ตอนที่ 224 ยุวปัญญาชนถูกจับได้ว่าตั้งครรภ์
“พรุ่งนี้ลูกจะต้องฝึกฝนร่างกายเหมือนพี่ชาย” หลินเจี้ยนเยี่ยมองหลินฟานและพูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
หลินฟานได้ยินคำพูดนี้ก็ตกใจ “ผมไม่อยากทำครับ”
ความเข้มข้นของการฝึกฝนร่างกายที่พี่ชายต้องเผชิญนั้นคล้ายคลึงกับการฝึกของพระวัดเส้าหลิน เขาคงเป็นบ้าแน่ถ้าอยากฝึกเหมือนพี่ชาย
หลินเจี้ยนเยี่ยมองหลินฟานที่กำลังร้องไห้ไปด้วยพูดไปด้วย ตอนนี้ใบหน้าของเขามืดมนจนเกือบจะดูเหมือนเปาเจิ่ง (เปาบุ้นจิ้น)
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยเห็นว่าหลินฟานกำลังเศร้าโศกจากการถูกหลินเจี้ยนเยี่ยบังคับ เธอก็ดึงเด็กสองคนขึ้นมาและพูดว่า “เขาเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง ถ้าคุณบังคับให้เขาฝึกหนักเหมือนหลินเซียว คุณไม่กลัวว่าเขาจะทนไม่ไหวบ้างเหรอ”
“เอาล่ะ ฉันจะไปทายาให้พวกเขาก่อนนะ” หลังจากพูดเช่นนั้นแล้วเธอก็รีบพาเด็กทั้งสองเข้าไปในห้อง
เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว สีหน้าของสวี่ม่ายซุ่ยก็เปลี่ยนไปและดุลูกด้วยเสียงเย็นชา “ลูกสองคนรีบนอนลงที่ม้านั่งเลย”
บั้นท้ายของหลินเซียวกับหลินฟานถูกตี ทำให้พวกเขาไม่กล้าดึงกางเกงขึ้น เมื่อดึงกางเกงขึ้นได้เพียงครึ่งเดียวก็นอนลงบนม้านั่งยาว
เมื่อหลินเจี้ยนจวินกลับมาจากสหกรณ์ เขาก็เห็นหลานชายทั้งสองนอนเคียงข้างกันบนม้านั่งยาวโดยเปลือยบั้นท้ายอยู่
หลินเจี้ยนจวินเห็นสภาพของพวกเขาแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ “นายสองคนก่อเรื่องอะไรอีกแล้วล่ะ?”
หลินเซียวมองหน้าอาเล็กซึ่งดูคล้ายกับพ่อของตนมาก ทันใดนั้นเขาก็โกรธเคืองขึ้นมาและหายใจฟึดฟัดใส่ จากนั้นก็เบือนหน้าหนี
หลินเจี้ยนจวินพูดว่า “เฮ้ ดูอารมณ์เสียเชียวนะ”
ในเวลานี้สวี่ม่ายซุ่ยก็ออกมาพร้อมยาทา เธอมองหลินเจี้ยนจวินพลางเอ่ย “เจี้ยนจวิน ฉันหั่นผักไว้ในครัวแล้ว เดี๋ยวนายค่อยผัดทีหลังนะ ฉันต้องทายาให้เด็กสองคนนี้ก่อน”
หลินเจี้ยนจวินพยักหน้าพลางเอ่ย “ได้ครับ แต่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเหรอ?”
“โดนพี่ชายของนายตีน่ะสิ”
หลินเจี้ยนจวินได้ยินคำตอบแล้วถึงขั้นดวงตาเบิกกว้าง “พี่ชายของผมตีเองเลยเหรอ แล้วพวกเขาทำผิดอะไร?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ขับรถของพี่ชายนายไปชนต้นไม้”
หลังจากที่หลินเจี้ยนจวินได้ยินคำตอบ เขาก็ยกนิ้วให้สองพี่น้องพร้อมพูดด้วยใบหน้าชื่นชม “เธอสองคนนี่เจ๋งจริง ๆ เลย”
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่กำลังจะฉีกถึงหูของหลินเจี้ยนจวินแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็พูดด้วยความรังเกียจ “รีบไปทำอาหารเถอะ ระวังพวกเขาจะมาตัดแต้มทำงานเอานะ”
หลินเจี้ยนจวินยอมเดินออกไป แต่ยังพึมพำว่า “หลานชายทั้งสองของฉันเก่งจริง ๆ นะเนี่ย”
ขณะที่สวี่ม่ายซุ่ยกำลังทายาให้เด็กทั้งสอง หลินเจี้ยนเยี่ยก็จัดของเสร็จและเดินเข้ามา เขามองสวี่ม่ายซุ่ยแล้วถามว่า “ข้างบ้านเป็นไงบ้าง?”
สวี่ม่ายซุ่ยก้มหน้าทายาและตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองเขา “คุณหมายถึงบ้านหลังข้าง ๆ เหรอ?”
“อืม”
“ถล่มเพราะรับน้ำหนักหิมะไม่ไหวน่ะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยขมวดคิ้วพลางถามต่อ “วันนั้นหิมะตกหนักมากเลยเหรอ?”
“ค่อนข้างตกหนัก แต่พวกหล่อนก็ต้องโทษตัวเองด้วย เพราะที่สำนักงานใหญ่ประกาศให้กวาดหิมะออกจากหลังคา แต่พวกหล่อนไม่คิดจะทำเลย คุณไม่รู้หรอกว่าแม่เฒ่าเฉินติดอยู่ในนั้นนานกว่าหนึ่งชั่วโมง ตอนที่ช่วยออกมาแล้วก็ไม่เป็นอะไรเลย คุณว่าแม่เฒ่าคนนี้แข็งแกร่งเกินไปไหม”
หลินเจี้ยนเยี่ยจึงตอบว่า “ค่อนข้างแข็งแกร่งจริง ๆ”
แม้เหตุการณ์นี้จะเป็นเพียงเรื่องตลกสำหรับพวกเขา แต่สำหรับเฉินเยวี่ยแล้วมันช่างน่าสะพรึงกลัวและน่าสยดสยอง ต้องลองนึกภาพตอนเขากลับจากที่ทำงานแล้วได้พบกับความว่างเปล่าครึ่งหนึ่งตรงเบื้องหน้า เมื่อเขาอารมณ์เสียและมองหาตัวต้นเหตุ ก็ได้พบว่าคือแม่ของตัวเอง สุดท้ายเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากปล่อยมันไป
หลังเทศกาลปีใหม่ อากาศก็เริ่มอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ และพริบตาเดียวก็เข้าสู่เดือนมีนาคม
วันนั้นสวี่ม่ายซุ่ยกำลังกินข้าวอยู่ที่บ้าน จู่ ๆ ก็มีเสียงประกาศจากลำโพงกระจายเสียงในหมู่บ้าน “สวี่ม่ายซุ่ยกรุณามาที่สำนักงานใหญ่โดยเร็ว สวี่ม่ายซุ่ยกรุณามาที่สำนักงานใหญ่โดยเร็ว”
หลินเจี้ยนเยี่ยยังไม่ออกไป เมื่อเขาได้ยินเสียงตามสายจึงถามด้วยความสงสัย “พวกเขามีธุระอะไรกับคุณเหรอ?”
หลังจากได้ยินเสียงประกาศเรียกตัวเองแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็รีบวางหมั่นโถวลงและตอบขณะจัดกระเป๋า “ฉันจะรู้ได้ไงล่ะ แต่ต้องมีธุระแน่นอน”
“ถ้าพวกคุณกินเสร็จแล้วก็ออกไปได้เลย ฉันจะกลับมาทำความสะอาดเอง” พูดจบแล้วเธอก็รีบออกไปที่ประตูทันที
เมื่อเธอไปถึงสำนักงานใหญ่ ก็เห็นว่าคนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกันที่นั่นแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยเดินผ่านฝูงชนและเห็นว่าทั้งชาวบ้านและยุวปัญญาชนถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มโดยนั่งเผชิญหน้ากันอยู่
ทันทีที่สวี่ม่ายซุ่ยเดินผ่านประตูมา เธอก็ตระหนักได้ว่าเรื่องคราวนี้ไม่ง่ายแล้ว มิฉะนั้นบรรยากาศคงไม่ตึงเครียดขนาดนี้
“นักบัญชีสวี่มาถึงแล้ว” ผู้อำนวยการหลานเห็นเธอแล้วก็รู้สึกราวกับมีที่พึ่งพิงทันที หล่อนรีบดึงเธอมานั่งแล้วชี้ไปที่จางเหวินพลางเอ่ย “เธอดูยุวปัญญาชนของเราสิ นึกว่าจะเป็นคนมีวัฒนธรรม เฮอะ สุดท้ายก็เป็นแค่เศษขยะดี ๆ นี่เอง”
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่ท้องของจางเหวินซึ่งหล่อนยกมือกุมปิดไว้ ทันใดนั้น ใบหน้าของเธอก็มืดมน พลางมองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ใครทำ?”
เมื่อทุกคนเห็นว่าดวงตาของสวี่ม่ายซุ่ยไม่ปรานี ก็พากันส่ายหัวด้วยความกลัว
ในยุคนี้การตั้งครรภ์ก่อนแต่งงานเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ไม่เพียงแต่ยุวปัญญาชนจะถูกลงโทษ แต่หมู่บ้านที่ให้การดูแลก็ต้องถูกลงโทษด้วย
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นว่าทุกคนไม่ยอมรับ จึงจ้องไปที่จางเหวินด้วยสีหน้าเย็นชาแล้วถามว่า “เด็กในท้องเป็นลูกใคร?”
จางเหวินเงยหน้าขึ้นและมองตอบสวี่ม่ายซุ่ย หล่อนกัดริมฝีปากไว้แน่น แสดงออกว่าไม่ต้องการจะพูด
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นหล่อนดื้อรั้นมากจึงหันไปพูดกับผู้อำนวยการหลานที่อยู่ข้าง ๆ “ถ้าหล่อนยังเป็นแบบนี้ ควรทำไงดีคะ?”
ผู้อำนวยการหลานตอบอย่างซื่อตรง “ให้ทำแท้งและยื่นรายงาน”
หากหล่อนถูกยื่นรายงานความผิด โอกาสที่หล่อนจะได้กลับเข้าเมืองมีน้อยมาก และถ้ามีสถานที่แนะนำอื่น ๆ หล่อนจะไม่ถูกนึกถึง
ประเด็นหลักก็คือ หากมีเรื่องอื้อฉาวนี้แพร่กระจายออกไป ก็จะทำชื่อเสียงของพวกยุวปัญญาชนทั้งหมดเสียหาย และการเดินทางกลับในอนาคตจะยากมาก
นั่นเป็นเหตุผลที่ทุกคนรวมตัวต่อต้านอย่างรุนแรง
“ไม่ได้นะ” ยุวปัญญาชนผู้มีความหวังในการกลับไปมากที่สุดคนหนึ่งรีบคัดค้านทันที “ทำไมเราต้องเดือดร้อนกับสิ่งที่หล่อนทำด้วย”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ไม่รายงานก็ไม่เป็นไร แต่ต้องให้หล่อนสารภาพว่าผู้ชายสารเลวคนนั้นคือใคร แล้วเราจะจัดการเป็นการภายใน”
ทั้งยุวปัญญาชนและชาวบ้านไม่ต้องการให้เรื่องอื้อฉาวนี้แพร่ออกไป หลังจากได้ยินคำพูดนี้แล้ว ทุกคนก็หันไปจ้องมองจางเหวินเป็นตาเดียว
คนที่นั่งใกล้จางเหวินก็อดกระตุ้นเตือนไม่ได้ “จางเหวิน เธอช่วยหยุดร้องไห้แล้วรีบบอกมาเถอะ เธออยากทำลายอนาคตพวกเราทุกคนเหรอ”
จางเหวินถูกกดดันจนทำอะไรไม่ถูก หล่อนทำได้เพียงนั่งตัวสั่นและมองเสิ่นชิง
เสิ่นชิงตกตะลึงกับสายตานั้นทันที และการแสดงออกของข่งอวิ๋นป๋อที่มองจางเหวินก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาเช่นกัน เพราะเขารู้นิสัยของเสิ่นชิงดี และกลัวว่าเสิ่นชิงจะตื่นเต้นจนทำตัวเองเดือดร้อน
เขาถามจางเหวินด้วยใบหน้าที่มืดมนและโกรธเคือง “เธอมองเขาทำไม หรือจะบอกว่าเป็นเขา?”
จางเหวินได้ยินแล้วก็รีบส่ายหัวพลางเอ่ย “ไม่…ไม่ใช่”
ข่งอวิ๋นป๋อพูดว่า “ในเมื่อไม่ใช่ เธอก็อย่ามองไปเรื่อยสิ ตอนนี้เธอได้ทำลายเกียรติของยุวปัญญาชนแบบพวกเราแล้ว งั้นก็รีบบอกว่าชายสารเลวคนนั้นเป็นใคร เธอสารภาพมาดีกว่า”
สวี่ม่ายซุ่ยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับข่งอวิ๋นป๋อและเสิ่นชิง เมื่อเธอได้ยินแล้วก็พูดเสริมว่า “เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ไม่มีประโยชน์ที่เธอจะปกปิดอีกแล้ว เธอควรพูดออกมาเร็ว ๆ ดีกว่า หากเราสามารถช่วยเหลือในเรื่องใดได้ เราก็จะช่วยเต็มที่”
จาวเหวินได้ยินแล้วก็ลังเลอยู่นาน จากนั้นถามสวี่ม่ายซุ่ยว่า “พวกคุณจะช่วยเหลือฉันได้จริง ๆ เหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ย “เธอกำลังตั้งท้องลูกของตัวเองอยู่ แล้วเธอยังกังวลเรื่องอะไร? แต่ถ้าผู้ชายคนนั้นแต่งงานแล้ว เราไม่สามารถช่วยเหลือเธอได้จริง ๆ”
จางเหวินรีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่…ไม่ใช่”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดต่อ “ในเมื่อไม่ใช่ ก็เป็นความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่ยังโสด ทำไมเธอไม่กล้าพูดล่ะ?”
จางเหวินลังเลอีกนาน สุดท้ายก็พูดว่า “คือ… คือ… เขาคือโหวเจิ้น”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เป็นเรื่องใหญ่แล้วไหมล่ะ แต่ทำไมคนรับผิดชอบต้องเป็นฝ่ายหญิงฝ่ายเดียวนะในเมื่อเวลาสนุกก็สนุกด้วยกัน
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION