ตอนที่ 198 ซื้อนาฬิกาข้อมือ
“มัวแต่ แต่ แต่อยู่นั่นแหละ เธอรีบไปสิ” เพื่อนร่วมงานเอ่ยพร้อมกับผลักหล่อนออกไป
จากนั้นพนักงานขายก็ตระหนักได้และรีบไล่ตามสวี่ม่ายซุ่ยไปทันที “สหาย สหาย คุณโปรดรอสักครู่ก่อนเถอะ”
สวี่ม่ายซุ่ยกับหลี่ต้านีได้ยินเสียงเรียกก็หยุดเดินโดยอัตโนมัติ ทันทีที่พนักงานขายตามมาทัน หล่อนก็เหลียวซ้ายแลขวาพลางกระซิบพูด “ฉันมีนาฬิกาไร้คูปองด้วยนะ พวกคุณอยากดูไหม?”
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยเห็นหล่อนเป็นแบบนี้ ก็เข้าใจได้ทันทีว่าหล่อนเป็นมือใหม่ “ดูสิ”
พนักงานขายโล่งใจที่ไม่โดนปฏิเสธ หล่อนจึงเดินไปที่เคาน์เตอร์และแอบหยิบนาฬิกาสองเรือนออกจากใต้เคาน์เตอร์ ซึ่งมันไม่ได้ด้อยกว่านาฬิกาแบรนด์ดังบนเคาน์เตอร์เลยสักนิด แค่แบรนด์นี้ยังไม่ได้รับความนิยมในปัจจุบันเท่านั้น
“คุณขายราคาเท่าไหร่?” สวี่ม่ายซุ่ยหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูแล้วถามแบบเป็นกันเอง
เมื่อเห็นเธอสนใจ พนักงานขายจึงกระซิบตอบทันที “เก้าสิบหยวน”
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยได้ยินราคานี้แล้ว เธอก็รู้ได้ทันทีว่าพนักงานขายไม่รู้จักแบรนด์ และคิดว่ามันเป็นของไม่มียี่ห้อจึงเรียกราคาตามใจ
สวี่ม่ายซุ่ยหันไปมองหลี่ต้านีและถามว่า “พี่สะใภ้คิดว่าไง?”
นาฬิกาเรือนนี้ดูธรรมดา แต่ก็เหมาะสมกับคนแบบจ้าวเป่ากั๋วมาก “นี่มันแพงเกินไป”
เมื่อพนักงานขายได้ยินสิ่งที่หล่อนพูด ใบหน้าก็ดูน่าเกลียดทันที ฝ่ายสวี่ม่ายซุ่ยก้มหน้าลงแล้วหันไปถามหลี่ต้านีด้วยเสียงเบา “พี่ตั้งงบไว้เท่าไหร่?”
หลี่ต้านีได้ยินแล้วจึงกัดฟันตอบว่า “แปดสิบหยวน”
ใบหน้าของพนักงานขายเปลี่ยนไปทันทีที่หลี่ต้านีพูดราคาออกมา และยากที่จะหลงเหลือหน้าตาน่าเกลียดของหล่อนไว้ ตอนแรกหล่อนได้นาฬิกาเรือนนี้ในราคา 65 หยวน แม้ว่าจะขายในราคา 80 หยวน และได้กำไร 15 หยวน นี่เท่ากับได้เงินเดือนเพิ่มไปอีก 10 วัน แล้วหล่อนควรจะพอใจไม่ใช่หรือ
“คุณต่อราคาโหดเกินไปไหม พวกเราไม่ต่อราคากันที่นี่ไม่ใช่เหรอ?”
หลี่ต้านีเห็นสีหน้าของพนักงานขายแล้วก็กังวลขึ้นมา แต่หล่อนก็คุ้นชินกับการให้สวี่ม่ายซุ่ยออกหน้าไปโดยปริยายแล้ว
รอยยิ้มที่สดใสปรากฏบนใบหน้าของสวี่ม่ายซุ่ย และเธอก็โน้มตัวไปกระซิบว่า “สหายตัวน้อย ดูเหมือนว่านาฬิกาไร้คูปองจะไม่ใช่ของร้านพวกคุณที่นี่สินะ?”
เมื่อพนักงานขายได้ยิน หล่อนก็ตื่นตระหนกและหน้าซีดเผือด “คุณ…คุณหมายความว่าไง?”
สวี่ม่ายซุ่ยยืดตัวขึ้นและตอบด้วยท่าทางใจเย็น “ก็ไม่ได้หมายความว่าไงหรอก แต่ถ้าคุณขายนาฬิกาเรือนนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
พูดจบก็ตั้งท่าจะเดินจากไป
พนักงานขายเห็นแบบนั้นก็รีบพูดว่า “ขายได้ ขายได้สิ”
หล่อนรีบบรรจุสินค้าให้หลี่ต้านี เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยจ่ายเงินและส่งมอบนาฬิกากันแล้ว ทันใดนั้นพนักงานขายก็ถามเธอว่า “สหาย คุณ…”
ทว่าก่อนที่หล่อนจะพูดจบ สวี่ม่ายซุ่ยก็พูดแทรกก่อนว่า “ทำไมเหรอ?”
สุดท้ายพนักงานขายก็ยิ้มออกมาและพูดว่า “ไม่มีอะไรแล้ว โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบรับ “ได้สิ ถ้าคราวหน้าฉันอยากได้อะไรก็จะแวะมานะ” เมื่อพูดจบแล้วเธอก็พาหลี่ต้านีเดินจากไป
ดวงตาของหลี่ต้านีไม่เคยละไปจากกระเป๋าตลอดทาง “เจ้าสิ่งนี้แพงเกินไปจริงๆ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “มันค่อนข้างถูกเลยต่างหาก เพราะในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ถ้าพี่อยากจะซื้อนาฬิกาเรือนนี้ ต่อให้เพิ่มเงินเป็นสองเท่าก็ซื้อไม่ได้นะ”
ดวงตาของหลี่ต้านีเป็นประกาย “จริงเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดด้วยความมั่นใจ “ถ้าพี่มอบให้พี่ใหญ่จ้าวแล้วก็ให้เขารักษามันดีๆ หากในอนาคตพี่จะเปลี่ยนนาฬิกาใหม่ก็อย่าทิ้งมัน ให้เก็บไว้เพราะมันอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้นและขายต่อได้ราคาดีกว่านี้”
หลี่ต้านีพูดว่า “ถ้างั้นฉันต้องรักษามันไว้ให้ดีแล้วล่ะ”
จากนั้นการแสดงออกที่เจ็บปวดของหล่อนก็เปลี่ยนเป็นความสุข
สวี่ม่ายซุ่ยถามต่อ “พี่จะไปซื้ออาหารหรืออะไรอีกไหม?”
หลี่ต้านีตอบว่า “ฉันอยากซื้อยางรัดผมให้เหม่ยฟางด้วยน่ะ”
“ได้สิ” หลังจากที่ทั้งสองคนซื้อยางรัดผมเสร็จแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็ซื้อครีมบำรุงผิวเพิ่มอีกสองขวด ซื้อของเล่นสองชิ้นแล้วทั้งสองก็เดินทางกลับบ้าน
“พี่สะใภ้ ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว พวกเรากินข้าวให้เสร็จแล้วค่อยกลับกันเถอะ” สวี่ม่ายซุ่ยถามขณะมองไปที่ร้านอาหารตรงเบื้องหน้า
หลี่ต้านีมองข้าวของในมือของพวกตน แล้วรีบคว้าเธอไว้ทันที “ไม่กินดีกว่า รีบกลับบ้านกันเถอะ ค่อยกลับไปกินข้าวที่บ้าน”
สวี่ม่ายซุ่ยไม่สามารถเอาชนะหล่อนได้ จึงทำได้เพียงซื้อตั๋วและเดินทางกลับไปที่เกาะ
เพราะกลัวว่ากลับไปแล้วจะดึงดูดความสนใจเกินไป หลี่ต้านีจึงเก็บของทุกอย่างลงในกระสอบอีกใบแล้วถือกลับคนเดียว ในขณะที่สวี่ม่ายซุ่ยช่วยหล่อนถือกระเป๋าซึ่งมีนาฬิกาของจ้าวเป่ากั๋วเอาไว้
เมื่อใดก็ตามที่มีใครถามว่าขนอะไรกลับบ้าน หลี่ต้านีก็จะตอบว่ากำลังถือกระสอบมันเทศอยู่ และเมื่อคนอื่นเห็นว่าหล่อนถือกระสอบมันเทศก็ไม่มีใครสงสัย
หลังจากที่ทั้งสองกลับถึงบ้านและแบ่งสิ่งของกันแล้ว หลี่ต้านีก็จากไป “พี่สะใภ้ช่วยบอกเหม่ยฟางมาทีหลังด้วยนะ”
เมื่อหลี่ต้านีได้ยินแล้วก็ไม่สงสัยว่าทำไมต้องตามลูกสาวมา หล่อนคิดว่าสวี่ม่ายซุ่ยคงต้องการจะใช้งานหน่อย หล่อนจึงตอบรับว่า “ได้”
สวี่ม่ายซุ่ยขนของตัวเองเข้าบ้านและเพิ่งจะเก็บเข้าที่เรียบร้อย จ้าวเหม่ยฟางก็มาตะโกนเรียก “อาสะใภ้”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินเสียงเรียกจึงออกจากบ้านเพื่อเปิดประตูให้อีกฝ่าย “แม่เธอกลับไปถึงแล้วเหรอ?”
จ้าวเหม่ยฟางตอบว่า “ถึงบ้านแล้วค่ะ ตอนที่ฉันออกมาก็ยังจัดข้าวของอยู่ แต่แม่บอกให้ฉันมาช่วยอาสะใภ้”
“อาสะใภ้จะให้ฉันทำอะไรเหรอคะ”
สวี่ม่ายซุ่ยยิ้มและตอบว่า “ไม่ได้จะให้เธอทำงานหรอก แต่ฉันมีของจะให้ เธอรอเดี๋ยวนะ” เมื่อพูดเช่นนั้นแล้วเธอก็กลับเข้าบ้าน ไม่นานก็เดินออกมาพร้อมถุงมือกับเงินยี่สิบหยวน
“นี่คือเงินค่าแรงของเธอ ส่วนนี่คือของขวัญจากอาสะใภ้นะ”
จ้าวเหม่ยฟางมองสิ่งที่สวี่ม่ายซุ่ยมอบให้ แล้วเกิดความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หล่อนก็หยิบแค่ถุงมือแล้วพูดว่า “อาสะใภ้ ฉันรับของขวัญไว้แล้ว แต่ขอไม่รับเงินนะคะ เพราะแม่บอกว่าคุณให้เงินหล่อนไปหมดแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ยยัดเงินใส่กระเป๋าของหล่อนโดยตรง “เงินนั้นมีไว้สำหรับแม่ของเธอไม่ใช่เธอ ส่วนเธอก็ทำงานหนักมาก นี่จึงเป็นเงินค่าแรงของเธอนะ”
จ้าวเหม่ยฟางเป็นเด็กโตแล้วจึงรู้ความทุกสิ่ง เมื่อได้ยินแบบนี้หล่อนก็อยากจะหยิบเงินออกมาคืน แต่สวี่ม่ายซุ่ยเห็นแล้วรีบขยิบตาให้หล่อนพลางเอ่ย “เธออย่ามัวเถียงกับฉันเลย ถ้ามีใครมาเห็นเข้า ก็จะดูไม่ดีนะ”
จ้าวเหม่ยฟางไม่อยากโดนนินทาว่าเถียงสวี่ม่ายซุ่ย หล่อนจึงพูดด้วยเสียงจริงจังว่า “ขอบคุณอาสะใภ้”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ด้วยความยินดี”
ทันใดนั้นประตูก็ถูกผลักให้เปิดออกจากด้านนอก ปรากฎว่าเป็นหลินเจี้ยนเยี่ยที่เลิกงานกลับมาแล้ว
เมื่อจ้าวเหม่ยฟางเห็นหลินเจี้ยนเยี่ยกลับมา หล่อนก็หดคอลงทันทีและพูดกับสวี่ม่ายซุ่ยว่า “อาสะใภ้ ฉันกลับก่อนนะคะ”
พูดจบแล้วหล่อนก็วิ่งออกไปข้างนอกทันที
หลินเจี้ยนเยี่ยมองตามแผ่นหลังของจ้าวเหม่ยฟางพลางพึมพำด้วยความสงสัย “หล่อนเป็นอะไรน่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยกลอกตาใส่เขาด้วยความหมั่นไส้ “จะมีอะไรอีกล่ะ ก็กลัวคุณน่ะสิ”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “จนป่านนี้ยังกลัวผมอีกเหรอ เป็นคนขี้กลัวเกินไปหน่อยไหม”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดต่อ “คุณคิดว่าทุกคนมีความกล้าพอๆ กับลูกชายของคุณเหรอ”
เมื่อจ้าวเป่ากั๋วกลับถึงบ้านและมองไปที่ประตูซึ่งเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง เขาก็เดินเข้าไปทันที และเมื่อเขาเห็นหลี่ต้านีกำลังจัดเก็บข้าวของ เขาก็เปิดปากตำหนิหล่อน “คุณหายไปไหนมาทั้งวัน? ไม่คิดจะกลับบ้านมาทำอาหารเลยเหรอ”
หลี่ต้านีหันกลับมามองเขาและตอบว่า “ฉันก็บอกแล้วไงว่าจะเข้าเมือง”
“ต้องไปทั้งวันเลยหรือไง?” เมื่อมองขนมที่วางบนโต๊ะ เขาก็ถามแบบสบายๆ ว่า “ขายหมดทุกอย่างแล้วเหรอ?”
เนื่องจากการโหมทำงานหนักในช่วงที่ผ่านมา หล่อนจึงไม่ได้ปิดบังจ้าวเป่ากั๋ว แม้ว่าตอนแรกจ้าวเป่ากั๋วจะมีข้อโต้แย้งในบางประการ แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะหลี่ต้านีได้ สุดท้ายก็ทำได้เพียงเห็นด้วยเท่านั้น
หลี่ต้านีตอบด้วยความภาคภูมิ “แน่นอนอยู่แล้วสิ” จากนั้นหล่อนก็ยื่นกล่องนาฬิกาให้เขาพลางเอ่ย “เอ้า นี่สำหรับคุณ”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เผลอ ๆ อนาคตนาฬิการุ่นที่ต้านีซื้อมันอาจแพงหูฉี่จนซื้อไม่ไหวเลยก็ได้นะ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION