ตอนที่ 174 ขึ้นมาสิ ผมจะแบกคุณเอง
“อาวุโสไม่ต้องกังวล เราไม่ใช่ฝ่ายใดอยู่แล้ว แค่คิดว่าพวกคุณอายุมากแล้ว กว่าจะมาเจอพวกเราไม่ง่ายเลย เราจึงอยากจะช่วยเหลือเท่านั้น”
อาวุโสจางได้ยินแล้วแค่นเสียงหัวเราะ “คุณอาจจะหลอกคนอื่นด้วยคำพูดนี้ได้นะ แต่หลอกผมไม่ได้หรอก”
ตลอดทางมานี้ เขาต้องเผชิญกับการทรมานนับครั้งไม่ถ้วน มีทั้งการใช้ไม้อ่อนไม้แข็ง เขาจึงไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายังมีคนใจดีขนาดนี้อยู่ด้วย
“ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี“ เมื่อพูดจบแล้วหลินเจี้ยนจวินก็ลุกขึ้นและเปลี่ยนท่าให้อาวุโสจาง และเริ่มจากรักษาอาการบาดเจ็บที่หลัง เนื่องจากมีบาดแผลมากมาย หลินเจี้ยนจวินจึงทายาและพันปิดแผลไว้ทั้งหมด
“คุณนอนพักในกระท่อมต่อเถอะ ผมจะออกไปรายงานพี่สะใภ้”
อาวุโสจางได้ยินแล้วตกใจมาก “นั่นคือพี่สะใภ้ของคุณเหรอ?”
หลินเจี้ยนจวิน “ใช่”
เขาตอบรับพลางสาวเท้าเดินไปที่ประตู เมื่อเขาเปิดประตูออกก็เห็นพี่สะใภ้นั่งอยู่ตรงที่หลี่โหย่วเหลียงเคยนั่ง ตอนนี้เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยสีหน้าสงบ จึงไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“พี่สะใภ้”
ทันใดนั้นสวี่ม่ายซุ่ยจึงกลับมามีสติอีกครั้ง เธอหันไปมองเขาแล้วถามว่า “พันแผลเสร็จแล้วเหรอ?”
หลินเจี้ยนจวินตอบ “เสร็จแล้วครับ”
“ฉันจะเข้าไปดูหน่อย” เธอพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน แต่ก็ต้องเสียหลักนิดหน่อยเพราะนั่งอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน
หลินเจี้ยนจวินตกใจมากแล้วรีบเข้ามาช่วยประคองเธอไว้ “ช้าๆ หน่อยครับ”
สวี่ม่ายซุ่ยสะบัดเท้าแล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “แค่เหน็บกินเท้าน่ะ แล้วผู้อาวุโสเป็นยังไงบ้าง?”
หลินเจี้ยนจวินตอบว่า “ดีขึ้นกว่าตอนแรกที่ผมเห็นเขานะ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ดีแล้วล่ะ”
เมื่อหลินเจี้ยนจวินและสวี่ม่ายซุ่ยเดินเข้ามา อาวุโสจางได้เอนหลังนอนแล้ว ทันทีที่เขาเห็นทั้งสองคนเข้ามาก็พูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “พันแผลเสร็จแล้วยังไม่กลับไปอีกเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยเมินใส่คำพูดเหน็บแนมของเขา เธอเดินตรงไปยังจุดที่วางกระเป๋าเอาไว้และหยิบขวดยาขนาดใหญ่สองขวดออกมา “พันแผลเสร็จแล้วก็จริง แต่คุณยังมีไข้สูง และไม่ว่ายังไงก็ต้องช่วยลดไข้ให้คุณอยู่ดี”
เมื่อพูดจบแล้วเธอก็เดินไปหาอาวุโสจางพร้อมขวดยาในมือ คว่ำขวดยาลง แทงเข็มเพื่อดูดยาและไล่ฟองอากาศ จากนั้นจึงเริ่มแทงเข็ม
อาวุโสจางมองไปยังท่าทางจริงจังของสวี่ม่ายซุ่ยแล้วถามเสียงเรียบว่า “เธอเป็นหมอด้วยเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบขณะแทงเข็ม “ไม่ใช่ค่ะ ฉันเป็นนักบัญชี”
“หา นักบัญชีฉีดยาเป็นด้วยเหรอ?”
“เพิ่งเรียนมาฉีดให้คุณนี่แหละ แต่ขอบอกตามตรงว่าทักษะของฉันไม่ค่อยดีนัก ถ้าคุณชวนคุยอาจทำให้ฉันเสียสมาธิและทำพลาดได้นะ”
อาวุโสจางได้ยินแบบนี้แล้วก็หยุดพูดทันที
หลังจากที่สวี่ม่ายซุ่ยฉีดยาให้เขาแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง แม้ว่าวิธีการเหล่านี้จะเหมือนไม่มีอะไร แต่พอลงมือทำจริงการปฏิบัติงานจริงยังค่อนข้างตึงเครียดอยู่บ้าง
อาวุโสจางเห็นสวี่ม่ายซุ่ยเหงื่อออกมาก เขาจึงเชื่อเต็มร้อยว่าเธอเพิ่งเรียนรู้มาจริงๆ
ทันทีที่สวี่ม่ายซุ่ยฉีดยาให้เขาเสร็จแล้ว หลินเจี้ยนจวินก็กระซิบว่า “พี่สะใภ้ ผมจะอยู่เฝ้าที่นี่เอง พี่กลับไปได้แล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่อาวุโสจางซึ่งผล็อยหลับไปแล้ว เธอส่ายหัวพลางเอ่ย “ไม่ได้ ฉันจะรออยู่ข้างนอก”
คอกวัวไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย ซ้ำยังมีผู้คนอาศัยอยู่รอบด้าน หากมีใครมาพบเข้า ครอบครัวของเธอก็จบเห่โดยสิ้นเชิง
เมื่อหลินเจี้ยนจวินได้ยินแบบนี้แล้วก็ไม่ได้พยายามโน้มน้าวอีกต่อไป เขาเดินเข้าไปดูอาการของอาวุโสจางแบบใกล้ชิด เมื่อไม่มีอาการผิดปกติ เขาก็เดินออกมาบอกสวี่ม่ายซุ่ย
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วจึงค่อยๆ เดินกลับพลางยกมือทุบเอวที่ปวดร้าวของตน ขณะที่เดินไปถึงทางเข้าลานบ้านพัก เธอก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่า “ม่ายซุ่ย”
เนื่องจากสวี่ม่ายซุ่ยไม่ได้นำไฟฉายมาด้วย รอบข้างจึงมีเพียงความมืดมิด เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเธอก็ตกใจมาก
“ใครน่ะ?”
“ผมเอง”
สวี่ม่ายซุ่ยเพ่งมองจึงเห็นหลินเจี้ยนเยี่ยเดินเข้ามาใกล้ เธอยกมือลูบหน้าอกพลางเอ่ย “คุณมาซะเงียบเชียว”
“ผมไม่แน่ใจว่าเป็นคุณน่ะ”
“ดึกๆ แบบนี้จะมีใครได้อีกถ้าไม่ใช่ฉัน แล้วทำไมคุณไม่อยู่บ้านกับลูกๆ ล่ะ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “ผมเป็นห่วงคุณ”
“ฉันเดินบนถนนสายนี้ทุกวัน ไม่มีสิ่งใดให้กังวลหรอกนะ”
หลินเจี้ยนเยี่ย “แต่คุณไม่ค่อยกลับบ้านดึกขนาดนี้นะ”
เมื่อเห็นว่าเธอเอามือกุมเอวไว้ เขาจึงถามด้วยความทุกข์ใจ “เหนื่อยไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ไม่เหนื่อยมากหรอกค่ะ แค่ปวดเอวนิดๆ หน่อยๆ เอง”
หลินเจี้ยเยี่ยได้ยินแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็นั่งยองๆ ลงเบื้องหน้าของสวี่ม่ายซุ่ยแล้วพูดว่า “ผมแบกคุณเอง”
สวี่ม่ายซุ่ยมองแผ่นหลังของคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าแล้วยิ้มเอ่ย “คุณไม่กลัวคนเห็นเหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ย “ไม่มีใครหรอก”
สวี่ม่ายซุ่ยยกแขนของเธอขึ้นโอบรอบลำคอของเขาแล้วเอนอยู่บนหลังของเขาด้วยความเกียจคร้าน “งั้นก็ได้ ฉันจะได้เพลิดเพลินกับการดูแลแสนพิเศษนี้เหมือนกัน”
หลินเจี้ยนเยี่ยรู้สึกได้ถึงความใกล้ชิดของสวี่ม่ายซุ่ย แล้วเขาก็แบกเธอขึ้นหลังพร้อมรอยยิ้มที่ไม่สามารถควบคุมได้เลย
เพราะอยู่ข้างนอก ทำให้ทั้งคู่ไม่ได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับนายพลจางด้วย
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู หลินเจี้ยนเยี่ยก็หยุดเดินกะทันหัน ทำให้สวี่ม่ายซุ่ยที่ซบอยู่บนไหล่ของเขาต้องถามด้วยความสงสัย “ทำไมไม่เข้าไปล่ะ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยเอี้ยวคอไปมองเธอด้วยความรักและตอบว่า “หัวหน้าเฉินอยู่ที่นี่ด้วย”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วจึงอุทานเบาๆ ว่า “อ้อ” ทว่าเธอไม่มีความตั้งใจจะเงยหน้าขึ้นไปทักทายเลย
เธอได้ยินหัวหน้าเฉินจากฝั่งตรงข้ามพูดติดตลกว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้าหลินกับน้องสะใภ้ช่างดีจริงๆ นะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ต้องการจะพูดมากกว่านี้
ฝ่ายหัวหน้าเฉินก็คุ้นเคยกับนิสัยของอีกฝ่ายแล้ว เขาจึงไม่ได้พูดอีกและทำแค่เดินสวนไปเท่านั้น
“หัวหน้าเฉินดูยุ่งมากจริงๆ ทำไมเขาถึงได้เข้าเวรดึกตลอดเลย?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “หัวหน้าทีมคนก่อนครองเวรกลางวันหมดแล้ว เขามาใหม่จึงต้องเข้าเวรกลางคืนน่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วก็ดวงตาสว่างวาบ “แล้วคุณทำแบบนี้ได้ไหม?”
หลินเจี้ยนเยี่ยยกเธอขึ้นอีกนิดแล้วตอบว่า “กลุ่มของเรามีวิธีการอีกแบบ ไม่ได้ทำเหมือนกันหรอก”
สวี่ม่ายซุ่ยรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เธอจึงเบะปากแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ยอมให้คุณเข้าเวรกลางคืนเหมือนกันแหละ”
เมื่อกลับถึงบ้าน หลินเจี้ยนเยี่ยรอให้สวี่ม่ายซุ่ยซักผ้าเสร็จแล้วค่อยถามว่า “นายพลจางเป็นยังไงบ้าง?”
สวี่ม่ายซุ่ยหยุดชะงักมือที่กำลังทาครีมบำรุงผิวหน้า “ฉันคิดว่าคุณไม่อยากรู้ซะอีก?”
“ผมอยากรอให้คุณพูดเอง แต่ใครจะรู้ว่าคราวนี้คุณนิ่งมาก ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเอ่ยปากถามเองไง”
สวี่ม่ายซุ่ยอดกลอกตาใส่เขาไม่ได้ พูดว่า “เป็นเขาจริงๆ แต่อาการของเขาไม่ค่อยดีนัก เขาถูกทรมานก่อนจะมาถึงที่นี่ แต่เนื่องจากไม่ได้รับการรักษา ทำให้เขาเริ่มมีไข้แล้ว”
หลินเจี้ยนเยี่ยถามว่า “ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยก็ดูจริงจังขึ้นมาเช่นกัน “อืม ไม่เพียงเท่านั้นนะ พวกคณะกรรมการยังออกประกาศอีกว่าห้ามไม่ให้พวกเขาพบหมอ นายพลจางไปทำให้ใครขุ่นเคืองมากเหรอ? ถึงขั้นต้องปฏิบัติต่อเขาแบบนี้”
ใบหน้าของหลินเจี้ยนเยี่ยมืดลงทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขากำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว “แล้วตอนนี้อาการของนายพลจางเป็นยังไงบ้าง?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบพลางเตรียมตัวเข้านอน “ไม่ต้องห่วง ฉันฉีดยาให้เขาแล้ว ยังมียาอื่นๆ ให้เขาด้วย ตอนนี้เจี้ยนจวินเฝ้าเขาอยู่ที่นั่น ทุกสิ่งจะต้องราบรื่น”
หลินเจี้ยนจวินขมวดคิ้วพลางเอ่ย “คุณไปหาหมอแล้วเหรอ?”
“ฉันไปหาหมอด้วยอาการเหมือนคนบ้า ไปขอยาลดไข้กับยาแก้อักเสบในนามของหลินเซียวหลินฟาน และขอให้หมอเตรียมยาน้ำโดยอ้างชื่อของคุณน่ะ”
“จากนั้นฉันก็ติดสินบนเสี่ยวหลินด้วยผ้าพันคอ เพื่อขอให้หล่อนสอนวิธีฉีดยาให้ฉัน คุณก็จะเห็นได้ว่ามือของฉันมีแต่รอยเข็ม”
หลินเจี้ยนเยี่ยมองรอยเข็มประปรายบนมือของสวี่ม่ายซุ่ย เขาจึงจับมือของเธอไว้ด้วยความสะเทือนใจ “ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย รอผมกลับมาแล้วใช้มือผมฝึกก็ได้”
สวี่ม่ายซุ่ยเอนตัวนอนบนเตียงและตอบด้วยความเหนื่อยล้า “ขืนรอคุณ ดอกไม้จีนก็เย็นหมดแล้ว*”
(*ดอกไม้จีนก็เย็นหมดแล้ว หมายถึง สายเกินไปแล้ว)
หลินเจี้ยนเยี่ยรู้ดีว่ากว่าเขาจะกลับมาก็สายเกินไปจริงๆ เขาจึงมองไปที่สวี่ม่ายซุ่ยและพูดด้วยความทุกข์ใจสุดซึ้งว่า “ยังปวดเอวอยู่ไหม คุณนอนคว่ำแล้วให้ผมช่วยนวดเถอะ”
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วก็ไม่แสดงอาการต่อต้านใดๆ เธอนอนคว่ำอย่างว่านอนสอนง่าย ปล่อยให้มือใหญ่ของหลินเจี้ยนเยี่ยค่อยๆ นวดเอวให้เธอ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ามันสบายมากแค่ไหน
แต่ในขณะนี้สวี่ม่ายซุ่ยกลับรู้สึกได้ถึงกระแสของเหลวอุ่นๆ ที่ไหลออกจากร่างกายของเธอ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นายพลจางไปมีเรื่องกับคนใหญ่คนโตที่ไหนเข้าหนอ ถึงโดนทรมานขนาดนั้น
พี่เยี่ยดูแลภรรยาแบบนี้แล้วค่อยน่าวางใจหน่อย
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION