ตอนที่ 262 โลกของเราสอง
หลินเจี้ยนเยี่ยมองแววตาซึ่งเต็มไปด้วยความอิจฉาของเธอแล้วพูดเบาๆ “ถ้าคุณอยากเที่ยว รอให้ผมจัดการธุระเสร็จก่อนนะ ผมจะไปเที่ยวกับคุณเอง”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบรับทันที “ดีเลยค่ะ กว่าพวกเราจะสลัดเจ้าเด็กสองคนนั้นมาเที่ยวได้ งั้นก็มาสร้างช่วงเวลาดีๆ ก่อนกลับกันเถอะ”
ในเวลานี้ทั้งคู่ยังคาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์ที่จะตามมานั้นจะร้ายแรงมากเสียจนทั้งสองแทบจะแบกรับไว้ไม่ไหว
“สหาย พวกคุณจะไปจินเฉียวใช่ไหม?” คนขับข้างหน้าตะโกนบอกทั้งสองเมื่อรถใกล้จะจอดที่ป้ายรถโดยสารปลายทางแล้ว
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบ “ใช่”
คนขับพูดว่า “แต่พวกเราไม่ได้ไปถึงจินเฉียวนะ ส่งพวกคุณลงในเมืองได้เท่านั้น”
“พวกคุณรออยู่ในเมือง จากนั้นรอรถคันถัดไปนะ ถามพวกเขาว่าจะไปจอดที่ไหนได้บ้าง”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินเช่นนี้ก็ถามด้วยความกังวลทันที “แล้วถ้าไม่มีรถโดยสารผ่านมาล่ะ?”
คนขับตอบว่า “ถ้าวันนี้ไม่มีรถก็ต้องรอถึงพรุ่งนี้อีกที”
“ถนนบนภูเขาทางโน้นทุรกันดารจนรถเราผ่านไม่ได้ พวกคุณต้องหารถคันอื่นที่ช่วยพาไปที่นั่นได้เท่านั้น”
ทว่าก่อนที่สวี่ม่ายซุ่ยจะได้ถามอีก หลินเจี้ยนเยี่ยก็จับมือของเธอไว้แล้วตอบรับเสียงดัง
เมื่อถึงตัวเมืองแล้ว คนขับก็หยุดรถพลางชี้ไปที่ถนนซึ่งมุ่งสู่ภูเขาแล้วพูดว่า “เดินทางต่อไปตามถนนสายนี้แหละ มันจะพาพวกคุณไปถึงจินเฉียว”
“พวกคุณลองไปรอที่สี่แยกนั้น แล้วดูว่าจะมีใครเดินทางผ่านมาไหม”
หลินเจี้ยนเยี่ยโต้ตอบขณะที่พาสวี่ม่ายซุ่ยลงจากรถ “เข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก”
หลังจากที่ทั้งสองลงรถแล้วก็ไร้ที่กำบัง รู้สึกเหมือนถูกลมพัดเข้าปะทะจากทุกทิศทาง
โชคดีที่พอมาถึงก็ได้เตรียมตัวอย่างดี สวี่ม่ายซุ่ยสวมหมวก หน้ากากผ้า ผ้าพันคอและถุงมือไว้แน่นหนา เผยให้เห็นแค่ดวงตาทั้งสองข้างเท่านั้น
เปรียบเทียบกับเธอแล้ว หลินเจี้ยนเยี่ยดูสบายกว่ามาก โดยเขาเผยให้เห็นใบหน้าของตนทั้งหมด แม้ว่าสวี่ม่ายซุ่ยจะมีหน้ากากให้เขาด้วย แต่เขาไม่ยอมสวมมัน โดยบอกว่าดูเหมือนจะมาปล้นมากกว่า
สวี่ม่ายซุ่ยคุ้นเคยกับนิสัยเขาดี หากเขาไม่ต้องการก็อย่าไปรบเร้า
ทั้งสองยืนรออยู่ตรงสี่แยกเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่เจอรถสักคัน
หลินเจี้ยนเยี่ยกลัวว่าสวี่ม่ายซุ่ยจะหนาวเกินไป เขาจึงไม่ยอมให้เธอยืนด้วย “คุณไปหาที่นั่งพักสักหน่อยเถอะ ถ้ามีรถมา ผมจะเรียกคุณ”
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่บ้านโดยรอบ และไม่อยากยืมสถานที่จากคนอื่น เธอจึงส่ายหน้าพลางเอ่ย “ฉันจะอยู่ที่นี่แหละ”
หลินเจี้ยนเยี่ยมองเธอแล้วพูดแบบช่วยไม่ได้ “หนาวมากนะ”
“ฉันใส่เสื้อผ้าหนาๆ แล้ว ไม่หนาวหรอก แต่จมูกของคุณแดงแล้วนะ คุณอยากสวมหน้ากากบ้างไหมล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่ใบหน้าเยือกเย็นของหลินเจี้ยนเยี่ยและพูดด้วยความสงสาร
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “การสวมหน้ากากอาจจะทำให้นั่งรถโดยสารยากนะ”
“แล้วมันผิดปกติยังไง…”
ก่อนที่เธอจะพูดจบก็เผลอไปสบตากับหลินเจี้ยนเยี่ยเข้าพอดี จึงได้ตระหนักถึงดวงตาที่เย็นชาเหมือนจะฆ่าคนตลอดเวลาได้ เธอจึงพูดว่า “งั้นอย่าใส่เลยจะดีกว่า” เพราะคิดแล้วก็น่ากลัวจริงๆ
หลังจากรอมาสักพักแล้วก็ยังไม่เห็นรถ สวี่ม่ายซุ่ยเริ่มกระสับกระส่ายเล็กน้อย เพราะแม้แต่ชาติที่แล้วเธอก็ไม่เคยมาที่ตงเป่ย จึงอยากรู้อยากเห็นทุกอย่าง
หลังจากยืนรอได้อีกสักพัก เธอก็เริ่มเดินไปรอบๆ เพื่อมองตรงนั้นที จับตรงโน้นที
เนื่องจากหิมะบนถนนถูกรถทับตลอดทั้งวันจึงไม่หนามาก แต่หิมะทั้งสองข้างของถนนมีความหนามาก
เดิมทีสวี่ม่ายซุ่ยอยากจะเดินไปดูบริเวณป่าข้างทาง แต่ทันทีที่เธอเดินเข้าไป ขาก็จมลงในหิมะครึ่งหนึ่งแล้ว
สวี่ม่ายซุ่ยตกใจมากๆ จนรีบดึงขากลับขึ้นมา ทั้งยังพูดด้วยความประหลาดใจ “หิมะที่นี่หนามากขนาดนั้นเชียว?”
หลินเจี้ยนเยี่ยมองท่าทางนั้นของเธอ และตอบด้วยรอยยิ้ม “ลักษณะพื้นที่คุณยืนอยู่ต่ำกว่าทางฝั่งนี้”
สวี่ม่ายซุ่ยกลอกตาใส่ แต่ทันใดนั้นก็ผุดความคิดดีๆ ขึ้นได้ จึงตะโกนบอกหลินเจี้ยนเยี่ยว่า “งั้นคุณมาที่นี่หน่อยสิ”
หลินเจี้ยนเยี่ยเห็นว่าไม่มีวี่แววของรถจะผ่านมาตอนนี้ เขาจึงก้าวไปหาเธอ และทันทีที่เขาเข้าใกล้สวี่ม่ายซุ่ย เธอก็กระโจนใส่เขา ทำให้ร่างของเขาจมลงไปในหิมะ
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดไม่ออก “…”
สวี่ม่ายซุ่ยดึงหน้ากากลงจากใบหน้า แล้วพูดใส่เขาด้วยความตื่นเต้น “คุณเห็นมันไหม ตอนนี้หิมะสูงถึงเอวของฉันแล้วนะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยมองท่าทางตื่นเต้นของสวี่ม่ายซุ่ย ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าสองพี่น้องที่บ้านนั้นเจริญรอยตามใคร
“สนุกพอหรือยัง? อยากลุกขึ้นไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ยยิ้มและยื่นมือออกไปให้เขาจับ “ดึงหน่อยสิ”
แต่หลินเจี้ยนเยี่ยไม่ได้จับมือของเธอไว้ เขาแค่คุกเข่าลงแล้วสอดมือไว้ใต้รักแร้ของเธอเพื่ออุ้มเธอขึ้นมาจากหลุมหิมะ
เพราะไม่มีใครอยู่แถวนี้ สวี่ม่ายซุ่ยจึงไม่ต้องอาย เธอแค่กางแขนออกเพื่อโอบรอบคอของเขา แล้วปล่อยให้เขาอุ้มเธอขึ้นมา
เมื่อถูกเขาอุ้มมาวางลงกับพื้นแล้ว เธอยังพูดว่า “ให้ความรู้สึกแตกต่างจากตอนสวมชุดทหารเหมือนกันนะ”
เพราะจากมาทำธุระส่วนตัว หลินเจี้ยนเยี่ยจึงไม่สวมชุดทหารเลย
แม้ในช่วงเวลาที่โดนแกล้ง หลินเจี้ยนเยี่ยก็ยังตามใจเธอ เขายื่นมือออกมาบีบจมูกของเธอพลางเอ่ย “คราวนี้ไม่กลัวความเย็นแล้วเหรอ”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบขณะตบหิมะออกจากร่างกาย “ไม่หรอก ยังไงแล้วเคลื่อนไหวมากๆ ก็ทำให้อุ่นได้”
หลังจากที่หลินเจี้ยนเยี่ยปล่อยเธอแล้ว เขาก็นั่งยองๆ เพื่อช่วยเธอปัดหิมะออกจากร่างกาย
สวี่ม่ายซุ่ยพูดจบแล้วก็ผุดความคิดหนึ่งขึ้นได้ เธอจึงมองหลินเจี้ยนเยี่ยแล้วพูดว่า “ในเมื่อรอรถโดยสารไม่ไหว งั้นทำไมพวกเราไม่เดินไปล่ะ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าเราเดินไปก็อาจใช้เวลานาน เกรงว่าคุณจะทนไม่ไหว”
อันที่จริงถ้าเขามาคนเดียว เขาก็อาจจะเดินไปที่นั่นตั้งนานแล้ว
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ทำไมฉันจะทนไม่ไหวล่ะ แต่ถ้าฉันทนไม่ไหว คุณก็แบกฉันขึ้นหลังสิ ยังไงคุณก็ขอให้ฉันมาด้วยกันนะ”
เมื่อเห็นท่าทางของเธอเช่นนี้ หลินเจี้ยนเยี่ยก็บังเกิดความอ่อนโยนชนิดที่หาได้ยากขึ้นมา และพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ขอบคุณคุณภรรยาที่ชี้แนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบรับ “ทำไมจะต้องสุภาพด้วยล่ะ พวกเราเป็นคู่รักกันแท้ๆ รีบไปกันไหม?”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ไปกันเถอะ” และยังจับมือเธอไว้ไม่ปล่อย
สวี่ม่ายซุ่ยอมยิ้มแล้วก้าวตามเขาไปติดๆ
ทั้งสองคนมุ่งมั่นกับการเดินไปข้างหน้า และไม่มีใครหยุดเพื่อมองเวลาเลย
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังมาจากด้านหลังว่า “เฮ้ สองคนข้างหน้าน่ะ พวกคุณจะไปจินเฉียวเหรอ?”
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยกับหลินเจี้ยนเยี่ยได้ยินเสียงนั้น ก็หยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ
จึงได้เห็นชายสองคนสวมเสื้อโค้ททหาร และขับรถม้าตรงมาทางพวกเธอ
สวี่ม่ายซุ่ยและหลินเจี้ยนเยี่ยเบี่ยงตัวหลบไปอยู่ข้างทาง และในไม่ช้าอีกฝ่ายก็มาหยุดตรงเบื้องหน้า
“อ้าว เป็นคุณสองคนเองเหรอ?” ชายในรถม้าตะโกนด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นทั้งสอง
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยกำลังตกอยู่ในอาการสับสน ชายคนนั้นก็ดึงผ้าพันคอที่ปิดหน้าลงแล้วพูดว่า “ผมเอง พวกคุณจำผมไม่ได้เหรอ?”
“คุณ…คุณไม่ใช่พี่ใหญ่บนรถไฟนั่นเหรอ?” สวี่ม่ายซุ่ยถามด้วยความตกตะลึง
ชายคนนั้นพยักหน้า “ใช่ แล้วคุณสองคนจะไปจินเฉียวเหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “ใช่”
ชายคนนั้นพูดว่า “ขึ้นมาสิ เดี๋ยวจะไปส่งพวกคุณเอง”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบรับสั้นๆ “ขอบคุณ” จากนั้นเขาก็ปีนขึ้นไปก่อน แล้วค่อยช่วยดึงสวี่ม่ายซุ่ยขึ้นมา
ทันทีที่ทั้งสองขึ้นมานั่งบนรถม้าแล้ว ชายคนนั้นก็ขับรถม้าไปข้างหน้าทันที
ชายคนนั้นมองย้อนกลับมาที่พวกเธอแล้วพูดว่า “คุณสองคนโชคดีมากนะ เพราะอากาศแบบนี้เราไม่ค่อยได้ออกไปไหนเลย ถ้าผมไม่ได้กลับบ้านเพื่อฉลองปีใหม่ แล้วให้พ่อออกมารับแบบนี้ เกรงว่าคุณสองคนต้องรอถึงพรุ่งนี้จึงจะไปถึงจินเฉียวน่ะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดไม่เก่ง จึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตอบสนองกับคนที่มีทัศนคติเป็นมิตรขนาดนี้อย่างไร
ในเวลานี้สวี่ม่ายซุ่ยก็เป็นแกนนำในการตอบด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นน่ะสิคะ พวกเราโชคดีจริงๆ ที่ได้พบพวกคุณ มิฉะนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าเราจะไปได้ไกลสักแค่ไหน”
“ไม่สำคัญหรอกว่าจะเดินไกลแค่ไหน ประเด็นคือพวกคุณจะหนาวเกินไปน่ะสิ”
ผู้ชายคนนั้นพูดต่อ “หนาวน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่สิ่งที่กลัวคืออาจเจอหมาป่ากับหมีดำในตอนกลางคืน ถ้าพวกมันมาพร้อมกันนะ ไม่อยากจะคิดเลย”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่เยี่ยก็เล่นบ้างเถอะ นอกเวลาราชการแล้ว
สภาพการเดินทางแถมมีหิมะด้วยนี่มันลำบากสุดๆ ไปเลย
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION