ตอนที่ 177 หมากัดหลี่ต้งปิน ไม่รู้จักคนจิตใจดี
“เนื้ออะไร?” เฉินเยวี่ยถามด้วยสีหน้าเย็นชา
จางซุ่ยฮวาตอบว่า “เพราะมีกลิ่นเนื้อตุ๋นลอยมาจากบ้านข้างๆ เด็กทั้งสองได้กลิ่นหอมแล้วเกิดอยากกินขึ้นมา ฉันเองก็คิดว่าเราไม่ได้กินเนื้อสัตว์มานานแล้ว เลยแค่อยากขอคูปองเนื้อจากแม่เพื่อจะได้ทำอาหารจานเนื้อให้ลูกๆ กิน แต่เพิ่งจะได้รู้ว่าแม่เอาคูปองให้พี่ชายใหญ่ของคุณหมดแล้ว”
“ฉัน…ฉันโกรธขึ้นมาชั่ววูบก็เลยเถียงแม่น่ะ”
เฉินเยวี่ยได้ยินว่าจางซุ่ยฮวากล้าเถียงแม่เฒ่าเฉิน เขาจึงระเบิดโทสะขึ้นมาทันที “ให้เขาก็ให้สิ ใครใช้ให้คุณไปเถียงแม่?”
จางซุ่ยฮวาพูดว่า “แต่นั่นคือคูปองของคุณ ทำไมต้องยกให้พี่ใหญ่หมดล่ะ?”
เฉินเยวี่ยตวาด “คุณกล้าพูดแบบนี้ได้ไง ของๆ ผมน่ะ แม่อยากจะเอาไปให้ใครก็ได้ทั้งนั้น เราให้คุณเป็นหัวหน้าครอบครัวตั้งแต่ตอนไหน?”
จางซุ่ยฮวา “แต่ว่า…”
เฉินเยวี่ยถลึงตาใส่ “หุบปาก!”
แม่เฒ่าเฉินที่ฟังอยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วยิ่งได้ใจ เมื่อเห็นจางซุ่ยฮวาอับจนหนทาง นางจึงชี้หน้าจางซุ่ยฮวาพลางเริ่มก่นด่า “เจ้ารอง ดูเมียแกสิ หล่อนได้เป็นภรรยานายทหารแค่ไม่กี่วันก็เหิมเกริมจนทนไม่ไหว ฉันคิดว่าหล่อนต้องได้รับบทเรียนนะ”
เฉินเยวี่ยได้ยินแบบนี้แล้วก็หันกลับไปพูดด้วยความหนักใจ “แม่ ที่นี่เป็นบ้านพักเจ้าหน้าที่ ถ้าข่าวแพร่ออกไปจะไม่เป็นผลดีนะครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม่เฒ่าเฉินก็ตวาดกลับด้วยเสียงเฉียบคม “ทำไม ตอนนี้แม้แต่แกก็ไม่ฟังฉันเหรอ?”
“ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร…ฉันจะบอกแกไว้เลยนะ ถ้าวันนี้แกไม่ตบสั่งสอนนังสารเลวนี่ ฉันจะตายให้แกดู รอดูแล้วกันว่าเมื่อถึงเวลานั้นแกจะมีหน้าไปเจอพ่อแกยังไง จะอธิบายให้บรรพบุรุษแกฟังยังไง”
“โธ่แม่…”
“แกจะตบหรือไม่ตบ?”
เฉินเยวี่ยถูกแม่บังคับจนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากตบหน้าจางซุ่ยฮวา
จางซุ่ยฮวายกมือกุมแก้มและมองเขาด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “คุณกล้าตบฉันเหรอ?”
เฉินเยวี่ยพูดว่า “ใครใช้ให้คุณไม่เคารพแม่ล่ะ”
จางซุ่ยฮวาตะโกนอย่างเสียสติ “ทำไมฉันจะต้องเคารพหล่อนด้วย หล่อนกินอยู่กับเราทุกอย่าง แต่กลับเข้าข้างคนอื่น ฉันไม่เคยเห็นใครลำเอียงเท่าหล่อนมาก่อน”
แม่เฒ่าเฉินได้ยินแบบนี้แล้วก็เริ่มร้องไห้พลางคร่ำครวญว่า “สวรรค์ช่วยฉันด้วย~ แกได้ยินคำพูดของเมียแกหรือยัง?”
“ตอนที่ครอบครัวของเรายากจน ในแต่ละวันต้องอดๆ อยากๆ แกลืมไปแล้วเหรอว่าพี่ใหญ่ของแกคอยดูแลแกมากแค่ไหน ไม่งั้นแกจะโตขึ้นมาแบบนี้ได้ไง? ต่อให้แกจะได้เป็นหัวหน้ากองร้อยแล้ว แต่จะลืมกำพืดไม่ได้หรอกนะ ฮือ~”
จางซุ่ยฮวาพูดว่า “เฮอะ ฉันคิดว่าเขาลืมนานแล้วล่ะ… ”
ทันทีที่หล่อนพูดจบ เฉินเยวี่ยก็พลันคลุ้มคลั่ง เขากระชากจางซุ่ยฮวาแล้วตบตีหล่อนทันที
“ฉันทำให้แกไม่เชื่อฟัง ฉันเองที่ปล่อยให้แกพูดใส่ร้ายพี่ใหญ่ ฉันทำให้แกพูดจาหยาบคายและทำให้แกกลายเป็นคนโลภ”
สวี่ม่ายซุ่ยกำลังเพลิดเพลินกับการกินแตง*กลับไม่คาดคิดเฉินเยวี่ยจะลงไม้ลงมือ เธอยืนฟังเสียงร้องคร่ำครวญของจางซุ่ยฟางอยู่ข้างๆ แล้วกำลังลังเลว่าจะเข้าไปช่วยดีไหม แต่ในขณะที่เธอกำลังชั่งใจ หลินเซียวก็วิ่งออกมาแล้วตะโกนเรียกว่า “แม่ครับ อาหารพร้อมแล้ว”
(*กินแตง หมายถึง กินเผือก ใส่ใจเรื่องของชาวบ้าน)
สวี่ม่ายซุ่ยรีบยกมือบอกให้เขาเงียบและกระซิบบอกว่า “ไปเอาม้านั่งสูงมาให้แม่เร็ว”
ในขณะนี้เองเสียงร้องโหยหวนของจางซุ่ยฮวาก็เริ่มเบาลงเรื่อยๆ ทำให้ความรู้สึกของสวี่ม่ายซุ่ยเอาชนะเหตุผลได้ทันที เธอขึ้นไปยืนบนม้านั่งยาวที่หลินเซียวถือมาให้ จากนั้นก็ปีนขึ้นกำแพงอีกที เนื่องจากตัวเธอสูงเป็นทุนเดิม แค่เหยียบบนม้านั่งยาวก็ทำให้ศีรษะของเธอโผล่พ้นกำแพงแล้ว
ครั้นเห็นภาพเหตุการณ์เบื้องหน้า ทันใดนั้นไฟโทสะของเธอก็พวยพุ่ง เพราะตอนนี้เฉินเยวี่ยที่ตาแดงก่ำกำลังนั่งคร่อมจางซุ่ยฮวาพร้อมตบหล่อนทีละฉาด ในขณะที่แม่เฒ่าเฉินยืนยิ้มสะใจอยู่ด้านข้าง
แม่เฒ่าเฉินหัวเราะเยาะพลางเอ่ย “ตบได้ดี จะจัดการกับหล่อนต้องใช้วิธีนี้แหละ ไม่งั้นหล่อนจะไม่สำนึกว่าใครเป็นหัวหน้าครอบครัวนี้ ถ้าให้หล่อนได้ใจแล้วเดี๋ยวหล่อนเหิมเกริม”
“จากนี้ไปให้หล่อนคำนับฉันทั้งเช้าและค่ำ ตั้งเป็นกฎระยะยาวไปเลย”
ทันทีที่หล่อนพูดจบ สวี่ม่ายซุ่ยก็อดพูดเหน็บแนมไม่ได้ “เฮ้ สมัยนี้ยังมีการคำนับเช้าค่ำอีกเหรอ? นี่มันยุคไหนแล้ว? ทำไมฉันไม่ได้ยินเรื่องนี้เลยล่ะ?”
เสียงที่ดังขึ้นแบบกะทันหันนั้นทำให้แม่เฒ่าเฉินตกใจแทบตาย เมื่อมองตามเสียงไปจึงเห็นว่าเป็นสวี่ม่ายซุ่ยยืนเกาะกำแพงมองมาด้วยสีหน้าเย็นชา “เธอ…เธอ ทำไมเธอมาอยู่ตรงนั้น?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “คุณก็ถามแปลกๆ นะ ฉันก็อยู่บ้านตัวเองน่ะสิ จะให้ฉันอยู่ที่ไหนล่ะ?”
แม่เฒ่าเฉิน “แล้วใครสั่งใครสอนให้เธอปีนกำแพงแบบนั้น?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ฉันไม่เคยมีนิสัยแบบนี้มาก่อน แต่สุดท้ายก็ได้เรียนรู้นิสัยนี้จากคุณนี่แหละ ไม่รู้มาก่อนเลยแฮะว่าการปีนกำแพงจะทำให้เห็นสิ่งที่แตกต่างออกไปขนาดนี้ มองเห็นชัดเจนหมดทุกอย่างเลย คุณคิดเหมือนกันไหมหัวหน้าเฉิน?”
เมื่อเฉินเยวี่ยได้ยินเสียงของสวี่ม่ายซุ่ย เขาก็รีบผละออกจากจางซุ่ยฮวาทันที และมองกลับด้วยสีหน้าอับอายมาก “น้องสะใภ้พูดได้มีเหตุผลจริงๆ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อก่อนฉันได้ยินจากเจี้ยนเยี่ยว่าหัวหน้าเฉินเก่งเรื่องศิลปะการต่อสู้ โดยเฉพาะหมัดที่ทรงพลังที่สุด แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้เห็น วันนี้ได้เห็นนับว่าเป็นบุญตาแล้วจริงๆ”
เมื่อเฉินเยวี่ยได้ยินคำพูดตีวัวกระทบคราดของสวี่ม่ายซุ่ยแล้ว เขาก็แทบจะรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ไม่อยู่ “น้องสะใภ้ พวกเราแค่หยอกล้อกันน่ะ”
ในเวลานี้จางซุ่ยฮวาก็ลุกยืนขึ้นจากพื้น สวี่ม่ายซุ่ยจึงได้เห็นรอยช้ำบนใบหน้าของจางซุ่ยฮวาชัดเจน ทันใดนั้นก็มีร่องรอยของความเห็นอกเห็นใจแวบขึ้นมาในดวงตา เพราะแม้จะเป็นในชีวิตก่อน ต่อให้เธอทำลายครอบครัวจนพังทลายมากแค่ไหน แต่หลินเจี้ยนเยี่ยก็ไม่เคยลงไม้ลงมือกับเธอสักครั้ง
“หัวหน้าเฉิน คุณแน่ใจเหรอว่ารอยฟกช้ำบนใบหน้าของพี่สะใภ้เป็นแค่เรื่องล้อเล่น?”
สีหน้าของแม่เฒ่าเฉินมืดมน และตอบด้วยความโกรธ “ระหว่างพวกเขาจะเรียกอะไรก็ช่าง แต่ไม่จำเป็นต้องบอกเธอนี่”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “คุณไม่จำเป็นต้องบอกฉันจริงๆ แต่ฉันคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่เป็นการใช้ความรุนแรงในครอบครัว!”
“หัวหน้าเฉิน แม่เฒ่าเป็นคนไร้การศึกษา ฉันพูดไปหล่อนก็ไม่เข้าใจ แต่คุณควรเข้าใจว่าการใช้ความรุนแรงในครอบครัวนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ”
แม่เฒ่าเฉินได้ยินแบบนี้แล้วก็กรีดร้องทันที “เธอนี่มันนังสารเลวจริงๆ คิดจะทำอะไร?”
สวี่ม่ายซุ่ยไม่ได้มองแม่เฒ่าเฉินด้วยซ้ำ เธอทำเพียงจ้องไปที่หัวหน้าเฉิน และทันใดนั้นดวงตาที่เคยยิ้มแย้มของเฉินเยวี่ยก็เปลี่ยนเป็นมืดมน “คุณจะเอายังไงกันแน่?”
สวี่ม่ายซุ่ย “ก็ไม่ได้จะเอายังไง แต่ถ้าพี่สะใภ้อยากจะร้องเรียน ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะเป็นพยานให้”
จางซุ่ยฮวาได้สติจากคำพูดของเธอทันที จู่ๆ หล่อนก็รีบวิ่งออกจากด้านหลังและก่นด่าสวี่ม่ายซุ่ยด้วยความโกรธ “เธอไสหัวไปเดี๋ยวนี้นะ เรื่องของบ้านเราเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย อย่าทำตัวเป็นหมาไล่จับหนู ยุ่งเรื่องคนอื่นไปทั่ว”
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่ใบหน้าที่ฟกช้ำของจางซุ่ยฮวาด้วยความรู้สึกที่พูดไม่ออก “เธอยังมีเหตุผลอยู่ไหมเนี่ย ฉันกำลังช่วยเธออยู่นะ”
”
“ไม่จำเป็น เพราะฉันคิดว่าเธอไม่มีเจตนาดีแน่ๆ เธอคงอยากทำให้ครอบครัวเราแตกแยกแล้วคอยยืนมองพร้อมหัวเราะเยาะล่ะสิ ฉันจะบอกเลยว่าไม่มีทาง”
สวี่ม่ายซุ่ยกลอกตาใส่อย่างหมดคำจะพูด จากนั้นจึงพึมพำว่า “ฉันนี่โง่จริงๆ แหละที่มาช่วยคนป่วยจิตแบบเธอ”
พูดจบแล้วเธอก็กระโดดลงจากม้านั่งสูง
ทันทีที่เธอหายตัวไปแล้ว จางซุ่ยฮวาก็พูดกับเฉินเยวี่ยด้วยท่าทางประจบประแจง “เมื่อครู่ฉันพูดได้ดีไหมคะ”
เฉินเยวี่ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ไม่เลวเลย พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าปล่อนให้คนอื่นเข้ามาแทรกแซง แต่หล่อนได้เห็นเหตุการณ์นี้แล้ว ถ้าหล่อนเที่ยวพูดไปทุกที่ ก็เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อผมน่ะ”
แม่เฒ่าเฉินพูดว่า “หล่อนกล้าไหมล่ะ ถ้าหล่อนกล้าเอาไปพูดข้างนอก ฉันจะสาดอุจจาระใส่บ้านหล่อนทุกวัน”
ใบหน้าของเฉินเยวี่ยมืดลง “แม่ ผมกลัวว่าหล่อนจะเอาไปฟ้องที่หน่วย”
แม่เฒ่าเฉินพูดว่า “งั้นจะทำไงดี?”
เฉินเยวี่ยตอบว่า “ผมก็กำลังคิดหาทางอยู่เนี่ย”
หลังจากได้ยินแล้ว แม่เฒ่าเฉินก็ตวัดสายตาไปมองจางซุ่ยฮวาทันที “เธอมันตัวไร้ประโยชน์จริงๆ นะ สร้างแต่ปัญหา”
เฉินเยวี่ยมองไปที่ใบหน้าของจางซุ่ยฮวาแล้วพูดเบาๆ ว่า “แม่ ไม่ใช่ความผิดของซุ่ยฮวาหรอก เป็นผมเองที่ใจร้อนไปหน่อย”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไม่น่าช่วยเลย ต่อไปโดนสามีทุบตีปางตายคาบ้านก็อย่าเรียกให้ใครช่วยนะ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION