ตอนที่ 66 ยั่วยุซูเจวียน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินเจี้ยนจวินจึงยืดตัวตรงแล้วปฏิเสธ “ไม่จำเป็นหรอกพี่สะใภ้ แค่กินอะไรที่บ้านก็พอแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ย “ปลาชนิดเดียวบนเกาะก็ราคาถูกเทียบเท่ากับอาหารที่บ้าน ไม่ต้องห่วงไปหรอก แค่พักผ่อนให้เต็มที่ก็พอ”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ หลินเจี้ยนจวินก็รู้สึกโล่งใจ สิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดขณะตามพี่สะใภ้สามกลับไปก็คือการสร้างปัญหาให้กับอีกฝ่าย
หลังจากจบเรื่องราวของหลินเจี้ยนจวินแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยจึงเข้าบ้าน มองไปข้างนอกแล้วก็ล็อกประตูอย่างระมัดระวัง
จากนั้นจึงหยิบเงินจำนวนมากออกมาจากกระเป๋าแล้ววางบนโต๊ะ หลังจากดึงเก้าอี้ออกมานั่งแล้วก็เริ่มนับ
ไม่คิดเลยว่ายายเฒ่าหลินจะทรงอำนาจขนาดนั้น ทั้งที่สนับสนุนลูกชายคนโตกับครอบครัวเต็มที่ขนาดนั้น ในเวลาเดียวกันกลับเก็บหอมรอมริบได้มากขนาดนี้ สงสารก็แต่ตาเฒ่าหลินไม่รู้เรื่องอะไรเลย
เมื่อนึกถึงดวงตาทอประกายของตาเฒ่าหลินตอนเห็นห้าร้อยหยวน สวี่ม่ายซุ่ยก็รู้สึกผิดต่ออีกฝ่าย ผ่านมาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว แต่ผู้คนรอบข้างยังคงระแวดระวังขนาดนี้
หลังจากนับเงินและคูปองแล้วก็พบว่ามันมีมากกว่าหนึ่งพันหกร้อยหยวน รวมถึงคูปองผ้า คูปองเนื้อและคูปองน้ำมันมากกว่าห้าสิบใบ ทำให้สวี่ม่ายซุ่ยถึงกับตาโตกับภาพตรงหน้า
ดูเหมือนว่าคนจีนในยุคนั้นชอบเก็บเงิน เธอจึงเก็บและซ่อนพวกมันไว้ใต้กระดานเตียง จากนั้นหยิบคูปองผ้าหกฉื่อกับคูปองเนื้อหนึ่งชั่งเพื่อเตรียมจะออกไป
ทันทีที่เปิดประตู เธอเห็นหลินเซียวกับหลินฟานมองอย่างจริงจัง
“แม่ เมื่อกี้ทำอะไรในบ้านเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ย “ไม่ได้ทำอะไรหรอก”
หลินเซียว “ถ้าไม่ได้ทำอะไร ทำไมแม่ถึงล็อกประตูด้วยล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยคิ้วขมวด “แม่ต้องรายงานทุกอย่างให้พวกลูกทราบด้วยเหรอ”
หลินฟานพยักหน้า “ครับ ผมต้องรายงานให้พี่ชายทราบ” สิ้นคำ เขาก็หยิบปืนไม้ที่เอวขึ้นมาแล้วเล็งไปที่สวี่ม่ายซุ่ย
สวี่ม่ายซุ่ย “ลูกเป็นมือขวาของเจ้าลูกหมาตัวนั้นสินะ บอกแม่มา พี่ชายของลูกให้สัญญาอะไรไว้?”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ หลินฟานเงยหน้าขึ้นแล้วชำเลืองมองหลินเซียว ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายขยิบตาถี่ยิบ
แต่ก่อนหลินฟานจะทันได้เข้าใจอะไร ทั้งสองก็ถูกสวี่ม่ายซุ่ยสวนกลับ
“แม่ต้องไปซื้อผักที่สหกรณ์ เพราะงั้นคงไม่มีเวลามาเสวนากับลูกหรอกนะ”
หลินเซียวเอ่ยคำทันทีหลังจากได้ยินเช่นนี้ “ผมจะไปด้วย”
สวี่ม่ายซุ่ย “อากาศร้อนแบบนี้จะตามมาทำไม พักอยู่ที่บ้านนั่นแหละ”
หลินเซียว “อยู่ที่บ้านมันน่าเบื่อเกินไป”
สวี่ม่ายซุ่ย “ถ้าลูกเบื่อก็ไปทำการบ้าน อีกไม่กี่วันโรงเรียนก็เปิดแล้ว แถมคุณอาเล็กก็อาการไม่ดี ลูกทั้งสองต้องช่วยดูแลเขาอยู่ที่บ้าน”
หลินฟานพยักหน้าแต่โดยดีแล้วเอ่ยคำ “ผมจะดูแลคุณอาให้เอง”
สวี่ม่ายซุ่ย “ดีมาก เดี๋ยวคืนนี้แม่จะทำกล้วยทอดให้กิน”
หลินฟาน “ครับ”
หลังจากเห็นลูกทั้งสองจากไปแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็ไปสหกรณ์พร้อมตะกร้าผัก นอกจากซื้อปลาแล้ว เธอก็ซื้อผ้าผืนหนึ่งเพื่อจะเอามาทำเสื้อผ้าให้กับหลินเจี้ยนจวิน เนื่องจากตัวที่อีกฝ่ายสวมใส่มีรอยติดปะ ไม่ทราบว่าผ่านการใช้งานมาแล้วกี่ปี
เมื่อมาถึงสหกรณ์ สวี่ม่ายซุ่ยก็ตรงไปจุดที่วางขายผ้าก่อนจะปิดท้ายด้วยการซื้อปลาสดรสเลิศ
เดิมทีเธอคิดว่าซูเจวียนยังรักในชีวิตเมืองจนไม่ได้กลับมา แต่ใครจะคาดคิดว่าอีกฝ่ายกลับมาทำงานได้พักใหญ่แล้ว
ทันทีที่เห็นสวี่ม่ายซุ่ย หล่อนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “ได้ยินมาว่าตอนนี้เธอทำงานอยู่ในหมู่บ้านงั้นเหรอ? จุ๊ ๆ ดูเหมือนพี่เจี้ยนเยี่ยจะไม่เอ็นดูเธอแล้วล่ะมั้ง ถ้าจำไม่ผิดเขานี่แหละเป็นคนหางานนี้ให้ฉัน ทำไมเธอไม่ให้เขาช่วยหาด้วยล่ะ การเป็นชาวนามันเหนื่อยนะ! ต้องตากแดดตากฝน ดูผิวเธอซิคล้ำลงแล้วไม่ใช่เหรอ”
สวี่ม่ายซุ่ยเดินเข้ามาเลือกผ้าโดยเมินเฉยอีกฝ่าย ในที่สุดก็ถูกใจผ้าสีเขียวขี้ม้าก่อนจะหยิบขึ้นมา
“สายตาเธอผิดปกติหรือเปล่า?”
ซูเจวียนตกตะลึง “หา?”
สวี่ม่ายซุ่ย “เวลาคนอื่นมองเห็น พวกเขาต่างบอกว่าฉันผิวขาว แต่เธอกลับบอกว่าผิวคล้ำ สายตาเธอผิดปกติหรือเปล่า? อีกอย่าง ช่วงนี้เธอได้เงินเยอะเลยสินะ?”
ดวงตาของซูเจวียนเผยความระแวดระวังทันที “ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ย “ชุดที่ใส่นี่ราคาแพงอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
ซูเจวียนพึงพอใจทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ “แน่นอนสิว่าแพง เกินหลักร้อยเลยแหละ”
สวี่ม่ายซุ่ยหรี่ตา “เธอร่ำรวยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ถ้าจำไม่ผิด เธอได้เงินแค่ยี่สิบหยวนต่อเดือนเท่านั้นไม่ใช่เหรอ?”
ซูเจวียน “ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
สวี่ม่ายซุ่ยเดาะลิ้นสองครั้ง “ไม่ใช่เรื่องของฉันก็จริง แต่หน้าตาของเธอก็มีเสน่ห์ใช้ได้ ดูเหมือนจะเปิดใจคบกับใครบางคนแล้วใช่ไหม?”
ซูเจวียนมีท่าทางวิตกทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ หลังจากมองรอบข้างแล้วจึงเอ่ยเตือน “อย่าพูดจาเหลวไหล ฉันไม่ได้เปิดใจคบกับใครสักหน่อย”
นังชาเขียวอย่างซูเจวียนชอบจับปลาหลายมืออยู่เป็นนิจ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เธอไม่สามารถบอกได้ว่าหล่อนกำลังคบหากับใคร
สวี่ม่ายซุ่ย “ชิ ใครที่ไหนจะเชื่อว่าเธอไม่ได้คบกับใคร”
ซูเจวียน “จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่”
สวี่ม่ายซุ่ย “มันไม่เกี่ยวกับว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่เกรงว่าหลิวเชิ่งลี่น่าจะเชื่อตอนฉันพบเขาเมื่อวันก่อน ได้ยินมาว่าช่วงนี้เธอไม่ค่อยสนใจเขาเท่าไร สงสัยเธอคงหมดความสนใจในตัวเขาจนเตรียมตัวกลับไปนัดบอดที่บ้านเกิดแล้วสินะ”
สวี่ม่ายซุ่ยสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างเงียบงันหลังจากสิ้นคำ เธอเห็นอีกฝ่ายเม้มริมฝีปากเล็กน้อยด้วยท่าทางไม่เต็มใจ
“ทำไม ไม่ได้คุยกับเขาอย่างชัดเจนเหรอ”
ซูเจวียน “ฉันไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเขาสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องทำให้มันชัดเจนหรอก”
สวี่ม่ายซุ่ย “คิดว่าพวกเธอสองคนคุยกันแล้วซะอีก แล้วทำไมช่วงนี้ถึงมีเรื่องซุบซิบกระจายไปทั่วเลยล่ะ?”
ทันทีที่สิ้นคำ ซูเจวียนก็โกรธจนกัดฟันทันที “ยังจะมีหน้ามาพูดอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ มันจะมีข่าวลือแบบนี้ได้ยังไง”
สวี่ม่ายซุ่ย “ ฉันผิดเอง ฉันผิดเองแหละ เดี๋ยวฉันไปบอกหลิวเชิ่งลี่ให้แล้วกันว่าอย่าทำตัวเป็นคางคกอยากกินเนื้อหงส์”
ซูเจวียน…
“เธอวัดผ้าสองผืนนี้ให้หน่อย สีเขียวสามฉื่อ สีดำสามฉื่อ”
ซูเจวียนโกรธจนอยากสับสวี่ม่ายซุ่ยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ทำได้เพียงวัดผ้าตามที่บอกแต่โดยดีเท่านั้น
หลังจากซื้อของเสร็จสรรพ สวี่ม่ายซุ่ยก็หิ้วของเดินจากไปอย่างมีความสุข พอมาคิดดูแล้ว หลังจากยั่วยุซูเจวียนไป อีกฝ่ายคงนั่งไม่ติดก่อนจะไปหาหลิวเชิ่งลี่ทันทีแล้วละ แบบนี้ถ้าไปขอไก่สักสองตัวก็คงจะไม่เป็นไรสินะ
หลังออกจากร้านผ้าแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็ไปตลาดผัก ตอนนี้เธอมีทั้งเงินและคูปอง อีกทั้งลูกสองคนก็อยู่บ้าน รวมถึงชายหนุ่มร่างผอมอีกคน ดังนั้นเธอจึงซื้อของแบบตาไม่กะพริบ
นอกจากหมูสามชั้นหนึ่งชั่ง เธอยังซื้อปลาข้างเหลือง ปูและกุ้งอีกหลายชั่ง
ไม่เพียงแค่ของเหล่านี้เท่านั้น เธอยังซื้อผักอีกจำนวนมากด้วย
ไม่มีทางที่ผักในสวนจะโตทันกิน
“นักบัญชีสวี่ คุณซื้อของเยอะขนาดนี้ แสดงว่ามีแขกมาที่บ้านสินะ?” คนขายเนื้อมองสวี่ม่ายซุ่ยที่หยิบของหลายชิ้นก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
มีข่าวลือแพร่งพรายว่าสวี่ม่ายซุ่ยทำงานในฐานะนักบัญชีประจำหมู่บ้าน เวลาทุกคนเจอเธอก็เลยมักเรียกว่านักบัญชีสวี่
สวี่ม่ายซุ่ย “ฉันมีแขกจริง น้องสามีแวะมาพักที่เกาะสองสามวันก็เลยต้องทำอะไรให้กินน่ะ”
พูดไปมันก็แปลก ถึงน้องชายสามีกับพี่สะใภ้จะสนิทกัน แต่ก็ไม่ใช่กับบรรดาน้องสาวสามีและพี่ใหญ่สามี
“ถ้างั้นก็ต้องทำมื้อใหญ่แล้ว ฉันยังมีกระดูกชิ้นใหญ่อยู่ คุณอยากได้หรือเปล่า?”
ดวงตาของสวี่ม่ายซุ่ยร้อนผ่าวเมื่อเห็นกระดูกชิ้นใหญ่ แต่เธอทำได้เพียงตอบอย่างจนใจ “ฉันก็อยากได้อยู่หรอก แต่ฉันไม่มีคูปองเนื้อน่ะ”
“คุณไม่ต้องใช้คูปองเนื้อเพื่อซื้อกระดูกหรอก ถ้าอยากได้ เดี๋ยวฉันชั่งน้ำหนักให้”
สวี่ม่ายซุ่ย “ได้ ถ้างั้นชั่งน้ำหนักให้ฉันที”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สับรางให้ดี ๆ แล้วกันนะยัยชาเขียว เกิดผู้เก่าผู้ใหม่เจอหน้าแล้วตีกันนี่โทษใครไม่ได้นะ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION