ตอนที่ 266 แก้แค้น
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วตกใจมาก จึงรีบเกลี้ยกล่อมว่า “เธอยังเด็กเกินกว่าจะอยู่ช่วยที่นี่ได้นะ ให้คุณอาอยู่ก็พอแล้ว”
พูดจบแล้วเธอก็ตั้งใจว่าจะดึงเขาออกไปด้วย
แต่เด็กชายเบี่ยงหลบมือของเธอและพูดว่า “ไม่ครับ ผมจะไม่จากไปไหน เพราะผมอยากเห็นพ่อแม่ถูกฝังกับตาตัวเอง”
หลังจากพูดแบบนี้แล้วเขาก็คุกเข่าให้สวี่ม่ายซุ่ยพลางเอ่ย “อาสะใภ้ ผมขอฝากพี่สาวน้องชายไว้กับคุณด้วย พี่สาวของผมทำงานเก่งมาก ส่วนน้องชายก็เป็นเด็กที่เชื่อฟัง ได้โปรดปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเมตตาด้วยครับ”
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นเขาทำเช่นนั้นจึงรีบพยุงให้ลุกขึ้น “เจ้าเด็กน้อยคนนี้ทำอะไรอยู่เนี่ย รีบลุกขึ้นเถอะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยเห็นความมุ่งมั่นในดวงตาของเขา จึงพูดว่า “ในเมื่อเขาไม่อยากจากไป ก็ให้เขาอยู่ต่อเถอะ”
สวี่ม่ายซุ่ยพอจะเดาได้รางๆ ว่าหลินเจี้ยนเยี่ยกำลังจะทำอะไร เธอจึงขึ้นเสียงใส่เขาว่า “เด็กคนนี้เพิ่งจะอายุเท่าไรเอง คุณจะให้เขาอยู่ทำไม?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบด้วยท่าทางเรียบเฉย “เขาควรมีส่วนได้แก้แค้นให้พ่อแม่”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนดื้อรั้นมาก สวี่ม่ายซุ่ยจึงพูดแบบหมดหนทาง “งั้นก็แล้วแต่พวกคุณเลย”
พูดจบแล้วก็เดินออกไปทันที
เมื่อสักครู่นี้พี่สาวคนโตและน้องชายคนเล็กได้ประคองกันขึ้นรถก่อนแล้ว ซึ่งทันทีที่หลิวเหลยเห็นสวี่ม่ายซุ่ยเข้าไปในรถม้า เขาก็ขับรถม้าออกจากหมู่บ้านทันที
ตอนอยู่ในหมู่บ้าน หลิวเหลยต้องเคลื่อนไหวด้วยความระมัดระวัง และทันทีที่ออกจากเขตหมู่บ้าน เขาก็ห้อตะบึงรถม้าเข้าเมืองโดยเร็วที่สุด
นับตั้งแต่ออกจากหมู่บ้าน ใบหน้าของสวี่ม่ายซุ่ยไม่มีรอยยิ้มเลย เรียกว่าเดินทางเข้าเมืองพร้อมสีหน้าหม่นหมองตลอดทาง
เพราะเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว จึงไม่มีทางที่จะหารถเข้าเมืองได้ หลิวเหลยจึงทำได้แค่กัดฟันแล้วขับรถม้าพาพวกเธอไปที่ตัวเมืองให้ได้
เมื่อมาถึงตัวเมืองก็เป็นเวลารุ่งสางแล้ว ส่วนเมื่อคืนนี้หลินเจี้ยนเยี่ยก็ไม่ได้นิ่งเฉยเช่นกัน
หลังจากส่งพวกสวี่ม่ายซุ่ยออกไปแล้ว หลินเจี้ยนเยี่ยก็กลับเข้าบ้านและหยิบท่อนไม้มาหนึ่งท่อน
จากนั้นเขาก็พาสวี่อวิ้นจื้อไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน และเนื่องจากมีสวี่อวิ้นจื้อมาด้วย หลินเจี้ยนเยี่ยจึงหลีกเลี่ยงทางอ้อมมากมาย
ตอนนี้เป็นเวลาที่ผู้คนหลับใหล จึงเหมาะสมที่จะลงมือแก้แค้นมากที่สุด “เธอรู้ไหมว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังไหน?”
สวี่อวิ้นจื้อพยักหน้าทันทีและพูดว่า “รู้ครับ”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “งั้นบอกฉันหน่อย”
ครอบครัวของหัวหน้าหมู่บ้านมีลูกชายห้าคน ซึ่งสี่คนแต่งงานแล้ว เหลือแค่ลูกชายคนเล็กที่ยังโสด และเพราะว่าเขายังไม่มีครอบครัว จึงมีนิสัยเสเพล โดยใช้เวลาทั้งวันในหมู่บ้านให้หมดไปกับเรื่องผู้หญิง ทั้งรังแกสาวน้อยและข่มเหงแม่ม่ายสาว สิ่งนี้ล้วนทำให้ทุกคนในหมู่บ้านตื่นตระหนก แต่เพราะว่าตระกูลของพวกเขามีจำนวนคนมากที่สุด ทั้งยังสามัคคีกลมเกลียวกันมาก ดังนั้นต่อให้ชาวบ้านจะโกรธแค้นเพียงใดก็ไม่กล้าปริปาก
“หัวหน้าหมู่บ้านอาศัยอยู่ในบ้านหลัก ลูกชายคนโตและลูกชายคนรองอาศัยอยู่ในบ้านทิศตะวันตก ลูกชายคนที่สามและสี่อาศัยอยู่ในบ้านทิศตะวันออก ส่วนลูกชายคนเล็กอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กถัดจากพ่อแม่”
หลังจากที่หลินเจี้ยนเยี่ยทำความเข้าใจแล้ว เขาก็บอกให้เด็กชายหาที่ซ่อนตัวเอาไว้ ส่วนตัวเองก็สวมหมวกและหน้ากากปิดบังใบหน้า จากนั้นปีนข้ามกำแพงแล้วเข้าไปในลานบ้านอันเงียบสงบที่ไม่มีสุนัขและสัตว์เลี้ยง
หลินเจี้ยนเยี่ยสอดส่ายสายตาไปรอบๆ และเดินตรงไปยังบ้านของหลี่ต้าหย่ง ซึ่งการไม่มีครอบครัวทำให้เขาอาศัยอยู่เพียงลำพังได้อย่างเสรี
ไม่เพียงแค่นั้น หลี่ต้าหย่งยังไม่ได้ล็อกประตู ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้หลินเจี้ยนเยี่ยได้มาก เขาจึงเปิดประตูและเดินย่องเข้าไปข้างในทันที แต่เมื่อเดินไปได้ครึ่งทางก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เพราะมีลมหายใจของมนุษย์สองคนอยู่ในห้อง
แต่นั่นก็ไม่ได้กระทบต่อฝีเท้าที่ยังคงก้าวต่อไปของเขา เมื่อเดินไปที่เตียงแล้ว เขาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวไม่เรียบร้อยกำลังมองมาทางเขาด้วยดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาและความตกตะลึง
หลินเจี้ยนเยี่ยขยิบตาให้หล่อนเพื่อส่งสัญญาณให้ลุกออกจากเตียง และเมื่อผู้หญิงคนนั้นค่อยๆ ย่อตัวลงจากเตียง เขาก็หยิบม้วนเทปออกจากกระเป๋าแล้วพันไว้รอบปากของผู้ชายคนนั้นทันที ซึ่งในจังหวะที่ชายคนนั้นตกใจตื่น เขาก็พันเทปเสร็จ ก่อนคว้าไม้มาตีร่างกายท่อนล่างของชายคนนั้นจนเส้นเลือดที่หน้าผากและลำคอของผู้ชายปูดเกร็งออกมาแบบเห็นได้ชัด และเจ้าตัวก็หมดสติไป
