ตอนที่ 202 จ้าวเป่ากั๋วโดนด่า
“ถ้าฉันไม่เชิญนายตอนเที่ยงแล้วจะให้เชิญตอนไหน?” จ้าวเป่ากั๋วมองหลินเจี้ยนเยี่ยแล้วพูดอย่างไม่เกรงใจ
“แล้วคุณมีเวลาทำอาหารหรือไง?”
จ้าวเป่ากั๋วตอบว่า “ทำไมจะต้องทำล่ะ ตอนนี้ภรรยานายกับภรรยาฉันกำลังทำเจียนปิ่งที่บ้าน เรากลับถึงบ้านก็กินได้เลย”
หลังจากที่หลินเจี้ยนเยี่ยได้ยินแล้วก็มองอีกฝ่ายด้วยความดูแคลน “กรรมการการเมืองรู้วิธีคำนวณตามที่คาดไว้จริง ๆ”
จ้าวเป่ากั๋วมองหลินเจี้ยนเยี่ยที่เดินหนีไป เขารีบไล่ตามแล้วเอ่ยว่า “เฮ้ นายพูดแบบนี้ไม่ถูกนะ กรรมการการเมืองจะกล้าทำให้นายขุ่นเคืองได้เหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยจึงตอบว่า “ขุ่นเคืองหนักเลยล่ะ”
จ้าวเป่ากั๋วฉีกยิ้มแล้วรีบพูดว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันแค่ล้อนายเล่นเท่านั้นแหละ ฉันไม่เลี้ยงขอบคุณนายด้วยเจียนปิ่งหรอก แล้วก็ไม่เลี้ยงอาหารแย่ ๆ เด็ดขาด”
“นายไม่ต้องกลับบ้านหรอก ที่นั่นไม่มีใครอยู่จริง ๆ”
หลินเจี้ยนเยี่ยแค่หันกลับมามองเขา “ใครบอกว่าผมจะกลับบ้าน”
เมื่อพูดจบแล้วก็เดินไปที่บ้านของจ้าวเป่ากั๋ว
สวี่ม่ายซุ่ยบอกไว้แล้วว่าวันนี้จะมาทำเจียนปิ่งที่นี่ เดิมทีเธอบอกให้เขากินข้าวในโรงอาหารได้เลย แต่หลินเจี้ยนเยี่ยคิดว่านั่นทำให้เปลืองเงินจึงอยากกลับบ้านเพื่อทำอาหารกินเอง แต่หลังจากได้ยินจ้าวเป่ากั๋วพูด เขาจึงมีที่ให้ฝากท้องแล้ว
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นเขามาหาก็รู้สึกประหลาดใจ “คุณมาได้ไงเนี่ย?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบด้วยความไม่เกรงใจ “เหล่าจ้าวชวนผมมากินข้าวที่นี่ ผมก็เลยไม่ปฏิเสธ”
หลี่ต้านีได้ยินแล้วตกใจมาก จากนั้นหล่อนก็หันขวับไปจ้องหน้าจ้าวเป่ากั๋วที่เดินตามมาทีหลังและเริ่มดุด่าทันที “ทำไมคุณชอบพูดเหลวไหลข้างนอกทุกวันล่ะ ฉันยุ่งตลอดทั้งเช้าและไม่มีเวลาทำอาหาร คุณจะเอาอะไรมาเลี้ยงแขก?”
จ้าวเป่ากั๋วเหลือบมองเจียนปิ่งที่ทำเสร็จแล้วพลางเอ่ย “ก็มีเจียนปิ่งไม่ใช่เหรอ กินอันนั้นแหละ”
หลี่ต้านีด่าต่อ “สมองคุณไม่ทำงานแล้วเหรอ ไม่มีใครเลี้ยงอาหารแขกด้วยเจียนปิ่งหรอกนะ เจี้ยนเยี่ย ไม่ต้องสนใจคำพูดเขานะ วันนี้ก็กินของรองท้องที่บ้านนี่แหละ รอให้พี่สะใภ้ทำงานเสร็จแล้วจะเลี้ยงอาหารดี ๆ ให้พวกเธอแน่นอน”
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นท่าทางจริงจังของหลี่ต้านีแล้วจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้อย่าไปจริงจังกับเขาเลย พวกเขาแค่ล้อเล่นกันเท่านั้นเอง”
จ้าวเป่ากั๋วรีบพูดเสริม “คุณดูม่ายซุ่ยแล้วดูตัวเองสิ คุณน่ะแยกเรื่องตลกกับเรื่องจริงจังไม่ออกด้วยซ้ำ”
หลี่ต้านีกลอกตาใส่เขาอย่างหมดความอดทน “ใครใช้ให้คุณไปเที่ยวพูดเหลวไหลข้างนอกล่ะ”
จ้าวเป่ากั๋วรู้ว่าตัวเองทำผิดและไม่กล้าเถียงอีก เขาแค่เดินเข้าบ้านและหยิบต้นหอมออกมาสองต้นใหญ่ จากนั้นก็ยื่นให้หลินเจี้ยนเยี่ยหนึ่งต้น และทั้งสองก็เริ่มม้วนเจียนปิ่งกิน
เนื่องจากหลินเจี้ยนเยี่ยรู้ว่าวัตถุดิบนี้ก็มาจากที่บ้านเช่นกัน เขาจึงกินหมด 5 ชิ้นในคราวเดียว สวี่ม่ายซุ่ยก็รู้สึกประหลาดใจเพราะดูเหมือนเธอจะไม่เคยเห็นหลินเจี้ยนเยี่ยเจริญอาหารมากขนาดนี้มาก่อน
หลังจากที่หลินเจี้ยนเยี่ยกินเสร็จแล้ว เขาก็ขอให้จ้าวเป่ากั๋วช่วยจุดไฟ จังหวะนั้นเขาก็ดึงสวี่ม่ายซุ่ยออกมาแล้วพูดว่า “บ่ายนี้ผมต้องไปทำงานในเมืองหลวง เลยต้องพกเงินติดตัวไปด้วยน่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยขมวดคิ้วพลางเอ่ย “นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว ทำไมออกเดินทางตอนนี้ล่ะ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยจึงตอบว่า “ถ้ารอให้ใกล้ปีใหม่มากกว่านี้ คนเดินทางจะเยอะขึ้น”
สวี่ม่ายซุ่ย “ถ้างั้นคุณก็รีบไปเถอะ คุณก็รู้ว่าเงินเก็บไว้ที่ไหน ไปหยิบเองได้เลย”
นับตั้งแต่สวี่ม่ายซุ่ยนิสัยเปลี่ยนไป อำนาจทางการเงินทั้งหมดของครอบครัวก็มีศูนย์กลางอยู่ที่เธอ แต่หลินเจี้ยนเยี่ยก็รู้ว่าเงินนั้นซ่อนอยู่ที่ไหนเช่นกัน แต่ทุกครั้งที่เขาจะใช้เงิน เขาก็บอกสวี่ม่ายซุ่ยก่อนเสมอ
หลังจากที่หลินเจี้ยนเยี่ยเดินออกไปแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็กลับมาทำเจียนปิ่งต่อ การเดินทางเพื่อทำงานนอกสถานที่ของหลินเจี้ยนเยี่ยไม่เหมือนหลินเจี้ยนจวิน เพราะหลินเจี้ยนเยี่ยได้ค่าตอบแทนดีมากอยู่แล้ว สวี่ม่ายซุ่ยจึงไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้เลย
เมื่อเธอกลับมาแล้ว หลี่ต้านีได้ยินเข้า หล่อนก็ปลอบใจสวี่ม่ายซุ่ยถึงความห่างไกลครั้งนี้ แต่ความจริงแล้วสวี่ม่ายซุ่ยกลับไม่ได้คิดมากเลย
หลังทำเจียนปิ่งเสร็จ หลินเซียวกับจื้อเฉียงก็เดินถือมันเทศลูกใหญ่สองลูกเข้ามาแล้วพูดว่า “แม่ครับ ช่วยเผามันเทศให้พวกเราหน่อยสิครับ”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วก็หยิบมันเทศมา ขุดหลุมขี้เถ้าที่ยังร้อนระอุแล้วฝังมันเทศลงไป นี่เป็นวิธีปกติของบ้านมีเตาไฟ หลังทำอาหารเสร็จแล้วย่อมมีขี้เถ้า และการเผามันเทศด้วยขี้เถ้าที่ยังร้อนก็สะดวกสบายที่สุด
เมื่อเก็บเจียนปิ่งเรียบร้อยแล้ว เธอก็หยิบมันเทศสามลูกออกมาแล้วกลับบ้าน และเมื่อสวี่ม่ายซุ่ยกลับถึงบ้านก็ห่อเจียนปิ่งสองสามชิ้นแล้วมอบให้หลินเซียวพลางกำชับว่า “เอาไปส่งให้อาจารย์ข่งด้วย”
เนื่องจากพวกข่งอวิ๋นป๋อล้วนเป็นยุวปัญญาชนซึ่งต้องเดินทางมาใช้ชีวิตในชนบท ถึงแม้จะเป็นช่วงปีใหม่ ถ้าพวกเขาไม่มีจดหมายแนะนำตัวก็จะเดินทางกลับบ้านเกิดไม่ได้ เพราะสถานที่ทำงานของพวกเขามีขอบเขตจำกัดแล้วก็ยากที่จะออกจดหมายแนะนำตัวให้แก่พวกเขา ดังนั้นช่วงปีใหม่พวกเขาจึงต้องอยู่บนเกาะ
อีกทั้งยุวปัญญาชนกลุ่มนี้ล้วนเป็นวัยรุ่น จึงไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการทำอาหารมากนัก เกือบทุกครั้งที่ทำก็ไม่ได้เรื่องเลย
หลังจากใช้เวลาช่วงปิดเทอมภาคฤดูหนาวกับพวกข่งอวิ๋นป๋อแล้ว หลินเซียวก็ถือว่าอีกฝ่ายเป็นพวกเดียวกัน เมื่อได้ยินดังนั้น เขาก็รีบวิ่งไปพร้อมกับเจียนปิ่งในมือ
เมื่อเขามาถึง พวกข่งอวิ๋นป๋อเพิ่งกินข้าวเสร็จและเขากำลังเดินออกมาพร้อมกระเป๋าเป้ เมื่อเห็นหลินเซียวแล้วเขาก็อดตกใจไม่ได้
“นายมาที่นี่ทำไม? มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”
หลินเซียวส่ายหัวแรง ๆ พลางมองไปรอบข้าง เมื่อไม่เห็นใครอื่น จึงยื่นห่อเจียนปิ่งให้อีกฝ่าย “อาจารย์ แม่ผมทำเจียนปิ่งแล้วให้เอามามอบแด่อาจารย์ครับ”
ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่เขาได้เรียนที่นี่ ทำให้เขาได้รู้ว่าพวกยุวปัญญาชนมีความสามัคคีแค่เปลือกนอกเท่านั้น ซึ่งทุกคนล้วนมีแผนการในใจทั้งสิ้น
ข่งอวิ๋นป๋อมองเจียนปิ่งห่อไม่หนามากที่หลินเซียวยื่นให้ และต้องการปฏิเสธเป็นธรรมดา เพราะในยุคนี้อาหารการกินมีค่ามาก และคนที่มีอุปนิสัยดีจะไม่เอาเปรียบผู้อื่นโดยตั้งใจ
เสิ่นชิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงรีบสะกิดเขา “มัวยืนงงอะไรอยู่ล่ะ รีบรับไว้ก่อนที่คนอื่นจะออกมาเห็นสิ”
เช่นนั้นข่งอวิ๋นป๋อจึงรับเจียนปิ่งไว้พลางเอ่ยว่า “ขอบคุณนะ”
“หลินเซียว หากช่วงนี้นายมีคำถามอะไรก็มาหาฉันได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจฉัน”
“ไม่ต้องห่วงครับ คุณเป็นอาจารย์ของผม ผมจะไม่เกรงใจแน่นอน” เมื่อพูดจบแล้วเขาก็โบกมือพลางวิ่งหนีไป
เสิ่นชิงมองตามแผ่นหลังของหลินเซียวที่วิ่งหนีไป แล้วก็พูดด้วยความอิจฉา “เจ้าเด็กคนนี้โชคดีมากจริง ๆ นะ ในสถานที่ยากลำบากเช่นนี้ยังมีคนพร้อมจะปกป้องนายด้วย”
ข่งอวิ๋นป๋อจึงตอบกลับว่า “ใช่แล้ว นับเป็นวาสนาจริง ๆ ไปเถอะ ไปหาที่นั่งกินด้วยกันดีไหม?”
เสิ่นชิงยกมือลูบท้องแล้วพูดว่า “แค่คิดก็รู้สึกดีแล้ว เพราะกินข้าวไม่เคยอิ่มเลย”
เมื่อหลินเซียวไปส่งเจียนปิ่งให้ข่งอวิ๋นป๋อ สวี่ม่ายซุ่ยก็นำเจียนปิ่งไปให้ครอบครัวหมาจื่อด้วย เมื่อได้ตอบแทนบุญคุณแล้วเธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
ในวันขึ้น 28 เดือนธันวาคม ทันทีที่สวี่ม่ายซุ่ยตื่นนอนขึ้นมา ก็ต้องตกตะลึงกับทิวทัศน์ตรงเบื้องหน้า
หิมะที่ตกลงมาเมื่อกลางดึก ทำให้เวลานี้ทั่วทั้งเกาะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะโดยสมบูรณ์
สวี่ม่ายซุ่ยชื่นชมมันเพียงลำพังสักพักหนึ่ง แล้วก็หันหลังวิ่งไปที่ห้องของหลินเซียว เธอตบไปที่ผ้าห่มของลูกชายทั้งสองคนตามลำดับ “เซียวเซียว ฟานฟาน รีบตื่นเร็ว ๆ ข้างนอกมีหิมะตกหนักเลยนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเซียวก็ผุดลุกขึ้นจากเตียงทันที “หิมะตกเหรอ ผมอยากไปดูหิมะ”
หลินฟานสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาและมองทั้งสองคนด้วยความมึนงง
เด็กทั้งสองนอนหลับโดยสวมเสื้อผ้าในฤดูใบไม้ร่วงกับกางเกงขายาว ทันทีที่ลุกจากเตียง พวกเขาก็โดนความรู้สึกหนาวเหน็บแล่นเข้าโจมตีทันที
เมื่อเห็นหลินเซียวสวมแค่เสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงและกำลังจะวิ่งออกไป สวี่ม่ายซุ่ยจึงรีบเตือน “ลูกมาใส่เสื้อนวมก่อน”
หลินเซียวไม่ฟังคำเธอ เมื่อรีบลงจากเตียงแล้วก็คว้าเอาไม้กวาดที่สวี่ม่ายซุ่ยทำไว้แล้ววิ่งออกไปข้างนอก
เขายืนกอดอกและตัวสั่นอยู่ที่ประตูอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็รีบวิ่งกลับเข้ามา
เขาปีนขึ้นไปบนเตียงด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาดแล้วนอนอยู่ใต้ผ้าห่มด้วยตัวสั่นระริก พลางถามว่า “แม่ครับ เช้านี้เราจะกินอะไรกันดี?”
สวี่ม่ายซุ่ยต้องพูดตามตรงว่าอากาศแบบนี้เหมาะแก่การกินหม้อไฟจริง ๆ แต่การกินหม้อไฟในตอนเช้าดูไม่ค่อยเหมาะนัก เธอจึงลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “กินซุปไข่กับแป้งทอดแล้วกัน”
หลินเซียวตอบรับ “ดีครับ อย่าลืมใส่น้ำมันงาลงในซุปไข่ด้วยนะครับ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เจียนปิ่งรวมใจชัด ๆ ความคิดอะไรที่ไม่ลงรอยกันก็ไปในทางเดียวกันได้หลังร่วมกันทำเจียนปิ่ง
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION