ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 521 การชี้นำจากโชคชะตา?
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 521 การชี้นำจากโชคชะตา?
ตอนที่ 521 การชี้นำจากโชคชะตา?
บาร์ทเนอร์มองลูเมี่ยนด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิม
ดูเหมือนว่า การลอกเลียนแบบเกอร์มัน·สแปร์โรว์ รวมถึงความ ‘ไก่อ่อน’ ที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็นในทีแรก ทั้งหมดคือการเสแสร้ง เนื้อแท้แล้วเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย!
หากใครเผลอหลงเชื่อการแสดงเข้าไป สุดท้ายจะต้องจ่ายหนัก!
ลูเมี่ยนเลิกพูดถึงการทำกำไรจากนักต้มตุ๋น เพียงร่วมมือกับบาร์ทเนอร์ ช่วยกันตรวจสอบจุดเกิดเหตุระเบิดอย่างถี่ถ้วน ไม่ละเลยแม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
น่าเสียดาย แม้แต่ผู้วิเศษทางการ ที่สามารถเลือกเส้นทางต่างๆ มาประสานงานกันได้ ก็ยังไม่พบเบาะแสใดจากจุดเกิดเหตุ จึงไม่ต้องไปหวังอะไรกับผู้วิเศษสองคน ที่ไม่มีพลังทำนาย ไม่มีอำนาจในขอบเขตการพยากรณ์
บาร์ทเนอร์ลูบเรเพียร์ตรงเอวตน แล้วพูดพลางถอนหายใจ
“ผมทราบดีว่าคงจะคว้าน้ำเหลว แต่ก็ยังอุตส่าห์เสียเวลามา…มันไม่เกี่ยวกับเงินรางวัล นักผจญภัยคนใดบ้างไม่อยากดังในชั่วข้ามคืน?”
การจะได้รับชื่อเสียงไม่จำเป็นต้องล่า ‘จอมเวทปีศาจ’ บูลแมนให้สำเร็จด้วยตัวเอง ขอเพียงช่วยผู้วิเศษทางการตามหาตัวอาชญากร ผู้มีค่าหัวใกล้เคียงกับพลเรือโจรสลัดรายนี้ ก็เพียงพอต่อการนำไปเที่ยวโพนทะนาแล้ว
“ไหนบอกว่าจุดประสงค์หลักคือหาเบาะแสมาแลกเงิน?” ลูเมี่ยนถามกลับยิ้มๆ
“น…นี่เป็นจุดประสงค์อื่น จุดประสงค์เสริมน่ะ” บาร์ทเนอร์พยายามแก้ต่าง
พูดจบ เขาก็พลันตระหนักได้
เราไม่เคยพูดว่ามาสืบหาเบาะแสเพื่อแลกเงิน…แค่คิดในใจเท่านั้น!
เขาอ่านความคิดของเราออก หรือพยายามต้มตุ๋นเราอยู่? บาร์ทเนอร์มองสำรวจลูเมี่ยนด้วยความสงสัยเจือตกใจ
ลูเมี่ยนยิ้ม
“อย่าเขียนความคิดไว้บนใบหน้า ถ้าเจอกับ ‘ผู้ชม’ คุณจะไม่มีความลับเหลืออยู่เลย”
บาร์ทเนอร์ยกมือขวา ลูบใบหน้าตัวเอง
เราควบคุมสีหน้าแย่ขนาดนั้นเชียว?
เขาพึมพำอย่างหดหู่
“จุดเกิดเหตุพังพินาศถึงเพียงนี้ ถนนรอบๆ ก็ไม่เหลือร่องรอยอะไร หากไม่ใช่คนโปรดขององค์เทพ หรือมีโชคเพียงพอ ก็คงไม่มีทางหาเบาะแสพบแน่…ไปดื่มกันไหม?”
โชค…การค้นพบเบาะแสไม่จำเป็นต้องพึงดวงเสมอไป โชคร้ายก็ทำได้เหมือนกัน…ลูเมี่ยนเกิดความคิดหนึ่ง จึงหยิบผ้าพันแผลออกจากกระเป๋าเสื้อ แล้วพันมันรอบดวงตาตัวเองอย่างไม่รีบร้อน
“คุณทำอะไรน่ะ?” บาร์ทเนอร์·คอนเต้ถามด้วยสีหน้างุนงง
“ปิดตาไง แล้วอาศัยสัญชาตญาณล้วนๆ เดินเตร็ดเตร่ไปรอบๆ วิธีนี้จะช่วยขจัดอิทธิพลจากภายนอกทั้งหมด จนอิทธิพลด้านโชคชะตาส่งผลได้เต็มประสิทธิภาพ” ลูเมี่ยนพูดจบก็หัวเราะเบาๆ “บางที วันนี้ผมอาจได้รับความโปรดปรานจากโชคชะตาจริงๆ ก็ได้”
ตามที่ฟรังก้าบอกไว้ เครื่องตรวจจับหายนะทางศาสตร์เร้นลับเดินได้อย่างตน ไม่จำเป็นต้องมีเบาะแส ไม่จำเป็นต้องมีข้อมูล แค่เดินไปตามถนนก็อาจบังเอิญเจอตัวคนร้ายได้เลย
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เขาอยากลองฟัง ‘การชี้นำของโชคชะตา’ ดูสักครั้ง
ถ้าสำเร็จ ก็สามารถแลก ‘จอมเวทปีศาจ’ หรือเบาะแสที่เกี่ยวข้องเป็นเงินรางวัลก้อนโต แต่ถ้าล้มเหลว ก็เท่ากับเป็นการพิสูจน์อย่างหนักแน่นว่า คำป้ายสีของฟรังก้าเหลวไหลทั้งเพ!
“มีวิธีแบบนี้อยู่ด้วยหรือ?” บาร์ทเนอร์พลันประหลาดใจ เริ่มรู้สึกว่าสมองของหลุยส์·แบรีคนนี้อาจไม่ปกติ
“ลองดูก็ไม่เสียหายนี่” ลูเมี่ยน ผู้ปิดตาด้วยผ้าพันแผล เริ่มเดินไปอีกฝั่งของถนน
ผ่านไปไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดกะทันหัน
เด็กหนุ่มพบว่า การปิดตาแทบไม่ส่งผลกับ ‘นักล่า’ เลย
ถนนที่เดินผ่านมา รวมถึงฉากต่างๆ ที่เห็นระหว่างค้นหาเบาะแสเมื่อครู่ ยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ โดยจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบตามตำแหน่งจริงบนโลกความจริง
กล่าวคือ ในสมองของเขามีแผนที่ความละเอียดสูง ที่ครอบคลุมย่านโดยรอบ แม่นยำถึงขนาดว่า เดินไปอีกกี่ก้าวจะถึงร้านค้าใด หรืออาคารหลังไหน
เมื่อคำนึงว่า ‘นักล่า’ ยังคงควบคุมร่างกายและรับรู้ทิศทางได้อย่างแม่นยำแม้ตาจะมองไม่เห็น ซ้ำยังมีประสาทสัมผัสด้านกลิ่นและการฟังอันเฉียบคม ลูเมี่ยนได้ข้อสรุปว่า วิธีเดินตามสัญชาตญาณเพื่อหวังผล ‘การชี้นำจากโชคชะตา’ คงไม่เกิดประโยชน์อะไรนัก
ครุ่นคิดสักพัก เขาเริ่มตรึกตรองเรื่อยเปื่อย พลางก้าวเท้าไปข้างหน้าในสภาพนี้
“‘จอมเวทปีศาจ’ บูลแมนหนีรอดทุกครั้ง แสดงว่าต้องมีพลังวิเศษหรือวัตถุวิเศษบางชนิด…”
“เขาสามารถ ‘เทเลพอร์ต’ หนีไปได้เหมือนเรา? หรือว่าสามารถเปลี่ยนแปลงโฉม ปรับเปลี่ยนส่วนสูงได้อย่างอิสระเหมือนเรา? หรือทำได้แม้กระทั่งปลอมตัวเป็นอีกเพศ?”
“ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด การที่เขายังทำการทดลองนองเลือดมาได้เรื่อยๆ โดยไม่ถูกจับเสียที บ่งบอกว่าวิธีการสืบสวนทั่วไปใช้จับกุมเขาไม่ได้…”
“ถ้าลองเปลี่ยนวิธีคิดล่ะ? ทำให้อีกฝ่ายโผล่ออกมาเอง?”
“อา…ถ้าหาเขาไม่พบ ก็ต้องทำให้เขาเป็นฝ่ายมาหา…”
“ความสำคัญอันดับหนึ่งของเขาคือ การชุบชีวิตภรรยา เฮเลน ถ้าเรากุเรื่องการคืนชีพให้น่าเชื่อถึงสักสองสามกรณี หรือเสวนาเกี่ยวกับการคืนชีพในชุมนุมศาสตร์เร้นลับสักแห่ง โดยแอบมอบความรู้ในขอบเขตดังกล่าว ซึ่งสามารถพิสูจน์ว่าทำได้จริง ‘จอมเวทปีศาจ’ ก็อาจสะกดรอยตามเบาะแสของเรามา…”
“แผนนี้มีปัญหาอยู่สองข้อ หนึ่ง ผู้วิเศษทางการคงเคยลองวิธีคล้ายๆ กันนี้มาแล้ว บูลแมนระมัดระวังตัวและรอบคอบเพียงพอ จึงไม่เคยหลงกลเลยสักครั้ง สอง ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งหลายเดือน ในการวางแผนและเฝ้ารอ เราอยู่ฟาริมนานขนาดนั้นไม่ได้…ทำได้เพียง เวลาเข้าร่วมชุมนุมศาสตร์เร้นลับในอนาคต หรือคุยโม้ในบาร์ ก็อาจทำทีเป็นเปิดเผย ‘ความลับ’ ให้แนบเนียน ถ้าสำเร็จก็ดีไป ไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร แบบนี้กลับจะดูสมจริงยิ่งกว่า อีกฝ่ายไม่สามารถสัมผัสถึงจุดประสงค์แอบแฝง…”
ลูเมี่ยนจดจ่ออยู่กับความคิด อาศัยการประคองและเตือนจากบาร์ทเนอร์·คอนเต้เป็นระยะ ช่วยให้ไม่สะดุดล้มหรือชนกับอะไรเข้า จนกระทั่งเขาตกผลึกแผนการอันสมบูรณ์แบบแต่กินเวลานานได้สำเร็จ จึงหยุดฝีเท้า พลางถอดผ้าพันแผลสีขาวที่คาดตาออก แล้วพูดกับบาร์ทเนอร์ยิ้มๆ
“นี่ที่ไหน? สัญชาตญาณบอกผมว่า ตรงนี้อาจมีเบาะแสของ ‘จอมเวทปีศาจ’ ซ่อนอยู่”
“ถนนธรรมดา บ้านเรือนก็ธรรมดา เป็นย่านคนมีฐานะหน่อย” บาร์ทเนอร์ตอบอย่างจนปัญญา
ลูเมี่ยนกลับมามองเห็นแสงอาทิตย์ยามพลบค่ำอีกครั้ง
อันดับแรก เขาปรับสายตาให้ชินกับความสว่างก่อน แล้วจึงหรี่ตาลง ภายในใจปรากฏคลื่นซัดสาด
ถนนในเมืองฟาริมที่เขาเคยไปมา ไม่ได้มีมากมายนัก บ้านที่เคยเข้าไป ยิ่งนับได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียว แต่การเดินตามสัญชาตญาณโดยอาศัยการชี้นำของโชคชะตาครั้งนี้ กลับพาเขามายังสถานที่อันคุ้นเคย
ถนนคอร์เรียส บ้านเลขที่ 16!
อาคารข้างๆ มีผนังสีเทา หลังคาสีน้ำตาล บนผนังด้านนอกประดับรูปปั้นเรียงราย มันคือบ้านของนักธุรกิจใหญ่ฟิเดล·เกร์รา เมื่อคืนลูเมี่ยนเพิ่งจะแวะมาสั่งจองพิษของกิ้งก่าเครารุ้ง พร้อมกับรับงานล่า ‘ลอร์ดมืด’ คลาส·คีซ!
“เทอร์มีโพลอส ฝีมือของแกหรือเปล่า?” ท่าทีแรกของลูเมี่ยน คือการซักถามเทวทูตแห่งชะตากรรม ผู้ถูกผนึกในร่างกายตน
เทอร์มีโพลอสไม่ตอบ แต่บาร์ทเนอร์ข้างๆ แน่นอนว่างงงัน ไม่เข้าใจว่าหลุยส์·แบรีกำลังพูดกับใคร
ถ้าไม่ใช่ฝีมือเทอร์มีโพลอส ก็หมายความว่าในบ้านของฟิเดล·เกร์รา มีบางสิ่งกำลังดึงดูดเราเข้าหา…วัตถุในเส้นทาง ‘นักล่า’? หรือจะเกี่ยวข้องกับเทพมาร? หรือไม่ก็ เบาะแสของ ‘จอมเวทปีศาจ’ บูลแมนอยู่ในบ้านของฟิเดลจริงๆ? ความคิดของลูเมี่ยนแวบวาบเหมือนอสนีบาต พริบตาเดียวก็ผุดข้อสงสัยนับไม่ถ้วน
เด็กหนุ่มจ้องมองบ้านของฟิเดล ประเมินโอกาสที่ ‘จอมเวทปีศาจ’ จะอยู่ด้านใน
“บูลแมนทำการทดลองคืนชีพคนตายมาหลายครั้ง หากต้องเตรียมการทุกสิ่งตามลำพัง ชีวิตก็คงจะลำบากน่าดู…หรือกำลังจะบอกว่าเขาปล้นมาทั้งหมด? ไม่ว่าจะผู้วิเศษทางการหรือโจรสลัด ต่างก็ล้วนอยากจับตัวเขา มีแต่พวกจอมเวทชั่วร้ายด้วยกัน ที่จะมอบแหล่งกบดานให้กันและกัน”
“แต่ถ้ามีนักธุรกิจใหญ่อย่างฟิเดล ผู้เต็มไปด้วยเส้นสายและช่องทาง แอบสนับสนุนอยู่อย่างลับๆ เขาก็ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะหา ‘วัสดุทดลอง’ ได้จากไหนอีก…”
“สำหรับฟิเดล ถ้าลำดับของตัวเองไม่สูงพอ การมี ‘จอมเวทปีศาจ’ ที่ต้องพึ่งพาตน คอยให้การปกป้องอยู่เบื้องหลัง ถือว่ามีได้มากกว่าเสีย”
“ธุรกิจสีเทาหรือสีดำของเขาคงมีมูลค่าสูงลิบ จนอาจถูกหมายตาโดยโจรสลัดใหญ่ หรือพวกนักผจญภัยฝีมือดีได้ทุกเมื่อ เป็นใครจะไม่เตรียมมาตรการปกป้องตัวเองเอาไว้?”
“หรือถ้าวันใดเกิดขัดแย้งกับทางการขึ้นมา ‘จอมเวทปีศาจ’ ก็สามารถปกป้องเขา พาหนีไปพร้อมกันได้ เปลี่ยนตัวตนไปอยู่เมืองอื่นหรือประเทศอื่นเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ อา…โอลัวร์เคยบอกว่า คนประเภทนี้มักสร้างตัวตนปลอมไว้ตามเมืองต่างๆ แถมยังออมทรัพย์สินเผื่อไว้บางส่วน…”
“เมื่อคืน ไม่นานหลังจากผมพบกับฟิเดล ก็เกิดอุบัติเหตุจากการทดลองที่ล้มเหลวของ ‘จอมเวทปีศาจ’…”
ลูเมี่ยนถอนสายตาจากบ้านหลังนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่า นักธุรกิจฟิเดล·เกร์รา มีแรงจูงใจในการให้ที่พักพิงแก่ ‘จอมเวทปีศาจ’ บูลแมน
แต่แน่นอน ถ้าสุดท้ายแล้ว เขาหลับเดินมาที่นี่ภายใต้อิทธิพลของเทอร์มีโพลอส นั่นแสดงว่าปัญหาอาจซับซ้อนหรือร้ายแรงกว่าที่ตาเห็น
“คุณกำลังมองอะไร?” บาร์ทเนอร์จ้องตามสายตาของลูเมี่ยน ไปทางบ้านที่ 16 ถนนคอร์เรียส
“เมื่อคืนผมมาพบนักธุรกิจใหญ่ฟิเดล·เกร์ราในบ้านหลังนี้ แล้วรับงานจากเขา” ลูเมี่ยนตอบอย่างเถรตรง
“งานแบบไหน?” บาร์ทเนอร์ถามอย่างสงสัย
ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ
“ล่า ‘ลอร์ดมืด’ คลาส·คีซ กัปตันเรือ ‘แนโปสทองคำ’”
“ข่าวลือเรื่อง ‘ลอร์ดมืด’ คลาส ปล้นสินค้าของฟิเดลไปหนึ่งเที่ยว สรุปแล้วเป็นความจริงสินะ? ฟิเดลก็เลยจ้างนักผจญภัยคนแล้วคนเล่าไปลอบสังหาร ‘ลอร์ดมืด’…” บาร์ทเนอร์เริ่มเข้าใจ แล้วรีบลดเสียงลง “เรื่องแบบนี้คุณอย่าไปเล่าให้ใครฟังนะ”
“ทำไมล่ะ?” ลูเมี่ยนถามติดตลก
บาร์ทเนอร์ลูบเคราที่ตัดแต่งเรียบร้อย แล้วกล่าวเสียงเบา
“คุณจะได้ค่าหัวของลอร์ดมืด แถมยังจะได้เงินเพิ่มด้วย ไม่จำเป็นต้องรับงาน ไม่จำเป็นต้องทำสำเร็จด้วยใช่ไหม?”
“อา…แต่พวกโจรสลัดน่ะ ถ้ารู้ว่านักผจญภัยคนไหนอยากล่าตน แล้วทั้งสองฝ่ายบังเอิญอยู่ไม่ไกลกัน พวกเขาก็จะลงมือเชือดทันที จัดการอีกฝ่ายให้สิ้นซาก เป็นการแสดงออกเชิงลงโทษและข่มขู่”
“‘ลอร์ดมืด’ เป็นโจรสลัดตัวเป้ง ถ้าเขาได้ยินว่าคุณ ซึ่งเป็นนักผจญภัยหน้าใหม่ในทะเล ไม่เพียงแต่กล้ารับงานล่าเขา แต่ยังกล้าป่าวประกาศไปทั่วอย่างเหิมเกริม คุณไม่คิดบ้างหรือว่าเขาจะโมโห จนหาทางประจันหน้าคุณ ใช้ความตายของคุณเป็นคำเตือนสำหรับนักผจญภัยคนอื่นๆ กับฟิเดล?”
‘ลอร์ดมืด’ อยู่ในเมืองฟาริมจริงๆ …ลูเมี่ยนพยักหน้าครุ่นคิด
“เป็นวิธีที่ดี”
วิธีที่ดี? บาร์ทเนอร์งงงันไปชั่วขณะ
ตกค่ำ ในบาร์แห่งหนึ่ง
ลูเมี่ยน บาร์ทเนอร์ กับคนอื่นๆ ก๊งเหล้ากันมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ทุกคนต่างสนุกสนานตื่นเต้น
ทันใดนั้น ลูเมี่ยนยกแก้วเหล้าขึ้น ลุกจากเก้าอี้สูงแล้วเริ่มเดิน พลางพูดกับนักผจญภัยและคนธรรมดารอบๆ ว่า
“ผมกำลังจะมีชื่อเสียงแล้ว ผมรับงานหนึ่งมา จากนักธุรกิจใหญ่ฟิเดล เป้าหมายคือล่า ‘ลอร์ดมืด’ คลาส·คีซ!”
“ถ้าผมทำสำเร็จเมื่อไร ชื่อหลุยส์·แบรีจะขจรขจายไปทั่วห้าห้วงสมุทร!”
“ถึงตอนนั้น พวกคุณจะภาคภูมิใจที่เคยดื่มเหล้ากับผม!”
อา…บาร์ทเนอร์ฟังแล้วนั่งตะลึงอยู่บนเก้าอี้สูง
เขาราวกับได้เห็นหลุยส์·แบรีคนเมื่อคืน ที่กระโดดขึ้นไปบนแท่นไม้แล้วยิงปืนอีกครั้ง
……………………………………………………..