ผู้หญิงที่อยู่ด้านข้างยกมือปิดปากไว้แน่นแล้วมองภาพนั้นด้วยความไม่อยากเชื่อ ซึ่งหลังจากที่หลินเจี้ยนเยี่ยจัดการเขาแบบเจียนตายแล้ว ก็เดินไปยังบ้านหลังอื่นๆ
เพราะผู้หญิงคนอื่นแตกต่างจากผู้หญิงคนแรก หลินเจี้ยนเยี่ยจึงปลุกพวกหล่อนแล้วจัดการทำให้หมดสติไปก่อน จากนั้นจึงลงมือทำลายร่างกายท่อนล่างของพวกผู้ชาย หลังจากวนกลับมาที่เดิมแล้วก็ยังไม่มีเสียงใดๆ เกิดขึ้น
หลินเจี้ยนเยี่ยเดินออกจากลานบ้านหลังนี้ แล้วพาสวี่อวิ้นจื้อไปที่บ้านคนในตระกูลหลังอื่นๆ ด้วย จากนั้นก็ปฏิบัติแบบเดียวกัน โดยที่หลินเจี้ยนเยี่ยไม่ละเว้นใครที่เคยมีส่วนร่วมรังแกสวี่เวยสองสามีภรรยา ซึ่งตอนที่เขาเดินออกจากบ้านหลังสุดท้าย ฟ้าก็เริ่มสางแล้ว
หลินเจี้ยนเยี่ยถอดหน้ากากออกแล้วเก็บใส่ในกระเป๋าตามเดิม ส่วนเทปในมือก็ถูกใช้หมดเหลือเพียงไส้ในเท่านั้น หลินเจี้ยนเยี่ยไม่ต้องการโยนทิ้ง จึงเก็บมันไว้ในกระเป๋าเช่นกัน ใช้ไม้ชี้สวี่อวิ้นจื้อพลางถามว่า “หมู่บ้านพวกนายมีคนทำโลงศพบ้างไหม?”
สวี่อวิ้นจื้อพยักหน้าพลางเอ่ย “มีครับ”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดต่อ “พาฉันไปหน่อย”
หลังจากเคาะประตูเรียกก็พบว่าคนทำโลงศพเป็นชายชราแก่หงำเหงือกคนหนึ่ง เวลามองผู้คนก็ให้ความรู้สึกน่าขนลุก
หลินเจี้ยนเยี่ยไม่ได้ปรุงแต่งคำพูดและอธิบายจุดประสงค์ของการมาโดยตรง ซึ่งหลังจากที่ชายชราได้ยินแล้วก็ไม่ถามมากความ ชี้ตรงไปที่โลงศพตรงมุมห้องแล้วพูดว่า “สามสิบหยวน”
หลินเจี้ยนเยี่ยก็หยิบเงินออกมาและส่งมอบให้โดยไม่ลังเล
พ่อเฒ่ารับเงินแล้วจึงตะโกนไปที่ห้องใกล้ๆ ว่า “เฮยโก่ว เลิกนอนขี้เซาได้แล้ว ออกมาช่วยหน่อย”
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ปรากฏชายร่างกำยำเดินออกจากห้องและพึมพำบ่นด้วยความหงุดหงิด “ช่างเป็นงานที่ดีเหลือเกินนะ ยังไม่เช้าดีเลยก็ห้ามนอนต่อแล้ว”
พ่อเฒ่าเมินเฉยต่ออารมณ์จุกจิกของเขาและสั่งงานว่า “ส่งโลงศพทั้งสองนี้ไปที่บ้านของสวี่เวย”
ชายคนนั้นตกตะลึงและย้อนถามว่า “ใครนะ?”
เมื่อเห็นว่าพ่อเฒ่าไม่ตอบ เขาก็ตะโกนอีกครั้ง “พ่อเฒ่าจะบ้าไปแล้วเหรอ คุณรู้ไหมว่าจะให้ส่งมันไปบ้านใคร? นั่นบ้านของสวี่เวยนะ”
พ่อเฒ่าตอบว่า “ก็รับเงินมาแล้ว”
ชายคนนั้นยังตะโกนด้วยความโกรธ “คุณนี่มันสุดยอดจริงๆ” พูดจบแล้วเขาก็หันไปมองพวกหลินเจี้ยนเยี่ย
เมื่อเขาเห็นหลินเจี้ยนเยี่ยแล้วก็เผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว “คุณเป็นอะไรกับสวี่เวย?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “เป็นสหายรักของเขา”
ชายคนนั้นถอนหายใจพลางเอ่ย “เฮ้อ ถ้ามาเร็วกว่านี้ก็คงจะดีนะ”
“ไปกันเถอะ ไปขนโลงศพกัน” พูดจบแล้วเขาก็ผลักรถลากที่ยาวเป็นพิเศษออกจากทางเดินแล้วไปยังจุดวางโลงศพ
หลินเจี้ยนเยี่ยเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปช่วยเหลือ
เมื่อทั้งสามคนขนโลงศพกลับมาแล้ว จึงเริ่มได้ยินเสียงร้องไห้และเสียงร้องโหยหวนดังมาจากบริเวณต่างๆ ในหมู่บ้าน
เมื่อได้ยินแล้ว ชายคนนั้นก็ขมวดคิ้วและพูดด้วยความรังเกียจ “นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีกเนี่ย”
ในทางกลับกัน หลินเจี้ยนเยี่ยและสวี่อวิ้นจื้อทำราวกับไม่ได้ยินอะไรเลย และเดินไปข้างหน้าด้วยอาการสงบ
เมื่อมาถึงบ้านแล้ว ชายคนนั้นก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง แล้วค่อยเดินเข้าไปข้างในพลางพึมพำว่า “ช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุด ส่งพระต้องส่งให้ถึงชมพูทวีป”
พอเดินเข้าไปก็เห็นว่าศพทั้งสองได้รับการทำความสะอาดแล้วนอนเคียงข้างกัน “คุณทำเองเหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบสั้น “อืม”
ตอนที่สวี่เวยถูกส่งกลับมาที่นี่ หลายคนก็เคยได้เห็นเขามาก่อน พวกเขาจึงรู้ว่าหน้าตาในอดีตของสวี่เวยเป็นยังไง
“เขาเป็นชายที่แข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจคนหนึ่ง”
หลินเจี้ยนเยี่ยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อคำพูดนี้ เขาแค่ช้อนอุ้มศพขึ้นมาด้วยความระมัดระวังและวางไว้ในโลงศพ จากนั้นเขาก็หยิบชาม เทน้ำมันลงไป ใช้สำลีจุดไฟแล้ววางไว้หน้าโลงศพ สุดท้ายก็พูดกับสวี่อวิ้นจื้อว่า “คุกเข่าลงตรงนี้”
สวี่อวิ้นจื้อคุกเข่าลงที่นั่นด้วยความเชื่อฟัง ส่วนชายอีกคนเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินมาที่โลงศพและคุกเข่าลงเพื่อก้มศีรษะคำนับ “พี่สวี่ เราสองคนถือว่าคุ้นเคยกันดี งั้นวันนี้ก็ให้น้องชายส่งพี่ไปก่อนนะ”
เมื่อชายคนนั้นทำการคำนับเสร็จแล้ว สวี่อวิ้นจื้อก็คุกเข่าคำนับตอบด้วยความเชื่อฟัง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ทำดีมากค่ะพี่เยี่ย มีให้ใช้แล้วใช้ข่มเหงคนอื่น งั้นก็อย่ามีเลย สูญพันธุ์กันทั้งตระกูลไปเถอะ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION