ตอนที่ 185 ได้รับสารผิดๆ
ในยุคนี้ยังไม่มีเครื่องซักผ้า และด้วยนิสัยซุกซนของเด็กชายทั้งสอง การซักผ้าจึงเป็นบททดสอบยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเธอ
แต่สำหรับหลินเจี้ยนเยี่ยแล้วเป็นเรื่องง่ายดายมาก เขาจึงตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด “ได้สิ”
สวี่ม่ายซุ่ยถือโอกาสสัมผัสกล้ามหน้าท้องของหลินเจี้ยนเยี่ยและตอบด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ตอนนี้หยุดยั่วยวนฉันแล้วรีบใส่เสื้อผ้าซะเถอะค่ะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยหยิบเสื้อบนเตียงขึ้นมาสวมพลางเอ่ย “เหลวไหล ใครยั่วคุณกันล่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ย “ใครคิดจะยั่วก็คนนั้นแหละ”
เช้าวันต่อมา เมื่อรอให้พวกคนทำงานที่บ้านออกไปหมดแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็พาหลินฟานออกไปบ้าง
เดิมทีเธออยากพาหลินฟานไปฝากที่บ้านหลี่ต้านี แต่เขาไม่ยอม จึงต้องพาเขาติดตามไปด้วย
เนื่องจากเดินทางมาถึงเร็ว สวี่ม่ายซุ่ยจึงพาหลินฟานไปที่คณะสันทนาการในเมืองก่อน
ในเวลานี้ ประตูของคณะสันทนาการมีการป้องกันความปลอดภัย ทั้งคู่จึงเข้าไปไม่ได้และต้องขอให้คนส่งข่าวไปข้างในแทน
“แม่ครับ พวกเรามาทำอะไรที่นี่เหรอ?” หลินฟานมองไปที่ลานบ้านตรงเบื้องหน้าพลางถามด้วยความสงสัย
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “เรามาพบน้าไต้ฉิงของลูกไง”
หลินฟานพูดว่า “ทำไมแม่ถึงอยากเจอน้าไต้ฉิงล่ะครับ? หรือว่าอาเล็กกับอาสะใภ้เล็กทะเลาะกัน?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ไม่ใช่หรอก”
ในขณะที่พูดอยู่ ไต้ฉิงก็วิ่งออกมาโดยโบกมือให้สองแม่ลูกไปด้วย
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นหล่อนแล้วจึงรีบพาหลินฟานเดินไปหา
“พวกพี่มาที่นี่ทำไมเหรอ?” ไต้ฉิงมาใกล้พวกเธอแล้วจึงถามด้วยความประหลาดใจ
“ฉันก็คิดถึงเธอน่ะสิ เลยแวะมาหา”
ไต้ฉิงหน้าแดงและพูดออดอ้อน “ผ่านมาตั้งนานแล้ว พี่เพิ่งจะคิดถึงฉันเหรอ”
“ฉันคิดถึงเธอตั้งนานแล้ว แต่ก็มีคนวิ่งมาที่นี่ก่อนไม่ใช่เหรอ พวกเราอายเกินกว่าจะติดตามมาด้วย เลยค่อยมาทีหลังดีกว่า”
ไต้ฉิงหน้าแดงทันทีที่ได้ยินเธอพูดแบบนี้ หล่อนรีบแย่งถือของในมือเธอและพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่เลิกล้อฉันได้แล้ว พวกพี่ยังไม่ได้กินข้าวมาใช่ไหม? เดี๋ยวฉันจะพาพี่ไปลองกินที่โรงอาหารของเรานะ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ไม่ต้องไปโรงอาหารหรอก เธอแค่หาที่ให้เรานั่งคุยกันได้ก็พอ”
“ได้ไงล่ะ พวกพี่มาเยือนถึงที่แล้วต้องกินข้าวให้อิ่มสิ แม้ว่าพี่จะไม่กิน แต่ฟานฟานยังต้องกินนะ” ไต้ฉิงพูดพลางยกมือลูบแก้มของหลินฟาน
หลินฟานมองไปที่มือวิเศษซึ่งยื่นมาหาเขา ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแน่น แต่ก็ไม่ได้เบือนหน้าหนี
ไต้ฉิงมองการแสดงออกของหลินฟานและรู้ได้ว่าเขาไม่ชอบ หลังจากสัมผัสแก้มไปสองที หล่อนก็รีบชักมือกลับ
เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาอาหาร ทำให้เวลานี้ในโรงอาหารมีคนไม่มาก ไต้ฉิงพาทั้งสองไปนั่งที่มุมหนึ่งและกำลังจะไปยกอาหาร
“พวกพี่นั่งรออยู่ที่นี่ก่อนนะ ฉันจะไปดูให้เอง”
สวี่ม่ายซุ่ยรีบห้ามหล่อนโดยพูดว่า “มันไม่จำเป็นจริงๆ นะ เราทั้งคู่กินข้าวที่บ้านก่อนจะมาที่นี่แล้ว”
“งั้นฉันจะสั่งน้อยๆ” เมื่อพูดจบแล้วไต้ฉิงก็วิ่งไปสั่งอาหาร
สักพักหนึ่งหล่อนก็กลับมาพร้อมถาดสองใบ “ลองชิมเร็วๆ สิ อร่อยอุ่นๆ ร้อนๆ จากหม้อเลยนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่หมูสามชั้นน้ำแดง ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน ปลาเหลืองและผัดสามเซียนที่ไต้ฉิงสั่งมาแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้
“เธอเปลืองเงินเกินไปไหม”
ไต้ฉิงยื่นตะเกียบให้ทั้งสองคนแล้วพูดว่า “ถ้าพวกพี่มาที่นี่ ฉันจะต้อนรับแบบนี้แหละ แต่ถ้าเป็นคนอื่นจะไม่ได้รับการต้อนรับแบบนี้”
สวี่ม่ายซุ่ยถามว่า “ถ้าเจี้ยนจวินมาก็ไม่ได้แบบนี้เหรอ?”
มือที่กำลังแบ่งตะเกียบของไต้ฉิงหยุดชะงักขณะหล่อนตอบด้วยความมั่นใจว่า “ไม่ได้”
“ฉันไม่เชื่อหรอก” หลังจากที่สวี่ม่ายซุ่ยพูดจบ ก็หันไปถามหลินฟานว่า “ลูกเชื่อไหม?”
หลินฟานก็ส่ายหัวโดยไม่ต้องคิด “ไม่เชื่อครับ”
ไต้ฉิงเห็นสองแม่ลูกเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย หล่อนจึงอดหน้าแดงไม่ได้
“เฮอะ ทั้งสองคนกำลังรังแกฉัน ถ้าครั้งต่อไปมาหาฉันอีก ฉันจะไม่ต้อนรับแบบนี้แล้วนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “เธอต้อนรับได้สิ้นเปลืองเกินไป จ่ายคูปองเนื้อได้แบบไม่กลัวหมดเลยนะ”
ไต้ฉิงทำหน้ามุ่ยและตอบว่า “ก็นับตั้งแต่เจี้ยนจวินเริ่มเป็นพ่อครัว ฉันก็แทบไม่ได้ใช้คูปองเนื้อรายเดือนเลย ได้แต่เก็บทั้งหมดนี้ไว้เฉยๆ”
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นว่าในที่สุดไต้ฉิงก็เริ่มพูดถึงหลินเจี้ยนจวินก่อน ในขณะที่คีบซี่โครงให้หลินฟานอีกชิ้น เธอก็ถามแบบสบายๆ ว่า “เรื่องระหว่างเธอกับเจี้ยนจวินถึงไหนแล้ว? พร้อมจะตัดสินใจหรือยัง?”
ไต้ฉิงได้ยินแบบนี้ก็สูญเสียการควบคุมตัวเองจนกินข้าวไม่ได้ หล่อนวางตะเกียบลงแล้วพูดกับสวี่ม่ายซุ่ยด้วยท่าทางขุ่นเคือง “ตัดสินใจอะไรล่ะ เรายังไม่ได้คบกันเลย”
สวี่ม่ายซุ่ยแสร้งทำเป็นแปลกใจและถามว่า “ยังไม่ได้คบกันเลยเหรอ? เกิดอะไรขึ้นล่ะ เธอไม่ชอบเขาแต่ไม่กล้าพูดใช่ไหม งั้นไม่เป็นไร ถ้าเธอไม่กล้าพูดเอง เดี๋ยวฉันจะกลับไปบอกเขาให้”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วไต้ฉิงก็รีบพูดว่า “ไม่ใช่นะ คือฉันอยากคบกับเขา แต่เขาไม่ยอมคบกับฉันต่างหาก พี่สะใภ้ จริงๆ แล้วไม่ว่าครั้งนี้พี่จะมาหาหรือเปล่า ฉันก็จะไปหาพี่ที่บ้านอยู่แล้ว
เจี้ยนจวินไม่คบกับฉัน เพราะเขาคงมีคนอื่นที่ชอบแล้วล่ะสิ”
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่ใบหน้าที่โศกเศร้าของไต้ฉิง ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาและรีบอธิบายว่า “ไม่ใช่นะ นอกจากเธอแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีใครอีก”
“ฉันไม่เชื่อหรอก เพราะถ้าเขาไม่มีใครอยู่แล้วในใจ ทำไมเขาถึงไม่เห็นด้วยกับฉันล่ะ”
“เขาอาจจะมีเรื่องกังวลใจอื่นๆ น่ะ”
“เขาจะมีความกังวลใดอีกก็ไม่รู้นะ แต่ฉันในฐานะผู้หญิงกลับไม่กลัวทำให้ตัวเองเสียหน้า ฉันเป็นฝ่ายออกปากสารภาพก่อน แต่เขาก็ปฏิเสธ”
สวี่ม่ายซุ่ยลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วถามว่า “เป็นเพราะคณะสันทนาการของเธอไม่อนุญาตให้มีความรักระหว่างการคัดเลือกหรือเปล่า?”
ไต้ฉิงตอบด้วยสีหน้าสับสน “ไม่มีกฏแบบนี้นะ?”
“ถ้าไม่มี แล้วทำไมเจี้ยนจวินกลับไปบอกว่าเพราะเธอไม่ได้รับอนุญาตให้มีความรักระหว่างคัดเลือก เธอสองคนไม่ได้คุยกันแบบนี้เหรอ”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วไต้ฉิงก็ตอบเสียงหนักแน่น “ไม่ใช่แบบนั้นเลย”
“คณะของเรากำลังคัดเลือกนักแสดงก็จริง แต่ไม่ได้ออกกฎห้ามเรื่องมีความรัก”
“เธอไม่ได้บอกเจี้ยนจวินจริงๆ เหรอ?”
“ไม่เคยพูดแบบนั้น” ไต้ฉิงตอบด้วยสีหน้าแน่วแน่
คราวนี้สวี่ม่ายซุ่ยก็สับสนไม่ต่างกัน “ในเมื่อเธอไม่ได้พูด แล้วใครจะเป็นคนพูดล่ะ”
ไต้ฉิงโกรธมากจนกำหมัดแน่นและกัดฟันก่นด่า “ถ้าฉันรู้ว่านางป้าคนไหนปากมาก ฉันจะต้องฉีกหน้าหล่อนออกเป็นชิ้นๆ เลย”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “เธออย่าโมโหเกินไป บางทีเจี้ยนจวินอาจจะได้ฟังคนอื่นวิเคราะห์เรื่องสาวคณะสันทนาการมาแบบผิดๆ ก็ได้ เขาจึงกลัวว่าการสารภาพรักจะทำให้เธอเดือดร้อน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาเลือกปิดบังเธอน่ะ”
ไต้ฉิงได้ยินแล้วก็แค่นเสียงประชด “เขาคิดมากเกินไปไหม เขาเป็นใคร เขาตัดสินใจแบบไหนฉันก็ต้องยอมรับงั้นเหรอ”
เมื่อเห็นว่าไต้ฉิงโกรธมาก สวี่ม่ายซุ่ยก็เริ่มอธิบายแทนหลินเจี้ยนจวินทันที “ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น เธอก็รู้นิสัยเขาไม่ใช่เหรอ เขากลัวจะเป็นตัวถ่วงของเธอต่างหาก”
“แล้วทำไมเขาจะเป็นตัวถ่วงฉันล่ะ?” ไต้ฉิงย้อนถามด้วยความโกรธ
เพียงมองแวบแรกก็รู้ว่าไต้ฉิงเติบโตมาท่ามกลางความรัก หล่อนจิตใจดี กล้าหาญและมีความคิดนอกกรอบ
สวี่ม่ายซุ่ยถอนหายใจพลางเอ่ย “ฉันไม่รู้ว่าเคยเล่าเรื่องภูมิหลังของเจี้ยนจวินให้เธอฟังหรือยัง แต่หนุ่มน้อยคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานมากๆ ตั้งแต่ยังเด็ก
เขาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ขาดความรัก โดยมีพี่ชายสองคนและพี่สาวอีกสองคน เขาเป็นน้องคนสุดท้อง และนอกจากสามีของฉันแล้ว เขาก็ยังเป็นลูกที่ได้รับความชื่นชอบน้อยที่สุดในครอบครัวด้วย”
ไต้ฉิงดูประหลาดใจและพูดว่า “จะเป็นไปได้ไง ก็เขาอายุน้อยที่สุดไม่ใช่เหรอ”
สวี่ม่ายซุ่ย “แล้วใครบอกว่าลูกคนสุดท้องจะต้องได้รับความโปรดปรานมากที่สุดกันล่ะ”
“เวลานั้นแม่สามีของฉันไม่อยากมีลูกเพิ่ม แต่กลับตั้งครรภ์เจี้ยนจวินขึ้นมา แม่สามีของฉันคิดว่าเขาเป็นภาระ และเนื่องจากเจี้ยนจวินไม่ใช่คนช่างพูดตั้งแต่เด็ก เขาจึงไม่เป็นที่โปรดปรานเป็นธรรมดา”
“เขาต้องเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานบ้านทั้งหมด แม้เขาจะได้แต้มทำงานสูงสุด แต่ที่บ้านเขาจะได้กินอาหารแย่ที่สุดเสมอ”
“เธอรู้ไหมว่าก่อนที่ฉันจะไปรับเขา เขาไม่มีห้องของตัวเองในบ้านเดิมด้วยซ้ำ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เจี้ยนจวินไปฟังสารจากใครมาผิดๆ ล่ะเนี่ย ถ้าม่ายซุ่ยไม่ถามก็ไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION