ตอนที่ 222 กลับบ้าน
นางลุกขึ้นตั้งหลักได้แล้วเอาหัวพุ่งชนกับกำแพงทันที เมื่อเพื่อนบ้านเห็นเช่นนี้ก็พากันเข้ามาจับนางเอาไว้
“แม่หลิวเผิง มีอะไรก็พูดกันดี ๆ เถอะ ทางแม่ยายก็สงสารลูกสาวของหล่อนเช่นกัน”
แม่หลิวเผิงพูดว่า “ฉันรู้ว่าหล่อนรักลูกสาว แต่หล่อนก็รู้ว่าไหล่ของฉันไม่ดี ยกแขนแทบจะไม่ไหว ฉันจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมล่ะ สู้ให้ฉันตาย ๆ ไปซะดีกว่า จะได้ไม่ทำให้หลิวเผิงต้องอับอายด้วย”
ขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น หลิวเผิงก็กลับมาจากข้างนอก เขารีบเข้ามาช่วยพยุงแม่หลิว จากนั้นหันไปมองทุกคนด้วยสีหน้ามืดครึ้มแล้วถามว่า “ทำไมพวกคุณมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
หลิวเจาตี้แค่นเสียงหัวเราะ “เหอะ นอกจากไร้ความสามารถแล้วยังไร้มารยาทด้วยนะ เห็นแม่ยายยืนทนโท่ แต่ไม่ทักทายสักคำ”
ใบหน้าที่เดิมทีมืดครึ้มของหลิวเผิงพลันมืดมนอีกระดับ เขาเรียกด้วยความไม่เต็มใจว่า “แม่”
แม่สวี่ยกมือขึ้นเพื่อหยุดเขาทันที “ไม่ต้อง ฉันเป็นแม่แกไม่ได้หรอก”
เมื่อหลิวเผิงได้ยินดังนั้น เขาก็เผลอกำหมัดพลางเอ่ย “คุณหมายความว่าไง”
แม่สวี่ได้ยินแล้วจึงมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า และเห็นว่าเขาสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ เมื่อเบนสายตาไปมองไปที่แม่หลิวเผิงข้าง ๆ ก็เห็นว่าสวมเสื้อผ้าใหม่ด้วย มีเพียงสะใภ้ที่นอนอยู่ข้างในซึ่งยังสวมเสื้อผ้าเก่าเต็มไปด้วยรอยปะ จึงอดเย้ยหยันไม่ได้
“หลิวเผิง ตอนที่แกแต่งงานกับลูกสาวของฉัน จำได้ไหมว่าแกพูดอะไร แกบอกว่าจะทำดีกับหล่อนตลอดชีวิต นี่คือสิ่งที่แกบอกว่าจะทำดีกับหล่อนเหรอ แกกับแม่สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ มีแค่หล่อนสวมเสื้อผ้าตัวเก่า ขณะที่แกกับแม่นั่งผิงไฟในบ้าน แต่หล่อนต้องออกมาตักหิมะข้างนอกพร้อมท้องโต ๆ แบบนั้น”
นี่คือสิ่งที่หลิวเผิงไม่สามารถโต้แย้งได้ เขาทำแค่อ้าปากพะงาบอยู่นาน แต่สุดท้ายก็พูดไม่ออก
แม่หลิวมองเขาแล้วรีบพูดว่า “คุณอย่าตำหนิเขาเลย เป็นความผิดของฉันทั้งหมด จิ้นจื่อของเขาให้ผ้ามาสองผืน แต่ทั้งสองผืนไม่เหมาะกับม่ายลี่ ฉันจึงไม่ได้ตัดเย็บไว้สำหรับหล่อนน่ะ”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา สายตาของคนรอบข้างก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ถ้าบอกว่าร่างกายของหลิวเผิงไม่ดีก็ฟังขึ้น แต่ถ้าบอกว่าเสื้อผ้าสีแดงสดของแม่เฒ่านั้นไม่เหมาะ ก็ค้านสายตาเกินไป
แม่สวี่ได้ยินแล้วยังคงไม่พูด ได้แต่หัวเราะเยาะด้วยความรังเกียจเท่านั้น
แม่หลิวทนไม่ไหวแล้วจึงจะเอาหัวโขกกำแพงอีกรอบ “ฉันรู้ว่าพวกคุณกำลังดูถูกฉัน งั้นฉันจะตายให้ดูเดี๋ยวนี้”
หลิวเผิงรีบหยุดแม่หลิวไว้ทันทีและพูดกับแม่สวี่ว่า “แม่ ที่ผมเรียกคุณว่าแม่ ก็เพราะเห็นแก่ม่ายลี่เท่านั้นแหละ”
“ก่อนที่ม่ายลี่จะแต่งงานกับผม คุณก็รู้ไหมว่าครอบครัวของผมเป็นยังไง ถ้ามาพูดตอนนี้ คุณไม่คิดว่ามันสายเกินไปเหรอ”
“ครอบครัวผมเหลือแม่คนเดียว ผมจะไม่ปล่อยให้คนอื่นรังแกแม่เด็ดขาด หากคุณกังวลเรื่องลูกสาวมากนัก ก็เชิญพาหล่อนกลับไปซะเถอะ”
แม่สวี่มองลูกเขยผู้หยิ่งผยองแต่ไม่มีความสามารถตรงเบื้องหน้า ก็อดเย้ยหยันไม่ได้ “จริงสิ แกมีแค่แม่คนเดียวนี่ ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องเรียกฉันว่าแม่ ฉันไม่อยากได้ลูกสาวคนนั้นแล้ว ลูกเขยแบบแกก็เหมือนกัน”
เมื่อพูดแบบนี้แล้วหล่อนก็หันไปพูดกับพวกหลิวเจาตี้ “พวกเราไปกันเถอะ ครั้งนี้ก็ถือซะว่าเราอยู่ว่าง ๆ เลยมาด่าคนแล้วกัน”
หลิวเจาตี้ได้ยินแล้วก็มองเข้าไปในห้องด้วยสายตาเย้ยหยัน หล่อนไม่เคยเห็นใครโง่เท่าน้องสามีคนรองมาก่อนเลย ครอบครัวฝ่ายมารดาอุตส่าห์มาหนุนหลังถึงที่ แต่หล่อนกลับเข้าข้างครอบครัวสามี อย่างนั้นนับจากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมาเยี่ยมหล่อนอีก
แม่สวี่พูดจบแล้วก็เดินออกไป หลินเจี้ยนเยี่ยเห็นจึงวางหลิวเทาลงและเดินตามไปด้วย แต่เมื่อคนกลุ่มหนึ่งกำลังจะเดินออกจากประตู ทันใดนั้นสวี่ม่ายเฉิงก็หันหลังแล้ววิ่งกลับไปต่อยหน้าหลิวเผิงอย่างแรง
หลิวเผิงถูกต่อยจนเซถอยหลังไปสองก้าว เขายกมือกุมหน้าและมองอีกฝ่ายด้วยสายตาน่ากลัวแล้วถามว่า “สวี่ม่ายเฉิง นายหมายความว่าไง?”
สวี่ม่ายเฉิงแค่นเสียงหัวเราะเยาะ “ฉันแค่อยากจะต่อยแก ไม่ได้หมายความอะไรทั้งนั้นแหละ” พูดจบแล้วเขาก็ก้าวไปข้างหน้าอีกครั้งและถีบหลิวเผิงจนลงไปกองที่พื้น เชิดหน้ามองหลิวเผิงพลางเอ่ย “แม่ของฉันตัดขาดความสัมพันธ์กับพี่หญิงรองแล้ว แต่ฉันยังไม่ตัด”
“หนึ่งหมัดเพื่อพี่หญิงรองของฉัน หล่อนไม่กล้าตำหนิแก แต่ฉันกล้า”
“ส่วนถีบนี้เพื่อแม่ของฉัน ถ้าแกไม่อยากจะหย่ากับพี่หญิงรอง จากนี้ไปเมื่อเห็นแม่ของฉันก็จงสุภาพให้มากขึ้น มิฉะนั้นฉันจะต่อยแกทุกครั้งที่เจอ”
หลังจากพูดแบบนี้แล้วเขาก็ตะโกนเข้าไปในห้องว่า “สวี่ม่ายลี่ นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะช่วยพี่ ต่อจากนี้ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็อย่ามาหาเราเด็ดขาด”
พูดจบแล้วเขาก็วิ่งไปหาแม่สวี่ จับแขนนางแล้วก็พูดว่า “แม่ครับ เราไปกันเถอะ”
คนกลุ่มหนึ่งจึงตัดใจเดินขึ้นรถ แต่ทันทีที่แม่สวี่เข้ามาในรถแล้ว น้ำตาก็ไหลลงมา หลิวเจาตี้มองแล้วก็พูดแบบไม่ใส่ใจ “แม่คะ ม่ายลี่เป็นยังไงแม่ก็รู้ดี แค่ปล่อยให้หล่อนอดทนต่อความทุกข์ต่อไป ถ้าหล่อนทุกข์ทรมานกับการสูญเสียครั้งใหญ่แล้วเมื่อไหร่ก็จะตาสว่างเอง”
สวี่ม่ายเฉิงก็พูดเสริม “แม่ พี่สะใภ้ใหญ่พูดถูกแล้ว ถ้าพี่หญิงรองยังเอาใจเข้าหาครอบครัวนี้อยู่จริง ๆ การพาหล่อนกลับไปก็เปล่าประโยชน์”
แม่สวี่ไม่ตอบสนองต่อคำพูดของทั้งสอง หลังจากร้องไห้ได้สักพัก นางก็หันไปหาหลินเจี้ยนเยี่ยแล้วพูดว่า “เจี้ยนเยี่ย ทำให้เธอต้องมาหัวเราะเยาะแล้ว”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “เราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าสุภาพนักเลยครับ”
หลังจากส่งพวกเขากลับบ้านแล้ว หลินเจี้ยนเยี่ยก็เห็นว่าทุกคนไม่มีความสุขเลย จึงบอกพ่อสวี่ว่ามีธุระที่กรม และขอตัวกลับก่อน
พ่อสวี่ได้ยินว่าเขายังมีงานที่กรม จึงไม่ได้รั้งไว้อีก
หลินเจี้ยนเยี่ยขับรถกลับบ้านก็เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว ก่อนอื่นเขาต้องไปรายงานภารกิจที่กรมทหาร รอให้ถึงเวลาเลิกงานแล้วเขายังไม่ส่งรถคืนที่กรม แต่ขับกลับบ้านต่อไป
เมื่อเขาขับรถกลับถึงบ้าน หลินเซียวกับหลินฟานก็ขึ้นไปนั่งบนรถด้วยความตื่นเต้นโดยไม่สนใจเขาเลย หลินเจี้ยนเยี่ยจึงลากทั้งสองคนออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและสั่งว่า “ไป รีบไปบอกแม่ของพวกลูกว่าพ่อกลับมาแล้ว”
หลินฟานได้ยินแล้วก็วิ่งไปเรียก ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมสวี่ม่ายซุ่ย ตอนนี้สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่กระสอบกับกระเป๋าในมือของเขาพลางถามด้วยความสงสัย “คุณได้ของพวกนี้เป็นรางวัลเหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “ผมซื้อมาน่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินคำตอบแล้วไม่ได้ถามมากความ เธอช่วยขนของเข้าบ้าน และทันทีที่หลินเจี้ยนเยี่ยเดินเข้าบ้าน ก็ถามเธอว่า “เจี้ยนจวินล่ะ?”
“ไปสหกรณ์น่ะ”
“คุณมีอะไรไหม ทำไมกลับมาตอนนี้ล่ะ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยเข้าใจความหมายของสวี่ม่ายซุ่ย แต่เขายังเลี่ยงตอบประเด็นสำคัญ “ผมแวะไปเยี่ยมแม่แล้วกลับมาตอนเที่ยง”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วอดหัวเราะเยาะไม่ได้ “คุณนี่ช่างกตัญญูจริง ๆ นะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยนั่งที่เก้าอี้แล้วตอบด้วยความใจเย็น “ไปบ้านแม่ยายทั้งที ผมก็ต้องแสดงความกตัญญูสิ”
ดวงตาของสวี่ม่ายซุ่ยเป็นประกายกับคำตอบ เธอหยุดมือที่จัดข้าวของแล้วเดินมาถามว่า “คุณไปบ้านแม่ฉันจริงๆ เหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยเลิกคิ้วถาม “ถ้าไม่ใช่ แล้วคุณคิดว่าผมไปที่ไหน?”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ฉันคิดว่าคุณไปบ้านแม่ของคุณน่ะสิ แล้วทางบ้านแม่ฉันเป็นไงบ้าง หิมะตกหนักไหม?”
หลินเจี้ยนเยี่ยจึงตอบว่า “ไม่เป็นไร สถานการณ์ดีกว่าของเรามาก”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ดูเหมือนพื้นที่ของเราจะมีหิมะตกหนักที่สุด แล้วพ่อแม่สบายดีไหม พวกเขาบังคับคุณกินข้าวหรือยัง?”
หลินเจี้ยนเยี่ยลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “พ่อแม่สบายดี แต่พี่หญิงรองของคุณไม่ค่อยแข็งแรงน่ะ”
“คุณได้เจอพี่หญิงรองของฉันด้วยเหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “อืม พี่หญิงรองของคุณตกเลือดขณะทำงาน แม่เลยไปหาหล่อน และผมก็ไปเป็นเพื่อนท่าน”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที “งั้นก็หมายความว่าพี่หญิงรองของฉันท้อง แล้วทำไมหล่อนยังต้องทำงานอยู่?”
หลินเจี้ยนเยี่ยคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง พอสวี่ม่ายซุ่ยได้เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด เธอก็โกรธจนตัวสั่น “สมองของพี่หญิงรองมีปัญหาไปแล้วเหรอ ทำไมหล่อนถึงไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดีเลยนะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยแสดงสีหน้าว่าเห็นด้วยและพูดว่า “จริง พี่หญิงรองของคุณมีความคิดไม่เหมือนคนปกติจริง ๆ”
สวี่ม่ายซุ่ยเป็นคนประเภทที่ว่าตนตำหนิได้คนเดียว แต่คนอื่นจะมาตำหนิคนในครอบครัวด้วยไม่ได้ เธอได้ยินแล้วจึงจ้องมองเขาด้วยสายตาน่ากลัวทันที
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ทำดีมากม่ายเฉิง ก่อนจะตัดสัมพันธ์ก็ขอซัดหน้าไอ้สวะนี่ก่อนสักหมัด
ไม่มีใครช่วยหล่อนได้นอกจากตัวหล่อนเองแล้วล่ะม่ายลี่
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION