วแน่ เขาเคยผ่านชีวิตนักเร่พเนจรมาแล้ว จึงเข้าใจวิธีการดำรงชีวิตได้ดีกว่า
เช่นเดียวกับเหลียงเฟยที่กำชับเด็กสาวอย่างหนักแน่น “รีบไปเถอะ พวกท่านต้องไปให้พ้น หากยังอยู่ที่นี่จะเป็นการกีดขวางข้าเสียเปล่า ๆ”
ชายวัยกลางคนก็ลากบุตรสาวออกไป พร้อมกับพูดอย่างร้อนรน “ไปเถิด เร็วเข้า! เดี๋ยวคนจากตระกูลโหลวมาถึง เราก็จะหนีไม่พ้น!”
เด็กสาวลังเลสักพักก็จำใจยอมพยักหน้ารับ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ถือโอกาสนี้ในการแจ้งชื่อของตนให้เหลียงเฟยรู้จัก “ข้าชื่อเฉินเสี่ยวเหมย ข้าขอทราบนามของท่านผู้ใจบุญไว้ได้ไหม? ข้าหวังว่าเราจะได้พบกันอีกในโอกาสหน้า”
“ข้าชื่อเหลียงเฟย เราจะได้พบกันอีกแน่นอน พวกเจ้ารีบไปเถิด!” เหลียงเฟยพูดจบก็ชี้ไปทางประตูทันที สีหน้าของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ
ระหว่างที่ชายวัยกลางคนกำลังพาเด็กสาวหนีออกไปทางประตูดังกล่าว เฉินเสี่ยวเหมยก็ยังคงเหลียวกลับมามองอีกหลายหนด้วยสีหน้าเศร้าซึมก่อนจะหายลับสายตาไป
พ่อกับลูกสาวเพิ่งจะจากไป เถ้าแก่โรงเตี๊ยมผู้มีใบหน้าเหมือนหมูก็โผล่ออกมาด้วยท่าทางหวาดเกรงนอบน้อม จากนั้นก็โค้งคำนับแล้วพูดขึ้น “นายน้อย ข้าเห็นท่านเป็นคนดีขอแนะนำว่าตระกูลโหลวนั้นมีทั้งเงินทองและอำนาจมหาศาล ไม่ใช่คนธรรมดาจะล้ำเส้นได้ ท่านรีบหนีไปเสียเถิด!”
เหลียงเฟยหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดอย่างสงบนิ่ง “ขอบคุณเถ้าแก่ แต่การหนีนั้นไม่ใช่แนวทางของข้า!”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมมองด้วยสายตางุนงงแล้วแสดงสีหน้าเศร้าออกมา พยายามควบคุมสติจนพูดออกมา “เรานี่เป็นแค่ธุรกิจเล็ก ๆ หวังว่านายน้อยจะไปพักที่อื่น!”
ได้ยินเช่นนั้นเหลียงเฟยก็หยุดชั่วครู่ “เถ้าแก่โรงเตี๊ยม หากข้าจากไป เมื่อคนของตระกูลโหลวมาถึง ท่านก็จะยิ่งไม่สามารถอธิบายได้ ดังนั้นไม่ต้องกังวลไป เมื่อพวกเขามาถึง ข้าจะออกไปข้างนอกเอง จะไม่ให้เดือดร้อนมาถึงท่านแน่นอน!”
ด้วยถ้อยวาจาที่มากด้วยปัญญานี้ เถ้าแก่โรงเตี๊ยมถึงตระหนักได้ว่าสิ่งที่เหลียงเฟยพูดนั้นมีเหตุผล ชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่มีจิตใจกล้าหาญรักษาคำพูด จึงพยักหน้ารับและไม่ได้ขับไล่ต่อ
ส่วนแขกคนอื่น ๆ ในโรงเตี๊ยมต่างก็ตื่นตระหนกรีบร้อนจ่ายเงินแล้วหนีออกไป ผิดกับเหลียงเฟยที่กลับไปนั่งดื่มเหล้าและกินอาหารอย่างสงบเรียบร้อย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันทำให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมยกย่องในใจ เขามองคนไม่ผิดจริง ๆ!
เหลียงเฟยดื่มกินอยู่สักพัก คนของตระกูลโหลวก็ยังไม่มา ทว่ากลับเป็นคนอื่นที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบมาก่อน
นางเป็นสตรีที่เด่นสง่าภายใต้ชุดผ้าไหมสีขาวโพลน
ใบหน้าของนางงดงาม ทุกการกระทำ ทุกคำพูด ล้วนอ่อนช้อยราวกับภาพวาด ยากที่จะบรรยายได้ และแม้นางจะสวมชุดผ้าไหมสีขาวสะอาด แต่ผิวพรรณของนางกลับขาวผ่องเหมือนหิมะสะท้อนแสงอรุณเสียยิ่งกว่าผืนผ้า งดงามราวกับนางเซียนที่ไม่มีมลทินโลกีย์แปดเปื้อน งามเสียจนเหลียงเฟยยังต้องตะลึงงันไปชั่วขณะเมื่อเห็นนาง
เหลียงเฟยไม่ใช่คนหลงใหลง่าย แต่หญิงสาวคนนี้มีเสน่ห์ที่สามารถทำให้ผู้ชายทั้งโลกหลงใหลได้
“ท่านจ้องมองข้าทำไมกัน?” หญิงสาวเห็นเหลียงเฟยจ้องมองตนด้วยสายตาเคลิบเคลิ้มหลงใหล จึงยิ้มด้วยความเขินอาย แล้วเคาะโต๊ะถามขึ้น
เหลียงเฟยประหลาดใจกับประพฤตินั้นของตนเอง จึงอ้ำอึ้งค้างไปชั่วขณะ
“ข้าถามว่าท่านจ้องมองข้าทำไมกัน?” หญิงสาวซักถามต่อไป
ยามเมื่อสังเกตเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยในสีหน้าของนาง เหลียงเฟยจึงหัวเราะออกมาแล้วกล่าวถาม “แล้วแม่นางล่ะ มายืนตรงนี้ทำไม?”
สตรีผู้เลอโฉมประหลาดใจกับคำถามนั้น แต่นางก็ไม่เลือกต่อความยาวสาวความยืด ชี้ไปที่ม้านั่งข้าง ๆ เหลียงเฟยแล้วถามเขา “ข้านั่งที่นี่ได้หรือไม่?”
เหลียงเฟยมองดูม้านั่งว่างเปล่าข้าง ๆ กำลังจะปฏิเสธนาง แต่แล้วเขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งผิดแปลกไป หญิงสาวในชุดผ้าไหมสีขาวที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ มีรูปโฉมงดงามยิ่งนัก ไม่ต่างจากที่เหล่าชายฉกรรจ์บรรยายไว้เลยสักนิด
เขาเงียบไปสักพัก จึงเอ่ยถามนางว่า “ทำไมล่ะ?”
“ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก ข้าแค่อยากจะนั่งตรงนี้ ตรงข้าง ๆ ท่านเท่านั้นเอง” พูดจบเจ้าของร่างงามก็นั่งลงข้างเหลียงเฟยทันทีโดยไม่สนใจอะไรอีก
“ไม่ใช่แบบนั้น” เหลียงเฟยส่ายหน้าปฏิเสธคำตอบของนาง
หญิงสาวหันมองด้วยใบหน้าสงสัยแล้วนิ่งเงียบไป
ผู้ฝึกอสูรหนุ่มถอนหายใจแล้วกล่าวถามอย่างตรงไปตรงมา “ข้าหมายถึง ทำไมคนในตระกูลโหลวถึงต้องการจับแม่นางกลับไปให้คุณชายของพวกเขา?”
ราวกับถูกมนต์สะกดให้ตกตะลึง นางขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วตอบไป “เหมือนกับหญิงสาวที่ท่านช่วยไว้เมื่อครู่นั่นแหละ คนในตระกูลโหลวต้องการจับข้ากลับไปบำเรอคุณชายของพวกเขา ข้าเห็นท่านเป็นคนดีมีฝีมือ บางทีท่านอาจจะช่วยข้าได้ จึงมานั่งที่นี่ด้วย”
เหลียงเฟยมองนางอีกครั้ง ส่ายหน้าพลางกล่าวไปเรื่อย “ฝีมือระดับแม่นาง มีหรือที่พวกนั้นจะกระทำการจับกุมได้? เช่นนั้นแล้ว โปรดบอกความจริงข้ามาเถิด”
พูดจบเหลียงเฟยก็เงียบไปชั่วครู่ เขารู้สึกว่าเคยพบใบหน้าที่งดงามนี้จากที่ไหนมาก่อน แม้จะไม่มั่นใจว่ารู้จัก แต่ก็มั่นใจว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นแน่ ๆ!
MANGA DISCUSSION