ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 190 พัฒนาการอันเหนือคาด
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 190 พัฒนาการอันเหนือคาด
ตอนที่ 190 พัฒนาการอันเหนือคาด
ลูเมี่ยนมองไปที่กระจกร้าวๆ ในมือฟรังก้า พูดด้วยความโล่งใจปนสงสัย
“แต่ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกโจมตีเลยนะ”
เขายังเต้นระบำเรียกสถิตได้อีกห้าหกวินาที จนกระทั่งถูกฟรังก้าคว้าข้อมือจึงต้องหยุดก่อนกำหนด
ฟรังก้าแค่นเสียงในลำคอ ทำท่าทางเป็นครูสอน
“ยุทธวิธีทางศาสตร์เร้นลับบางอย่างจะไม่ทำให้คุณรู้สึกตัวเลย กว่าจะสัมผัสได้ว่าถูกโจมตี ก็เป็นตอนที่คุณตายไปแล้ว”
หรือว่าช่องว่างหนึ่งถึงสองวินาทีตั้งแต่หยุดระบำเรียกสถิต จนกระทั่งลอดเข้าไปในกระจกอย่างแท้จริง เราถูกสัตว์ประหลาดนั่นลอบใส่อิทธิพลเข้ามา? ลูเมี่ยนครุ่นคิดพลางผงกหัว
“นั่นสินะ… การเลือดออกของพวกเราในมิตินั่น ก็ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าเช่นกัน ไม่รู้ว่าจะหยุดอย่างไรด้วย”
ระหว่างนั้น เด็กหนุ่มจ้องหน้าฟรังก้า พบว่าผิวเธอเนียนใส ไร้ริ้วรอยแผลเป็นใดๆ มองไม่ออกเลยว่าเมื่อครู่เพิ่งมีเลือดแตกซึมออกมาหลายจุด
ฟรังก้ายกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าตัวเอง พูดอย่างไตร่ตรอง
“แปลกดีจริงๆ …”
“แต่เราเสียเลือดไปไม่ผิดแน่… ในฐานะ ‘แม่มด’ ฉันมีสัญชาตญาณในการรับรู้ปริมาณเลือดโดยรวมของตัวเอง”
“นั่นหมายความว่า บาดแผลที่เราได้รับในโลกกระจกพิเศษนั่นไม่ใช่ของเก๊ เพียงแต่ไม่ได้ทิ้งแผลเอาไว้”
“แม่ง! ฉันลืมเอาโคมไฟคาร์ไบด์มา!”
เธอพูดไปพลาง หมุนตัวไปพลาง ค้นหาสิ่งของที่อยู่ในกองหินริมทางเดิน
ลูเมี่ยนก็ไม่มีเวลาหยิบโคมไฟคาร์ไบด์ของตัวเองเช่นกัน ได้แต่อาศัยแสงสว่างเล็กๆ ที่ลอดเข้ามาจากตำแหน่งไกลๆ สังเกตดูการกระทำของฟรังก้า
ภายในไม่ถึงสิบวินาที ฟรังก้าก็ดึงกระจกบานหนึ่งออกจากกองเศษหิน
บานกระจกดูราวกับหล่อจากเงินแท้ ลวดลายสองฝั่งลึกลับระคนพิสดาร ตรงพื้นผิวทึมทึบไร้แสงระยับ ราวกับถูกกาลเวลากัดกร่อน
“อย่างที่คิด ข้างนอกก็มีกระจกที่สอดคล้องกันอยู่อีกบาน” ฟรังก้าพยายามเลี่ยงไม่ให้ร่างของตนสะท้อนบนผิวกระจกเงินโบราณ พลางสอนลูเมี่ยนไปในที “ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัยหรือเมื่อเจอเรื่องประหลาด ถ้าไม่จำเป็นต้องส่องกระจกก็ไม่ต้องส่อง ไม่อย่างนั้นอาจเกิดหายนะเอาได้ โดยเฉพาะกระจกที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ลึกลับผิดธรรมชาติอย่างนี้ ยิ่งห้ามแตะเด็ดขาด!”
ลูเมี่ยนผู้ไม่ได้บอกฟรังก้าว่าถ้าใช้ ‘แว่นตาส่องความลับ’ ปลอมตัวแล้วจะไม่สามารถส่องกระจก พยักหน้ารับ
“ทางออกเป็นกระจกผมเข้าใจได้ แต่ตอนนี้สิ่งที่คิดไม่ตกคือ พวกเราเดินเข้าไปในมิตินั่นได้อย่างไรโดยไม่รู้ตัวเลย? ระหว่างทางก็ไม่ได้เจออะไรสักหน่อย”
“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” ฟรังก้าใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดผิวกระจกเงินโบราณไว้ แล้วลุกขึ้นพูด “ของชิ้นนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเส้นทาง ‘นางมาร’ อย่างใกล้ชิด ให้ฉันได้ไหม? ไว้จะหาของมีค่ามาชดเชยคืนให้”
“ไม่มีปัญหา” ลูเมี่ยนหัวเราะ “ที่จริงคุณไม่ต้องถามผมหรอก ผมแย่งจากคุณไม่ได้อยู่แล้ว”
ฟรังก้าตอบยิ้มๆ
“ไม่ได้หรอก ของรางวัลต้องแบ่งกันอย่างเท่าเทียม ไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาในทีม… อา… ก่อนหน้านี้ฉันมักจะถูกคนอื่นเอาเปรียบบ่อยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันนิสัยดี ไม่จำความ ป่านนี้คงตามคิดบัญชีทีละคนแล้ว”
มาดาม เกรงว่าคุณกำลังด่าผมอยู่กระมัง… ลูเมี่ยนอุบอิบในใจ
หากถูกแย่งของรางวัลไป ถูกเอาเปรียบอย่างไร้เหตุผล ในสถานการณ์ที่ฝีมือยังด้อยกว่าอีกฝ่าย แม้ตอนนั้นเขาจะไม่พูดอะไร แต่ภายหลังจะต้องหาทางเอาคืนแน่นอน ไม่มีทางที่ ‘ให้อภัย’ ไปเฉยๆ
เก็บกระจกเงินโบราณเข้าไป ฟรังก้าชี้ไปยังตำแหน่งที่มีแสงลอดเข้ามา
“เราไปดูทางนั้นกันเถอะ บางทีอาจได้เจอตำรวจเหมืองหรือพวกลักลอบนำเข้าผิดกฎหมาย จะได้ถามทางไปด้วยเลย”
“หลงทางอยู่ในใต้ดินทรีอาร์ หาทางออกไม่เจอ อาจจะอันตรายยิ่งกว่าติดอยู่ในโลกกระจกพิเศษเมื่อครู่ก็ได้นะ”
ก็จริง… ลูเมี่ยนเห็นด้วยอย่างยิ่ง
หากไม่แล้ว วิญญาณมงต์ซูรีคงถูกผู้วิเศษทางการกำจัดไปนานแล้ว
ทั้งสองเดินไปตามอุโมงค์ที่มีแสงสว่างไม่มาก เตรียมพร้อมรับมือกับทุกการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น
ไม่นานนัก พวกเขาเห็นโพรงเหมืองว่างๆ ตรงกลางโพรงมีร่างคนสวมหมวกสักหลาดยืนอยู่ ในมืออีกฝ่ายคือโคมไฟคาร์ไบด์ที่กำลังส่องแสง
เธอยืนยันได้ว่าร่างที่เห็นคือแฟร์น็องเดซ นักลักลอบขนของเถื่อนที่ช่วยนำทางลงมา
และที่นี่ดูเหมือนจะเป็นโพรงเหมืองที่พวกเขาสั่งให้อีกฝ่ายรอ
แฟร์น็องเดซหันขวับกลับมา ถามด้วยอารามตกใจปนตื่นเต้น
“พวกคุณมาจากทางนี้ได้ยังไง?”
“ผมรอเกือบครึ่งชั่วโมง พวกคุณก็ยังไม่กลับมาสักที เลยย้อนกลับเข้าไปตามในจุดที่รอยเท้าหายไป แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ…”
ลูเมี่ยนกับฟรังก้าสบตากัน พยักหน้าให้กันเล็กน้อย
พวกเขาอยู่ในโลกกระจกพิเศษราวๆ ครึ่งชั่วโมงจริงๆ
ฟรังก้าเดินไปหาแฟร์น็องเดซ อธิบายส่งเดช
“พวกเราเจอเบาะแสบางอย่าง เลยไล่ตามไป สุดท้ายก็วกกลับมาโผล่ทางนี้แทน… ระหว่างทางเจอศัตรูด้วย เลยเผลอทำโคมไฟคาร์ไบด์หาย”
“เบาะแสอะไร?” แฟร์น็องเดซค่อนข้างตื่นเต้น
ฟรังก้ายิ้ม
“เราจะเล่าให้คริสโตฟังเอง”
นักลักลอบแฟร์น็องเดซเข้าใจสถานะตัวเองดี จึงไม่ถามอะไรมากความ พาทั้งสองกลับไปตามเส้นทางเดิม
พวกเขาปีนบ่อ เลี้ยวเข้าพื้นที่ที่ตรงกับเขตตลาดคนซื่อ จนมาถึงทางออกถนนอลเวง
เมื่อลูเมี่ยนกับฟรังก้าเห็นพ่อค้าร้องเร่ เห็นเด็กเก็บเปลือกผลไม้ เห็นคนไร้บ้านที่ขดตัวตรงมุมตึก และเห็นผู้คนสัญจรไปมา ทั้งสองเพิ่งจะรู้สึกอย่างแท้จริงว่า พวกตนหลุดพ้นจากมิติประหลาดนั่นแล้ว กลับสู่โลกแห่งความจริงแล้ว
หลังจากขึ้นรถม้าที่ ‘มุสิก’ คริสโตส่งมารอใกล้ๆ ลูเมี่ยนหันไปมองฟรังก้าแล้วหรี่เสียงถาม
“จะอธิบายยังไง”
แฟร์น็องเดซรู้จักกับคนขับรถม้า จึงไปนั่งข้างเขา ไม่ได้อยู่ในห้องโดยสาร
ฟรังก้าหัวเราะเบาๆ
“ก็บอกไปว่าเราหลงเข้ามิติปริศนา พบร่องรอยบางอย่าง แล้วหนีออกมาได้ด้วยเวทมนตร์กระจกของฉัน”
“เรื่องอื่นๆ ไม่เกี่ยวกับคริสโต”
เมื่อตกลงนัดแนะคำพูดกันเสร็จ ลูเมี่ยนไม่พูดอะไรอีก หลับตาลงครึ่งหนึ่ง ย้อนนึกถึงเรื่องต่างๆ ที่ได้ประสบในโลกกระจกพิเศษ
ใช่เวลาไม่นานรถม้าสี่ล้อก็แล่นเข้าสู่ถนนใหญ่ตลาด วิ่งไปจนถึงสถานีรถไฟไอน้ำซูสิต แล้วเลี้ยวเข้าตรอกที่มุ่งสู่ลานเก็บของ
‘มุสิก’ คริสโตกำลังรออยู่ที่โกดังแถวนั้น
ไม่นานนัก ลูเมี่ยนกับฟรังก้าก็เห็นพ่อค้าลักลอบที่มีรูปลักษณ์คล้ายหนู
คริสโตเดินเข้ามา พูดด้วยใบหน้าฉาบยิ้มกว้างๆ
“ไอน้ำจงพวยพุ่ง! ขอบคุณพวกคุณ! พวกเออร์เคนกลับมาแล้ว!”
เออร์เคน… ประกายตาฟรังก้าเปล่งแสงวาบ เอ่ยถามทันที
“คาราวานที่หายไปกลับมาแล้ว?”
เออร์เคนเป็นน้องชายคริสโต รับผิดชอบคาราวานกลุ่มดังกล่าว ก่อนหน้านี้ก็หายตัวไปพร้อมกัน ฟรังก้ายังมีผ้าเช็ดหน้าของเขาไว้ใช้ทำนายหา
ตอนนี้กลับมาแล้ว?
นี่มันเรื่องบ้าอะไร?
คริสโตยิ้ม พยักหน้าหงึกหงัก
“ใช่! สินค้าล็อตนั้นก็กลับมาด้วย!”
“พวกเขากลับมาถึงราวๆ หนึ่งชั่วโมงก่อน”
ราวๆ หนึ่งชั่วโมงก่อน? นั่นมันเวลาที่เราพบจุดที่รอยเท้าหาย แล้วหลงเข้าไปในโลกกระจกพิเศษนั่น… ลูเมี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจเกิดคำถามมากมาย
เพราะเขาเคยประสบพบเจอเหตุการณ์อัศจรรย์อย่างวัฏจักรเวลา ความฝันเสมือนจริง หรือสิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่านั้น จึงไม่ได้เสียอาการเท่ากับฟรังก้า
“ให้เออร์เคนมาเล่าเองดีกว่า”
เขารีบหมุนตัว เดินสองสามก้าวไปยังประตูโกดัง ตะโกนเสียงดัง
“เออร์เคน ออกมาหน่อย!”
ถือโอกาสนี้ ฟรังก้าเอียงหน้าเล็กน้อย ชะโงกศีรษะมาใกล้หัวลูเมี่ยน กระซิบเสียงเบา
“เรื่องนี้แปลกมากเลย…”
ลูเมี่ยนยิ้มมุมปาก กดเสียงต่ำพูด
“ผมถึงกับสงสัยด้วยซ้ำว่า พวก ‘มุสิก’ รวมหัวกันวางกับดักเรา ใช้การหายไปของสินค้าเป็นข้ออ้าง หลอกล่อพวกเราลงใต้ดิน หวังให้หลงเข้าไปในมิติอันตรายนั่น”
ฟรังก้ามองเด็กหนุ่มหัวจรดเท้า พูดไปพลางหัวเราะ
“นายเคยไว้ใจใครบ้างไหม?”
ลูเมี่ยนกล่าวเถรตรง
“ค่าแรงขั้นต่ำของหางเครื่องทำให้ ‘คนยักษ์’ กับบารอนบรินิแยร์เกลียดคุณ ส่วนผมก็ยึดคาบาเร่ต์ลมเอื่อยไป ทั้งที่พวกเขาต่างก็อยากคุม”
“เนื่องจาก ‘มุสิก’ กับเราไม่ได้ขัดผลประโยชน์กัน พวกเขาเลยให้ออกหน้าแทน”
ฟรังก้าเข้าสู่ห้วงไตร่ตรอง ครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ของแผนลอบฆ่า
ถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนยิ้มมุมปาก
“นี่เป็นแค่การเดา ยังไม่สามารถอธิบายรอยเท้ากับร่องรอยอื่นๆ ในโลกกระจกที่พวกเราเห็น”
เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด ก็มีชายหนุ่มอายุไม่ถึงสามสิบเดินออกจากโกดัง
ชายคนนี้ตัวไม่สูงมาก ราวๆ หนึ่งเมตรหกเท่านั้น ยกเว้นเรื่องที่ไม่ได้ไว้หนวดแบบหนู เขาก็เหมือนกับคริสโตอีกคน
“เป็นเออร์เคนจริงๆ” ฟรังก้าแนะนำกับลูเมี่ยนเสียงเบา
ถัดมา เธอจ้องหน้าคริสโตกับเออร์เคนที่เดินมาด้วยกัน
“เออร์เคน เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ดวงตาสีน้ำเงินของเออร์เคนฉายแววกลัวปนยินดี
“พวกเราหลงเข้าไปในมิติประหลาดที่อยู่ในอุโมงค์… หาทางออกไม่ได้อยู่นาน จนถึงตอนบ่าย ระหว่างที่พวกเรากำลังสำรวจทุกซอกมุม ก็บังเอิญกลับมายังเส้นทางเดิมได้”
การเข้าไปของเราเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ออกมา? ฟรังก้าลองเดา
ทว่า สายตาที่ลูเมี่ยนมองเออร์เคน ปราศจากอารมณ์โดยสิ้นเชิง ราวกับเพ่งพินิจศัตรูที่อาจสร้างหายนะให้ตัวเองได้
ภาพที่ผุดขึ้นในหัวเด็กหนุ่มคือ กลุ่มหยดเลือดที่ตกอยู่บนพื้นในโลกกระจก จากหย่อมเล็กดวงเล็ก กลายเป็นหย่อมหนาดวงใหญ่ สุดท้ายก็แทบจะย้อมพื้นให้กลายเป็นสีแดง
คนที่เสียเลือดไปมากมายเพียงนั้น ยังมีชีวิตรอดกลับมาได้จริงหรือ?
ฟรังก้านึกถึงประเด็นนี้เช่นกัน มองเออร์เคนแล้วพูด
“ในนั้นพวกคุณเจออะไรมาบ้าง?”
เออร์เคนอดสะท้านไม่ได้
“พวกเราเริ่มเลือดไหลโดยไม่มีสาเหตุ จนสุดท้าย หลายคนเกือบจะตายแล้ว”
“ไอน้ำจงพวยพุ่ง! พวกเราโชคดีพบทางออกทันเวลา พอออกมาได้ก็เริ่มฟื้นตัวทันที”
งั้นหรือ… เมื่อฟรังก้าเห็นว่าเออร์เคน ผู้วาดตราศักดิ์สิทธิ์ตรีโกณบนหน้าอก บอกเล่าและอธิบายได้ถูกต้อง จึงเก็บงำความสงสัยไว้ชั่วคราว
‘มุสิก’ คริสโตข้างๆ มองทั้งสอง ยิ้มแล้วเชิญชวน
“ไม่ว่าจะอย่างไร ผมอยากตอบแทนพวกคุณ”
“อยากลองชิมไก่ย่างสูตรซาฟาห์ดั้งเดิมไหม?”
“ก็ดีครับ” ลูเมี่ยนตอบแทนฟรังก้า
คริสโตจึงหยิบพวงกุญแจออกมาโยนให้เออร์เคน
“ไปที่ห้องทำงานฉัน ยกเครื่องเทศพวกนั้นเข้าครัวให้หมด”
“ครับ” เออร์เคนรับกุญแจ เดินไปตามบันไดเหล็กที่แนบติดกับผนังด้านนอกโกดัง ไต่ขึ้นไปถึงชั้นบนสุด ใช้มือซ้ายเสียบกุญแจไขประตูห้องทำงานของคริสโต
ฟรังก้าชะงักไปครู่หนึ่ง พึมพำกับตัวเอง
“ถ้าจำไม่ผิด เออร์เคนถนัดขวา…”
ในกรณีที่ไม่ได้ถือของพะรุงพะรัง ทำไมถึงใช้มือซ้ายที่ไม่ถนัดเปิดประตู?
คริสโตได้ยินคำพูดของฟรังก้า จึงพยักหน้าตอบ
“ใช่ เขาถนัดขวา”
…………………………………………………….