ตอนที่ 209 อาวุโสจางช่วยปูทางให้พวกเธอแล้ว
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ถูกสายตาเย็นชาของข่งอวิ๋นป๋อสาดใส่ทันที ยุวปัญญาชนชายที่พูดก็รีบยกมือปิดปาก และกระซิบหลังจากได้รับคำเตือนจากข่งอวิ๋นป๋อ “ได้ๆ ไม่พูดก็ได้ๆ”
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศผ่อนคลายลงแล้วก็มีคนยิ้มและพูดว่า “เอาล่ะ ฉันเจอตะเกียบพวกนี้แล้ว ยังจะกินกันอยู่ไหม”
ทันทีที่พูดแบบนี้แล้ว ยุวปัญญาชนที่พบตะเกียบก็รีบไปหาข่งอวิ๋นป๋อก่อน ต้องทราบก่อนว่าทักษะการทำอาหารของทุกคนในนี้ไม่มีความแตกต่างกันเลย ในเมื่อมีคนนำอาหารน่ากินมาให้ ถ้าไม่กระตือรือร้นก็คงจะสมองทึ่มเกินไป
ฝ่ายเสิ่นชิงได้แบกจางเหวินไปถึงศูนย์อนามัยแล้ว เมื่อหมอที่ศูนย์อนามัยเห็นสภาพร้อนรนของทุกคนแล้วก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี เขาจึงรีบวิ่งออกมาและถามด้วยความร้อนใจ “เกิดอะไรขึ้น?”
เสิ่นชิงเห็นหมอวิ่งออกมาแล้วจึงอธิบายด้วยความกังวล “หล่อนน่าจะป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ทำให้อาเจียนและท้องเสีย อาการไม่ดีเลยครับ”
เมื่อหมอได้ยินว่าป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเดินนำเสิ่นชิงไปที่เตียงว่างพลางเอ่ย “ให้นอนที่นี่ก่อน”
ทันทีที่หมอพูดจบ เพื่อนร่วมห้องของจางเหวินก็มายืนข้างๆ และช่วยพยุงจางเหวินลงจากหลังของเสิ่นชิงด้วยความระมัดระวัง ซึ่งตอนนี้จางเหวินรู้สึกดีขึ้นมากและใบหน้าของหล่อนก็ไม่ได้น่าเกลียดเท่าเมื่อครู่ เมื่อมองเพื่อนร่วมห้องที่ต้องมาลำบาก ประกอบกับเสิ่นชิงที่ดูกังวลมาก หล่อนจึงไม่กล้าพูดว่าตัวเองสบายดีแล้ว
เมื่อหมอเห็นจางเหวินนอนลงแล้วก็ถามว่า “คุณมีอาการนี้มากี่วันแล้ว?”
จางเหวินคิดอยู่อึดใจหนึ่งแล้วตอบ “ได้สักสามหรือสี่วันแล้วค่ะ”
อันที่จริงหล่อนมีอาการไม่สบายมาหลายวันแล้ว แต่อาการเพิ่งมาหนักขึ้นเมื่อไม่กี่วันนี้
“คุณถ่ายหนักวันละกี่รอบ?”
จางเหวินเกิดความลังเลขึ้นมาทันที จริงๆ ตอนนี้หล่อนไม่ได้ท้องเสียแล้ว แต่กลับมีอาการท้องผูกเล็กน้อย และการที่หล่อนไปเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้นก็ทำให้หล่อนกลัวว่าคนอื่นจะล้อเลียนกับอาการปัสสาวะบ่อย เพราะอาการที่ตามมาคือหล่อนอั้นปัสสาวะไม่อยู่และปัสสาวะไม่หมด หล่อนจึงพูดอย่างคลุมเครือว่ายังท้องเสียอยู่
แต่ในเมื่อหล่อนได้พูดไปแล้ว อีกทั้งตอนนี้ทุกคนก็อยู่ใกล้ๆ หล่อนจึงไม่กล้าพูดความจริง ดังนั้นจึงตอบไม่เต็มเสียงว่า “น่าจะห้าหรือหกครั้งค่ะ”
หลังจากได้ยินคำตอบของหล่อนแล้ว หมอก็คิดว่าหล่อนเป็นโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบจริงๆ จึงพูดด้วยความใจเย็น “น่าจะเป็นโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ เดี๋ยวจะให้น้ำเกลือบรรเทาอาการอ่อนเพลียสองขวดนะ”
จางเหวินตอบรับเสียงอ่อนแรง “ค่ะ”
หลังจากนั้นไม่นาน พยาบาลก็เตรียมยาและมีการเติมน้ำเกลือให้จางเหวิน เมื่อเสิ่นชิงเห็นว่าเพื่อนร่วมห้องของจางเหวินอยู่ที่นี่แล้ว เขาก็กลับมามีสติอีกครั้ง มองจางเหวินและพูดเสียงราบเรียบ “ในเมื่อหมดเรื่องแล้ว ฉันกลับก่อนนะ”
เมื่อพูดจบแล้วเขาก็เดินออกจากศูนย์อนามัยแม้ว่าทุกคนจะพยายามรั้งให้อยู่ต่อก็ตาม
จางเหวินมองตามแผ่นหลังของเสิ่นชิงที่ก้าวเดินออกไปพร้อมร่องรอยของความเหงาในดวงตา เทียบกับโหวเจิ้นแล้วหล่อนชอบเสิ่นชิงมากกว่า แต่น่าเสียดายที่ภูมิหลังครอบครัวของเสิ่นชิงยากจนเกินกว่าจะให้ชีวิตตามที่หล่อนปรารถนาได้
เมื่อหล่อนได้มาทราบเกี่ยวกับภูมิหลังครอบครัวของเสิ่นชิงในภายหลัง หล่อนก็เสียใจและเสียดายสุดซึ้ง
สวี่ม่ายซุ่ยเดินออกจากศูนย์ยุวปัญญาชนแล้วตรงไปที่คอกวัวทันที เมื่อเปรียบเทียบกับเงื่อนไขในศูนย์ยุวปัญญาชนแล้ว สภาพในคอกวัวนั้นเลวร้ายกว่ามาก เพราะในฤดูหนาวยังไม่มีแม้แต่เตาผิง
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยมาถึง บรรดาชายชราในห้องทั้งหลายก็กำลังนั่งกังวลอยู่พอดี พวกเขาเห็นเธอเข้ามาแล้วก็รู้สึกเหมือนได้เห็นผู้ช่วยชีวิต “นักบัญชีสวี่ ในที่สุดคุณก็มา รีบมาดูเหล่าซุนหน่อยเถอะ”
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่อาวุโสซุนซึ่งป่วยหนักและนอนอยู่บนเตียง เธอจึงหยิบกระเป๋าออกมาโดยอัตโนมัติแล้วมอบให้อาวุโสจาง “ช่วยเอาไปวางไว้ที่กระท่อมหลังข้างๆ แทนฉันหน่อยค่ะ”
นับตั้งแต่อาวุโสจางหายจากอาการป่วย เขาก็ย้ายมาอยู่กระท่อมเดียวกับคนอื่น เมื่ออาวุโสจางมองกระเป๋าที่สวี่ม่ายซุ่ยยื่นให้ นัยน์ตาของเขาก็ครึ้มลงและพ่นลมหายใจเย็นชา “สาวน้อย การกระทำแปลกๆ จะดึงดูดความสนใจของผู้อื่นได้”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแบบนี้แล้วก็มองเขาด้วยใบหน้าเย็นชาและพูดไม่ไว้หน้า “ถ้าคุณรู้สึกว่ามันลำบากนัก ฉันจะให้คนอื่นช่วยก็ได้”
ทุกคนรู้ดีว่าสวี่ม่ายซุ่ยกับอาวุโสจางไม่ค่อยลงรอยกัน เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะทะเลาะกันอีกครั้ง เหล่าห่าวที่อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้นมาทันที “เดี๋ยวฉันจะทำให้”
อาวุโสจางยังพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ไม่ต้อง นายอยู่ดูแลเหล่าซุนที่นี่เถอะ ฉันจะไปเอง”
พูดจบแล้วเขาก็เดินไปที่ประตูถัดไปทันที
เมื่อปิดประตูถัดไปแล้ว อาวุโสจางก็เปิดกระเป๋าของสวี่ม่ายซุ่ยออกทันที เขามองกล่องอาหารที่อยู่ข้างใน ทันใดนั้นก็บังเกิดกระแสน้ำอุ่นไหลผ่านหัวใจ เขาหยิบกล่องขึ้นมาเปิดดูและได้เห็นว่ามันเต็มไปด้วยของทอดซึ่งทำให้คนมองน้ำลายสอ
อาวุโสจางเชื่อถือในฝีมือทำอาหารของสวี่ม่ายซุ่ยนานแล้ว เขาจึงอดใจไม่ไหวแล้วหยิบชิ้นหนึ่งใส่ปาก ตามมาด้วยชิ้นที่สองและสาม จากนั้นเขาก็หยุดกินและก้มลงที่ข้างเตียงด้วยร่างกายสั่นเทาเพื่อซ่อนกล่องอาหารไว้ใต้เตียง เสร็จแล้วจึงเช็ดคราบน้ำมันออกจากปากและเดินออกไป
สวี่ม่ายซุ่ยตั้งใจมามอบของให้อาวุโสจาง ตอนนี้เธอต้องเดินไปหาอาวุโสซุนพลางยกมือแตะหน้าผากของเขาและขมวดคิ้วถามว่า “อยู่ดีๆ ทำไมถึงมีไข้ขึ้นมาได้ล่ะคะ?”
อาวุโสห่าวตอบว่า “เมื่อคืนนี้หิมะตกหนัก ทำให้อากาศหนาวจัด เขาเองก็ใช้ผ้าห่มผืนนี้ได้หลายปีแล้ว มันไม่ช่วยทำให้เขาอุ่นอีกต่อไปแล้วล่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วสวี่ม่ายซุ่ยก็เอื้อมมือออกไปจับผ้าห่มของเขา จึงตระหนักได้ว่าเป็นตามที่อาวุโสห่าวพูดจริงๆ
“นักบัญชีสวี่ คุณเป็นคนเดียวในกลุ่มคนเหล่านี้ที่ปฏิบัติต่อเราเหมือนคนปกติ ถ้างั้นคุณช่วยหาทางไปตามหมอให้เหล่าซุนได้ไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ยเกิดความลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ได้สิ”
สวี่ม่ายซุ่ยเคยได้ยินจากอาวุโสจางว่าตัวตนของชายชราเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลที่เก่งกาจในแวดวงทหาร การเมืองและกลุ่มนายทุน เพียงแค่พวกเขาถูกบังคับให้ตกต่ำเท่านั้น และถ้าเป็นไปได้ เธอก็จะพยายามช่วยเหลือพวกเขา
“พวกคุณรออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวฉันจะไปหาหมอ”
อาวุโสห่าวพูดว่า “แต่ข้างนอกหิมะยังตกอยู่เลย หมอจะมาได้ไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ถ้ามาไม่ได้ ฉันก็จะซื้อยาให้เอง” พูดจบแล้วสวี่ม่ายซุ่ยก็เดินออกไปท่ามกลางหิมะ
ทันทีที่เธอจากไป ชายชราก็ถอนหายใจพลางเอ่ย “คราวนี้พวกเราได้เจอคนดีแล้วจริงๆ นะ”
เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว สวี่ม่ายซุ่ยเป็นคนเดียวที่กล้าแสดงน้ำใจต่อพวกเขาออกมาโดยตรง หากเธอเข้าเวรก็มักจะปล่อยให้พวกเขาได้พักผ่อน มีบางครั้งเธอจะช่วยทำอาหาร แม้ในตอนแรกทุกคนต่างระแวดระวัง แต่หลังจากเฝ้าสังเกตมานาน และได้รู้จักนิสัยของเธอ ก็ทำให้พวกเขาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงอย่างแท้จริง
“ใช่ นับว่าโชคดีที่ได้พบหล่อน เพราะไม่งั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าจะรอดพ้นปีใหม่นี้ไปได้ไหม”
ทันทีที่พูดถึงปีใหม่ บรรดาผู้อาวุโสทุกคนก็เศร้าโศกขึ้นมา อาวุโสจางมองพวกเขาทีละคน และอดพูดขึ้นมาไม่ได้ “ในเมื่อคิดถึงบ้าน แล้วทำไมไม่เขียนจดหมายกลับบ้านล่ะ”
ทุกคนได้ยินแล้วก็ตกตะลึง “ด้วยสถานะของเราตอนนี้แล้วจะเขียนจดหมายได้ไง?”
อาวุโสจางพูดว่า “ลืมแล้วเหรอว่าเรายังมีนักบัญชีสวี่อยู่”
อาวุโสห่าวแย้งว่า “นี่จะทำให้นักบัญชีสวี่พลอยเดือดร้อนไหม”
อาวุโสจางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “เขียนจดหมายด้วยตัวตนของนักบัญชีสวี่ ด้วยเนื้อหารอบคอบรัดกุมสิ เพียงแจ้งให้ครอบครัวทราบว่าพวกเรายังปลอดภัยดีก็พอ”
คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้เปี่ยมปัญญาก่อนจะตกจากอำนาจ เพียงไม่กี่ประโยคนี้ก็ทำให้พวกเขาเข้าใจความหมายของอาวุโสจาง และทุกคนก็เริ่มมีความสุขขึ้นมาทันที “แบบนี้ก็ดีจริงๆ นะ”
“แต่ไม่รู้ว่านักบัญชีสวี่จะเห็นด้วยไหม”
อาวุโสห่าวพูดว่า “งั้นพวกเราก็ลองคุยกับนักบัญชีสวี่กันเถอะ”
เมื่อเห็นบทสนทนาที่มีชีวิตชีวาของพวกเขาแล้ว อาวุโสจางก็ยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่ขัดจังหวะ เพราะเขาแตกต่างจากคนที่มีครอบครัว ตอนนี้เขาเหลือตัวคนเดียวและไม่มีคนข้างหลังให้ต้องกังวล
อย่ามองแค่ว่าคนกลุ่มนี้ดูสิ้นหวัง แต่อูฐที่ผอมตายยังตัวใหญ่กว่าม้า* ตราบใดที่พวกเขาสามารถคืนสู่สถานะเดิมได้ พวกเขาย่อมจะไม่ลืมน้ำใจที่สวี่ม่ายซุ่ยมีให้ในครานี้ และด้วยนิสัยของพวกเขา จะไม่ลืมตอบแทนน้ำใจของเธอเด็ดขาด นั่นหมายความว่าเส้นทางของหลินเจี้ยนเยี่ยจะโรยด้วยกลีบกุหลาบแน่นอน
(*อูฐที่ผอมตายยังตัวใหญ่กว่าม้า หมายถึง แม้จะตกต่ำ ทว่าก็เคยยิ่งใหญ่มาก่อน)
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
อาการแบบนี้มันอาการคนท้องอ่อนๆ แล้วล่ะยัยจางเหวิน ที่อั้นปัสสาวะไม่อยู่กับท้องผูก ก็เพราะเด็กในท้องกำลังโตแล้วไปเบียดลำไส้กับกระเพาะปัสสาวะยังไงล่ะ
สงสารผู้อาวุโสพวกนี้จังเลย โดนกลั่นแกล้งทางการเมืองนี่มันไม่ใช่เรื่องตลกจริงๆ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION