ตอนที่ 203 อาหารทอดกรอบ
“ได้ ใส่ชามของลูกเยอะกว่าใครเลย” สวี่ม่ายซุ่ยพูดพลางเดินออกไป
เนื่องจากที่นี่เป็นเกาะ จึงมีลมทะเลพัดทุกวัน ทำให้ฤดูหนาวมีความหนาวเหน็บกว่ามาก สวี่ม่ายซุ่ยจึงย้ายเตาเข้าบ้านตั้งแต่เริ่มเข้าสู่เดือนธันวาคมได้ไม่นาน
เตาของที่นี่เป็นชนิดที่ต้องใส่ถ่านเข้าไป และเพื่อป้องกันมลพิษจากการเผาไหม้ สวี่ม่ายซุ่ยจึงแง้มประตูไว้ตอนกลางคืน
พวกสวี่ม่ายซุ่ยทั้งสามจึงไม่ต้องออกไปทำอาหารที่ห้องครัว เพียงยกหม้อเข้ามาแล้วปรุงบนเตาในห้องหลักได้เลย
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาก็จะทำการก่อไฟเป็นอันดับแรก ในเวลานี้เธอหยิบกาน้ำร้อนขึ้นมาและเห็นว่าไฟในเตากำลังลุกโชนแล้ว
ท่ามกลางหิมะ เธอวิ่งไปที่ห้องครัวและย้ายทุกสิ่งที่ต้องการมาไว้ในห้องหลัก จากนั้นก็เริ่มยุ่งกับการทำอาหาร
หลินเซียวและหลินฟานที่ตื่นแล้วก็ไม่ยอมกลับไปนอนอีก แต่เนื่องจากกลัวความหนาวจึงนั่งมุดผ้าห่มอยู่บนเตียง จวบจนกระทั่งกลิ่นหอมของอาหารโชยมา จึงทำให้เด็กทั้งสองต้องผุดลุกขึ้นแล้วปีนลงจากเตียงด้วยความไม่ค่อยเต็มใจ
“แม่ครับ ซุปไข่ฝีมือแม่ส่งกลิ่นหอมเกินไปแล้ว” หลินเซียวมองซุปไข่ที่กำลังปรุงอยู่ข้างๆ แล้วอดพูดชมไม่ได้
ตอนนี้สวี่ม่ายซุ่ยกำลังทำแป้งทอดอยู่ เธอมองหลินเซียวสักครู่และตอบเขาว่า “แม่จะไปยกน้ำมาให้ลูกสองคน ไม่ต้องออกไปข้างนอกนะ แค่ล้างหน้าแปรงฟันในบ้านนี่แหละ”
เนื่องจากอากาศเย็น ทำให้น้ำในถังเก็บน้ำแข็งเป็นน้ำแข็งด้วย ดังนั้นเมื่ออุณหภูมิลดลง หลินเจี้ยนเยี่ยก็ย้ายถังเก็บน้ำเข้ามา ส่วนบ่อน้ำด้านนอกก็ถูกคลุมทับด้วยฟางให้แน่นหนาเพื่อสร้างความอบอุ่น
แต่เมื่ออุณหภูมิต่ำเกินไป มันก็ป้องกันน้ำไม่ให้แข็งตัวไม่ได้ และทุกครั้งที่เกิดปัญหานี้ หลินเจี้ยนเยี่ยจะเป็นคนต้มน้ำร้อนในหม้อใหญ่ทิ้งไว้ให้
หลินเซียวกับหลินฟานได้ยินแล้วไม่ได้ต่อต้าน พวกเขารีบวิ่งไปที่ห้องเพื่อหยิบแปรงสีฟันและยาสีฟันออกมา
หลินฟานแปรงฟันอย่างเชื่อฟังและปฏิบัติตามขั้นตอนที่สวี่ม่ายซุ่ยสอนด้วยความเคร่งครัด ไม่ต่างจากนายแบบโฆษณายามีฟันตัวน้อยตามหน้าจอโทรทัศน์ ส่วนหลินเซียวเป็นคนใจร้อน เขาแปรงฟันสองสามทีและบ้วนน้ำออกมาสองสามรอบ จากนั้นเขาก็แปรงเสร็จ ไม่รู้ตัวเลยว่าแสดงละครตบตาใครทุกวันไม่สำเร็จ
สวี่ม่ายซุ่ยทำแป้งทอดเสร็จแล้วก็ยกขึ้นโต๊ะ หลินเซียวกับหลินฟานที่ซักเสื้อผ้าส่วนตัวเสร็จแล้วก็พากันเดินมานั่งรอที่โต๊ะอาหาร
สวี่ม่ายซุ่ยตักซุปไข่ใส่ชามให้พวกเขาแล้วพูดว่า “กินได้แล้ว”
ขณะที่พวกเขากินย่อมไม่มีใครสามารถปิดปากพวกเขาได้ เช่นเดียวกับชุดหนังสือหนึ่งแสนทำไม* ที่คอยถามคำถามครั้งแล้วครั้งเล่า
(*ชุดหนังสือหนึ่งแสนทำไม คือ ชุดหนังสือให้ความรู้รอบตัวสำหรับเด็กของประเทศจีน)
“แม่ครับ อาเล็กจะกลับมาเมื่อไหร่ ผมคิดถึงเขาจังเลย”
สวี่ม่ายซุ่ยกินข้างพลางเหลือบมองพวกเขาแล้วพูดด้วยความสงบ “ลูกคิดถึงอาเล็ก หรือคิดถึงอาสะใภ้เล็กกันแน่ล่ะ?”
หลินเซียวยิ้มแล้วตอบด้วยความเขิน “แหะๆ คิดถึงหมดแหละครับ”
พูดตามตรงแล้วสวี่ม่ายซุ่ยก็กังวลเช่นกัน เพราะหลินเจี้ยนจวินหายไปหลายวันแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าเขาจะกลับมาเลย
“รอให้หิมะหยุดตกแล้วแม่จะไปสอบถามที่สหกรณ์ให้นะ”
ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว หลินเจี้ยนจวินต้องออกไปซื้อของมาเติมเข้าคลังสำหรับปีใหม่ ถ้าพิจารณาจากตรงนี้เขาก็น่าจะกลับมาภายในสองวันนี้
หลินเซียวได้ยินแล้วไม่ได้ถามเพิ่มอีก แต่หลินฟานถามสวี่ม่ายซุ่ยแทนว่า “แม่ครับ แล้วเมื่อไหร่พ่อจะกลับมาเหรอครับ”
เนื่องจากทุกภารกิจของหลินเจี้ยนเยี่ยจะถูกเก็บเป็นความลับ นอกจากรอให้เขากลับมาจากการประชุมแล้วก็ไม่มีข้อมูลใดอีก
“ไม่รู้เลยน่ะสิ”
“ลูกคิดถึงพ่อเหรอ?”
หลินฟานส่ายหัวพลางเอ่ย “ไม่ครับ”
ถ้าพ่อไม่อยู่บ้าน นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ต้องออกกำลังกายตอนเย็น ซึ่งเขาไม่เหมือนพี่ชายที่เป็นคนบ้าพลัง
ซึ่งในช่วงเวลาที่หลินเจี้ยนเยี่ยไม่อยู่บ้านนี้ หลินเซียวยังคงยืนกรานที่จะออกกำลังกายทุกวัน และสวี่ม่ายซุ่ยก็มองเห็นว่าเขาชื่นชอบมันจริงๆ
ทั้งสามแม่ลูกนั่งกินข้าวกันข้างเตาไฟด้วยความเพลิดเพลิน สวี่ม่ายซุ่ยเติมน้ำให้พวกเขาและบอกให้พวกเขาล้างจาน ขณะที่เธอออกไปทำงานในห้องครัว
เหลือเวลาอีกเพียงสองวันก็จะถึงปีใหม่แล้ว เธอจึงต้องทำอาหารทอดกรอบไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
“หลินเซียว วันนี้ลูกช่วยแม่ควบคุมไฟที่บ้านได้ไหม?” สวี่ม่ายซุ่ยโผล่หัวออกมาจากประตูห้องครัวแล้วตะโกนถาม
หลินเซียวตอบโดยไม่ต้องคิดมาก “ได้ครับ”
ในเวลานี้หลินฟานก็เข้าร่วมโดยกล่าวว่า “แม่ครับ ผมก็ช่วยได้นะ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ได้สิ”
เนื่องจากการทอดอาหารกรอบต้องใช้ไฟจากเตา จึงต้องวิ่งเข้าออกทั้งห้องหลักและห้องครัว สวี่ม่ายซุ่ยจึงหยิบไม้กวาดออกไปกวาดหิมะที่ลานบ้านเพื่อให้เดินไปมาระหว่างสองห้องได้ง่าย
อาจเพราะตอนนี้ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว หิมะจึงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก แต่เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
โชคดีที่สวี่ม่ายซุ่ยซื้อของจากสหกรณ์เมื่อวานนี้หมดแล้ว จึงไม่ต้องวิ่งฝ่าหิมะไปทางนั้นแล้ว
เธอนำรากบัว มันฝรั่ง มันหวาน แครอท ซี่โครงหมู เนื้อ กุ้มและปลาที่ซื้อออกมา จากนั้นหั่นเป็นแผ่นหรือชิ้นตามต้องการ โดยใช้เวลาตลอดทั้งเช้าในการเตรียมวัตถุดิบเหล่านี้ให้เสร็จ
แม้ว่าสวี่ม่ายซุ่ยจะไม่ได้ทำอาหารตอนเที่ยง แต่ในจังหวะที่เธอกำลังทอดผักกรอบ อย่างไรก็หยิบกินไปด้วยระหว่างทำงานได้
หลินเซียวทำหน้าที่ควบคุมไฟ เธอเดินไปทดสอบน้ำมันด้วยตัวเอง เมื่อรู้สึกว่าน้ำมันพร้อมแล้ว เธอก็ใส่ผักชุบแป้งทอดกรอบลงไป
มีอ่างแป้งทอดกรอบอยู่ตรงเบื้องหน้า ในนั้นมีรากบัว มันฝรั่ง มันหวานที่พร้อมทอด
เธอใส่ผักที่หุ้มไปด้วยแป้งทอดแล้วลงในกระทะ สักพักก็มีกลิ่นหอมโชยออกมา
จางซุ่ยฮวาเพื่อนบ้านกำลังทำอาหารอยู่เช่นกัน เมื่อหล่อนได้กลิ่นที่มาจากบ้านของสวี่ม่ายซุ่ยแล้ว หล่อนก็อดที่จะบ่นไม่ได้ “นางคนสุรุ่ยสุร่ายคนนี้คงเอาน้ำมันใส่กระทะเยอะๆ อีกแล้วล่ะสิ”
จินเฟิ่งได้ยินแม่บ่นพึมพำจึงพูดว่า “แม่ พวกเราก็เติมน้ำมันเพิ่มอีกได้ไหม?”
เนื่องจากจางซุ่ยฮวาไม่ยอมใส่น้ำมันเยอะ ทำให้การทอดผักกรอบเหมือนเป็นการผัดมากกว่า ซึ่งไม่เพียงแต่หน้าตาไม่น่ากินเท่านั้น กลิ่นยังไม่ดีอีกด้วย
จางซุ่ยฮวาได้ยินเช่นนี้ก็ก่นด่าด้วยความโมโห “อยากจะใส่ก็ใส่ได้เหรอ แกไม่รู้เหรอว่าบ้านเราเป็นยังไง จะใส่น้ำมันตามใจแกได้เหรอ”
“ถ้าใช้หมดตั้งแต่มื้อนี้ มื้อต่อไปก็ต้องอดอยาก”
จินเฟิ่งเม้มปากแล้วพูดด้วยความไม่พอใจ “เราก็เป็นครอบครัวผู้บังคับการเช่นกัน แต่ครอบครัวอาหลินกินดีมากๆ ผิดกับบ้านเราที่มีแต่อาหารห่วยๆ แบบนี้”
ความจริงแล้วจางซุ่ยฮวาก็คิดแบบนี้ตั้งแต่แรก หล่อนยังเคยแอบคุยกับเฉินเยวี่ยแล้วด้วย
แต่ใครจะคิดว่าทันทีที่หล่อนพูดได้ไม่กี่คำ หล่อนก็ถูกตำหนิกลับมา เขาบอกว่าที่เพื่อนบ้านกล้ากินแบบนี้เพราะในบ้านมีคนหาเงินสองคน
หลินเจี้ยนเยี่ยได้เงินเดือน สวี่ม่ายซุ่ยได้เสบียงอาหาร อีกฝ่ายไม่ได้ขาดแคลน แล้วทำไมจะไม่กล้ากินดีอยู่ดีล่ะ
อันที่จริงสวี่ม่ายซุ่ยคงไม่กล้ากินแบบนี้ถ้ามีรายได้จากสามีคนเดียว แต่ใครใช้ให้เธอมีรายได้เสริม เธอสามารถทำงานเสริมได้ตลอดเวลา เมื่อรวมกับเงินที่แม่เฒ่าหลินต้องคืนให้ ก็เพียงพอจะใช้ชีวิตได้สักพักหนึ่งเลย
“คนอื่นมีเงินมีงานทำ ถ้าอยากจะกินอะไรก็สามารถกินได้นั่นแหละ”
จินเฟิ่งได้ยินแล้วมีความคิดขึ้นมาทันที “แม่ ถ้างั้นแม่ก็ออกไปหางานทำดีไหม?”
จางซุ่ยฮวาเป็นแม่บ้านเต็มตัวมาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว เรียกได้ว่าร่างกายของหล่อนรังเกียจการออกไปทำงานนอกบ้านเป็นที่สุด
เมื่อได้ยินจินเฟิ่งพูดเช่นนี้ ใบหน้าของหล่อนก็มืดมน “แกคิดแบบนั้นได้ไง ตอนนี้น้องชายของแกอายุเท่าไหร่แล้ว ถ้าฉันออกไปทำงานแล้วใครจะดูแล?”
จินเฟิ่งทำหน้ามุ่ย “หลินฟานข้างบ้านอายุก็เท่ากับเขาไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นว่าจะต้องมีใครดูเลย”
จางซุ่ยฮวามองไปที่ลูกสาวซึ่งถูกแม่เฒ่าเฉินตามใจจนกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว หล่อนพูดด้วยความโกรธ “ในเมื่ออยากจะทำงาน แกก็ออกไปทำเองสิ”
“รอพ่อแกกลับมาเย็นนี้ก่อน แล้วฉันจะบอกเขาว่าแกอยากทำงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ตอนนั้นเราก็สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ทุกมื้อแล้ว”
เฉินจินเฟิ่งได้ยินแล้วโกรธขึ้นมา “ทำไมฉันต้องไปทำงานด้วย เพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง ยังต้องไปโรงเรียนอยู่นะ”
ใบหน้าของจางซุ่ยฮวามืดมน “ทำไมแกจะออกไปทำงานไม่ได้ แกก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว อยากกินดื่มที่บ้านเฉยๆ ไปอีกนานแค่ไหน”
“แล้วที่สำคัญนะ ทำไมเด็กผู้หญิงต้องเรียนหนังสือด้วย มีความสามารถพอเหรอ”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แค่อาหารทอดก็เป็นประเด็นตีกับเพื่อนบ้านได้ ข้างบ้านนี่มันสุดๆ ไปเลย
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION