ตอนที่ 188 หลี่ต้านีหยุดงานประท้วง
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะทั้งสองไม่ได้คบกันจริง ๆ”
“แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ไต้ฉิงนะ ปัญหาอยู่ที่เจี้ยนจวิน เพราะสาวน้อยไต้ฉิงสารภาพกับเจี้ยนจวินหลายครั้งหลายหนแล้ว แต่เขาไม่เห็นด้วยสักที”
“เหตุผลไม่ใช่เพราะการคัดเลือกนักแสดงของคณะสันทนาการอย่างที่เราคิดกันหรอก ในคณะสันทนาการมีตัวเลือกมากมาย และพวกเขาไม่สนใจว่าใครจะมีความรัก”
ใบหน้าของหลินเจี้ยนเยี่ยมืดลงทันที “เจ้าเด็กคนนี้คิดอะไรอยู่นะ”
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยเห็นอาการของเขาแล้ว เธอก็รีบแนะนำว่า “ฉันคิดว่าเจี้ยนจวินอาจนึกว่าตัวเองต้อยต่ำไปหน่อย เขาจึงไม่กล้าสานสัมพันธ์กับไต้ฉิง”
“ลองคุยกับเขาหน่อยดีไหม?”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ไอ้เด็กเวรนี่ ให้ผมคุยกับเขาหน่อยเถอะ ผมจะบอกให้เขาเร่งทำงานอาหารให้เสร็จ จากนั้นจะยื่นรายงานให้ไปทำที่สหกรณ์”
เมื่อเห็นท่าทางโมโหของหลินเจี้ยนเยี่ยแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยจึงรีบเกลี้ยกล่อม “คุณอย่าโมโหใส่เขา คุยกับเขาดี ๆ นะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยเดินออกไปและตอบรับโดยไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำ “ไม่ต้องห่วง ผมไม่รุนแรงกับเขาหรอก”
สวี่ม่ายซุ่ย “…”
เมื่อหลินเจี้ยนจวินกลับมาจากการเป็นพ่อครัว เขาเห็นพี่ชายกำลังทำอาหารอยู่ในครัวที่บ้าน แต่ยังไม่ทันได้แปลกใจ เขาก็ถูกลากเข้าไปในห้องครัวแล้ว
หลินเจี้ยนจวินมองไปที่ใบหน้าเข้มขรึมของพี่ชายและถามด้วยความกลัว “พี่ นี่ผมไปทำความผิดอะไรอีกแล้วเหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยกลอกตาใส่เขาด้วยความโมโห “นายยังกล้าถามอีกเหรอ เรื่องระหว่างนายกับผู้หญิงที่ชื่อไต้ฉิงนั่นน่ะ นายกำลังหลอกคบแล้วไม่คิดจะแต่งงานด้วยใช่ไหม?”
หลินเจี้ยนจวินเหลือบมองหมัดที่กำแน่นของพี่ชาย และไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากเขากล้าพูดช้าแม้แต่วินาทีเดียว หมัดนี้จะกระทบใส่ใบหน้าของเขาทันที
“ไม่ใช่นะ!”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “นายคุยกับคนอื่นโดยไม่มีเป้าหมายเหรอ? อย่ามาพูดข้อแก้ตัวไร้สาระ อย่างเช่นความรักจะขัดขวางการคัดเลือกนักแสดงอะไรนั่นเลย นายคิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ”
“รีบบอกความจริงมาว่าทำไมไม่ยอมคบหากับอีกฝ่าย”
หลินเจี้ยนจวินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดด้วยความไม่มั่นใจ “ผมกลัวว่าตัวเองจะไม่คู่ควรกับอีกฝ่ายน่ะสิ”
“ไต้ฉิงมีฐานะครอบครัวดีมาก และตัวหล่อนเองก็เป็นคนดีมากเช่นกัน แตกต่างจากผมที่มีครอบครัวแบบนั้นและยังไม่มีงานมั่นคงให้ทำ ผมกลัวจะทำให้หล่อนรู้สึกคิดผิดที่เลือกอยู่กับผมน่ะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ถ้าแกกลัวว่าผู้หญิงคนนั้นจะดูถูก ก็ไม่ควรไปให้ความหวังหล่อนตั้งแต่แรกสิ”
“ตอนนี้นายเข้าไปให้ความหวังผู้หญิงแล้ว สุดท้ายกลับบอกว่าไม่คบ ถ้าไม่ใช่อันธพาลรังแกผู้หญิงเล่นไปวัน ๆ แล้วจะให้เรียกว่าอะไร”
หลินเจี้ยนจวินได้ยินแล้วกังวลขึ้นมา “ผม…”
หลินเจี้ยนเยี่ย “นายมัวคิดอะไรอยู่ ตอนนี้นายได้ให้ความหวังผู้หญิงคนนั้นแล้ว อีกทั้งหล่อนก็มีใจให้นายด้วย ถ้านายจะปฏิเสธ ก็ไปบอกเหตุผลจริง ๆ กับหล่อนเสียสิ”
“ปกติแล้วฉันมักจะสอนนายว่าไง เมื่อมองไปข้างหน้าแล้ว อย่าหันหลังกลับเด็ดขาดใช่ไหม”
หลินเจี้ยนจวินตอบด้วยท่าทางหมดแรง “ผมไม่ได้คิดแบบนั้น”
“ถ้าไม่คิดแบบนั้น นายก็แค่ไปสารภาพรักกับสาวน้อยคนนั้นตามตรง ส่วนเหตุผลทางครอบครัวอะไรนั่นน่ะมันไร้สาระทั้งเพ เพราะตอนนี้พี่สะใภ้ของนายก็คือครอบครัวของนายแล้ว มิหนำซ้ำในแต่ละเดือนนายยังสามารถหาเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้าบ้านไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันเองก็จะหางานประจำให้นายทำเหมือนกัน นายคิดว่าไงล่ะ?”
“อย่าคิดว่าต้องเป็นเลขาธิการพรรคเท่านั้นถึงจะแต่งงานกับผู้หญิงสักคนได้ ฉันขอแนะนำให้นายเลิกฝัน ถ้านายขยันทำงานหนักก็ดีกว่าสิ่งใดแล้ว”
หลินเจี้ยนจวินถูกพี่ชายตำหนิอย่างแรง ซึ่งเขาไม่สามารถหักล้างได้เลย จึงทำได้เพียงก้มหน้ารับฟังคำสอน
“เงยหน้าขึ้นพูด!” หลินเจี้ยนเยี่ยโมโหขึ้นมาเมื่อเห็นทัศนคติผู้ชายเจ้าชู้ของหลินเจี้ยนจวิน
หลินเจี้ยนจวินเงยหน้าขึ้นและมองหลินเจี้ยนเยี่ย จากนั้นพูดเสียงหนักแน่น “ผมเข้าใจแล้ว ผมจะหาเวลาว่างไปอธิบายให้ไต้ฉิงเข้าใจ และจะไม่ทำตัวเหมือนผู้ชายเสเพลเด็ดขาด”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “แบบนั้นก็ดีแล้ว”
“นายทำอาหารมื้อนี้ต่อแล้วกัน” พูดจบแล้วเขาก็เดินออกไปทันที
หลินเจี้ยนจวินพูดไม่ออก “…”
เขาทำอาหารมาทั้งวันแล้ว พอกลับถึงบ้านก็ให้เขาทำอาหารอีก แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเมื่อเทียบกับฝีมือของพี่สะใภ้ที่เก่งมากแล้ว ฝีมือของพี่ชายธรรมดาเกินไป
ทางด้านหลี่ต้านีที่รีบกลับบ้านนั้น ตอนนี้สามีช่างพูดของหล่อนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยท่าทางเหมือนผู้เฒ่า เมื่อเห็นภรรยากลับมาแล้ว เขาก็อดจะบ่นทันทีไม่ได้ “คุณไปซื้อของที่ไหนจนสายขนาดนี้ ไม่รู้จักกลับมาทำอาหารที่บ้านด้วยซ้ำ”
“หลังจากหนึ่งวันทำงานที่แสนวุ่นวาย ผมแค่อยากจะกินข้าวร้อน ๆ เมื่อกลับมาบ้าน ส่วนคุณได้อยู่บ้านเฉย ๆ ทั้งวัน แต่ไม่คิดจะทำอาหารด้วยซ้ำ”
หลี่ต้านีไม่อยากสนใจเขา แต่เมื่อเห็นเขาพูดไม่รู้จักจบจักสิ้น หล่อนก็โมโหขึ้นมาบ้างแล้ว ทันทีที่กระแทกวางกระเป๋าไว้ข้าง ๆ หล่อนก็เริ่มตวาดใส่จ้าวเป่ากั๋วว่า “ใครบอกว่าฉันอยู่บ้านเฉย ๆ ทั้งวัน”
“ฉันต้องทำอาหารให้พวกคุณกิน ฉันต้องซักเสื้อผ้าที่คุณใส่ อาหารไก่ฉันก็ต้องให้ แล้วเป็ดนั่นล่ะ ไม่ใช่ฉันเลี้ยงเหรอ”
“ฉันไม่ได้คอยดูแลญาติที่ยากจนพวกนั้นของคุณเหรอ แต่เมื่อริมฝีปากบนของคุณกระทบกับริมฝีปากล่าง กลายเป็นว่าฉันไม่ได้ทำอะไรเลย”
จ้าวเป่ากั๋วขมวดคิ้วพลางเอ่ย “คุณกำลังพูดอะไร ผู้หญิงคนไหนที่ไม่ต้องทำแบบนี้ ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นแล้วผมจะแต่งงานกับคุณทำไม เอามานั่งมองงั้นเหรอ”
หลี่ต้านีเถียงกลับ “คุณก็หัดมองตัวเองบ้างสิ รู้ไหมว่าหลินเจี้ยนเยี่ยไม่เหมือนคุณเลย”
“เมื่อเขากลับถึงบ้าน ม่ายซุ่ยก็ไม่ได้ทำอาหารด้วยซ้ำ แต่ฉันไม่ได้ยินเขาบ่นเลย มีแต่คุณนี่แหละพูดพล่ามไม่หยุด”
เมื่อจ้าวเป่ากั๋วได้ยินแบบนี้ เขาก็หัวเราะออกมา “ผมก็นึกว่าคุณไปทำนิสัยเสียมาจากไหน ที่แท้ก็ไปเรียนรู้จากสวี่ม่ายซุ่ยนี่เอง”
“ต่อจากนี้ก็อย่าติดต่อกับหล่อนให้มากอีก ดูสิ่งที่คุณได้เรียนรู้มาสิ กลายเป็นสะใภ้ที่ไม่ทำอาหารไปเสียแล้ว”
หลี่ต้านีได้เรียนรู้เกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศจากสวี่ม่ายซุ่ยมามากมาย เมื่อเห็นว่าจ้าวเป่ากั๋วทำตัวแบบนี้ หล่อนก็ตวาดใส่เขาอย่างไม่ไว้หน้า “ฉันคิดว่าคุณควรติดต่อกับหลินเจี้ยนเยี่ยให้มากกว่านี้และเรียนรู้จากอีกฝ่ายด้วย”
“เอาละ วันนี้ฉันจะไม่ทำอาหาร ถ้าคุณหิวก็ทำกินเอง” พูดจบแล้วหล่อนก็หยิบกระเป๋าพลางเดินเข้าไปในห้อง
จ้าวเป่ากั๋วมองหลี่ต้านีที่ระเบิดอารมณ์ใส่เขาด้วยความตกตะลึง “แม่เจ้า…”
จ้าวจื้อเฉียงพูดว่า “แม่บอกว่าจะไม่ทำอาหาร พ่อครับ งั้นพ่อก็รีบทำเถอะ พวกผมหิวมากเลย”
จ้าวเป่ากั๋วแค่นเสียงใส่ด้วยความโมโห “แล้วแกคิดว่าฉันทำอาหารเป็นเหรอ?”
จ้าวจื้อเฉียง “…”
จ้าวจื้อลี่ “…”
จ้าวเหม่ยฟางที่ยืนข้าง ๆ และเฝ้ามองอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็พูดเสียงแผ่วว่า “หนูทำได้ค่ะ”
ตอนนี้ใบหน้าของจ้าวเป่ากั๋วเต็มไปด้วยความสุข “แกทำได้เหรอ?”
จ้าวเหม่ยฟางพยักหน้า
จ้าวเป่ากั๋วได้รับคำยืนยันแล้วก็กลายเป็นคนเย่อหยิ่งทันที เขาตะโกนหยาบคายไปทางห้องของหลี่ต้านี “ถ้าไม่ทำก็อย่าทำ เพราะลูกสาวของผมทำได้ และผมจะกินอาหารที่ลูกสาวของผมทำให้”
ทันทีที่เสียงของเขาจบลง หลี่ต้านีก็เดินออกจากห้องด้วยท่าทางปั้นปึ่ง หล่อนยื่นมือไปดึงจ้าวเหม่ยฟางและพูดเสียงดังลั่น “ฉันทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้ลูกสาวทำงาน คุณอยากจะกินอะไรก็ไปหากินเองเสียให้พอเถอะ”
จ้าวเป่ากั๋วมองไปที่ประตูซึ่งถูกปิดดังปังด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ ส่วนจ้าวจื้อเฉียงกับจ้าวจื้อลี่ได้แต่มองหน้ากัน และรู้สึกได้ว่าความสุขของพ่อมาเร็วไปเร็วมาก ๆ
“พ่อครับ จะทำไงดี?”
จ้าวเป่ากั๋วยกมือเขี่ยปลายจมูกและทันใดนั้นก็ผุดความคิดขึ้นมา “ไปเถอะ พ่อจะพาพวกแกไปกินของอร่อย”
จ้าวจื้อเฉียงและจ้าวจื้อลี่คิดว่าพ่อจะพาพวกตนไปที่โรงอาหาร แต่ใครจะรู้ว่าพ่อพามาที่บ้านของหลินเซียวจริง ๆ
“พ่อครับ พวกเรามาที่บ้านหลินเซียวทำไมเหรอ?”
จ้าวเป่ากั๋วพูดด้วยความภูมิใจ “มากินข้าวไง”
“บ้านนี้ทำให้แม่ของแกไม่ยอมทำอาหาร งั้นพวกเราก็มากินข้าวที่บ้านนี้แทนไง”
ทั้งจ้าวจื้อเฉียงและจ้าวจื้อลี่ได้ยินแล้วต่างรู้สึกว่าคำพูดของพ่อนั้นสมเหตุสมผล
เมื่อทั้งสามคนพ่อลูกเดินเข้ามาก็เห็นว่าหลินเจี้ยนเยี่ยกำลังผ่าฟืนอยู่ที่ลานบ้าน
เมื่อเห็นทั้งสามคนแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติแล้วถามว่า “ยกโขยงกันมาที่นี่ทำไม?”
จ้าวเป่ากั๋วตอบว่า “มากินข้าวน่ะสิ”
หลินเจี้ยนเยี่ย “มากินที่บ้านผมทำไม?”
จ้าวเป่ากั๋วอธิบายว่า “ภรรยานายทำให้ภรรยาฉันไม่ยอมทำอาหาร ถ้าไม่มากินข้าวบ้านนายแล้วจะไปที่ไหนล่ะ”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หายนะมาเยือนแล้วล่ะสิ ภรรยาโกรธจนไม่ทำอาหารให้กินเลย
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION