บทที่ 5 รักษาชีวิตน้อย ๆ
นางหวังมีความอดทนสูงมาก แม้แต่เส้นผมที่พันกันยุ่งเหยิงของเหยียนซี นางก็ไม่ออกแรงดึงทึ้ง แต่กลับสางอย่างระมัดระวังโดยแทบไม่ทำให้เจ็บหนังศีรษะเลย
เหยียนซีลืมตาขึ้นหลายครั้งและเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของนาง ด้วยใบหน้าที่สงบของอีกฝ่ายนั้น เด็กหญิงกลับรู้สึกผิดเล็กน้อยโดยไร้เหตุผล
หลิวเอ้อร์หลาง เขาจะต้องดีขึ้นให้ได้
นางหวังคิดว่าอย่างไรในวันข้างหน้าเหยียนซีก็จะอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ ขณะสระผมให้เด็กหญิงจึงบอกเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ที่บ้านให้ฟังสั้น ๆ
สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่าหมู่บ้านหยางซาน
ชื่อจริงของหลิวเอ้อร์หลางคือหลิวเหิง และบิดาของเขาก็เสียชีวิตไปแล้ว
นางหวังเล่าว่าหลิวเหิงมีความฉลาดหลักแหลมตั้งแต่เด็ก เขาเก็บเงินและมีโอกาสเรียนหนังสือตั้งแต่อายุเก้าขวบ เขาโดดเด่นจากฝูงชนทันทีที่ได้เข้าเรียนในสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับเสียงชื่นชมจากท่านอาจารย์ และในปีนั้นเอง เขาก็สามารถสอบผ่านเซี่ยนซื่อ*[1] ได้ตั้งแต่อายุสิบสี่ปีเท่านั้น แม้ว่าเขาจะเป็นเด็กกำพร้าและมีมารดาเป็นหญิงม่าย แต่ชาวบ้านก็ถือว่าหลิวเหิงเป็นดาวเหวินฉวี่*[2] ลงมายังโลกมนุษย์ จึงไม่มีใครกล้าดูแคลนเขา
เหตุผลหลัก ๆ คือชาวบ้านหยางซานรู้สึกว่าจะเป็นเกียรติสำหรับทุกคน หากหมู่บ้านสามารถผลิตปัญญาชนที่มีชื่อเสียงได้ ดังนั้นพวกเขาจึงดูแลสองแม่ลูกเป็นอย่างดี
“เดิมที เขาจะมีชื่อเสียงหลังผ่านการสอบเยวี่ยนซื่อ*[3] ในปีนี้ แต่ตอนที่เขากลับจากตัวอำเภอก็เจอฝนตกหนัก ตอนแรกเขาแค่มีอาการไอ และข้าก็อยากจะประหยัดเงิน เขาจึงกินยาไปแค่ไม่กี่ห่อ…แต่ข้าไม่คาดคิด…มันเป็นความผิดของข้าทั้งหมด เหตุใดตอนนั้นข้าต้องฟังเอ้อร์หลางด้วย? หากข้าเชิญท่านหมอมารักษา บางที…ก็คงไม่ยืดเยื้อจนกลายเป็นวัณโรคเช่นนี้…”
เมื่อนางหวังคิดว่าตัวเองเอาแต่เชื่อฟังคำพูดของเอ้อร์หลาง และไม่ได้เชิญท่านหมอมาตรวจอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ คิดเพียงว่าจะเก็บเงินสักก้อนเพื่อให้ลูกชายได้สอบเหยี่ยนซื่อ แต่อาการป่วยของลูกชายก็เรื้อรังเช่นนี้ นางจึงรู้สึกเสียใจมาก
“ท่านป้า พี่เอ้อร์หลางเป็นคนมีบุญ มักจะมีเทพเจ้าคอยช่วยเหลือ…” เมื่อเหยียนซีได้ยินว่าอาการป่วยเกิดจากลมและความหนาวเย็น แสดงว่าหลิวเอ้อร์หลางน่าจะป่วยเป็นโรคที่คนสมัยใหม่เรียกว่าโรคปอดบวมใช่ไหม?
“เจ้าพูดถูกแล้ว เซียนกูก็บอกว่าเจ้าเป็นผู้พลิกชะตาชีวิตของเอ้อร์หลาง และสามารถช่วยเขาขจัดความชั่วร้ายได้”
เหยียนซีปวดหัวตั้งแต่ได้ยินเรื่องการจัดงานมงคลเพื่อขจัดเสนียดจัญไร โชคดีที่นางหวังไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นเจ้าสาวเด็ก เพราะไม่ว่าจะเป็นการแต่งงานหรือการปัดเป่าความชั่วร้าย เธอก็ไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น
เมื่อลืมตาขึ้นและเงยหน้ามองใบหน้าที่อ่อนโยนของอีกฝ่าย เหยียนซีก็รู้สึกแสบตาขึ้นมา เพราะหลังจากที่แม่ของเธอเสียชีวิต ยกเว้นการสระผมในร้านทำผม ก็ไม่มีใครในบ้านสระผมของเธออย่างอดทนเช่นนี้
หญิงสาวในยามนี้รู้สึกผิดมากขึ้น เพราะเธอโหยหาความรักของแม่ จึงได้ตักตวงมันจากนางหวัง ดังนั้นหญิงสาวจะถือคติว่ารักใครแล้วก็ต้องรักอีกาที่เกาะบนหลังคาบ้านหลังนั้นด้วย ถ้าพระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของผู้คนจริง ๆ ก็ได้โปรดอวยพรให้ลูกชายของนางหวังหายป่วยด้วยเถอะ!
นางหวังช่วยสระผมและเช็ดผมให้เหยียนซีจนแห้ง ท้องฟ้าก็มืดลงเรื่อย ๆ แล้ว
นางหวังรีบไปที่เตาเพื่อต้มโจ๊ก จากนั้นหยิบขนมเปี๊ยะมาอีกสองชิ้นขึ้นมา
เหยียนซีมองชามโจ๊กเบื้องหน้า ซึ่งตามปกติแล้วจะใส่ผักกับข้าวอย่างละครึ่ง เธอลอบถอนหายใจโล่งอก อย่างน้อยก็ยังดีที่ตระกูลหลิวยังไปไม่ถึงจุดที่ต้องกินแกลบ
เด็กหญิงหิวมากจนสามารถกินโจ๊กหมดชามได้ภายในไม่กี่อึดใจ และเธอไม่จำเป็นต้องจิ้มผักดองบนโต๊ะด้วยซ้ำ หลังจากยกดื่มโจ๊กไปสองชามในคราวเดียว เธอก็รู้สึกถึงกระเพาะที่หนักอึ้ง และมันก็ไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป
เนื่องจากปล่อยท้องว่างมานานและไม่กล้าจะกินเยอะ เด็กหญิงจึงวางชามลงอย่างไม่เต็มใจนัก
นางหวังชำเลืองมองนางอย่างชื่นชม รู้สึกว่านางเป็นเด็กมีเหตุผลและรู้จักกินให้น้อย
เหยียนซีไม่พูดพร่ำทำเพลง เธอวางชามลงแล้วเดินไปที่ประตูอย่างมีสติเพื่อจุดเตาไฟและต้มยา
ข้างนอกมืดแล้ว จริงตามที่นางหวังพูดว่าช่วงเดือนสี่ พอฟ้าเริ่มมืดแล้วข้างนอกก็จะยังคงมีอากาศเย็น ทำให้หญิงสาวไม่รู้สึกร้อนเลยแม้แต่น้อยเมื่อนั่งอยู่ข้างเตาต้มยา
นางหวังก็มีความสุขมากขึ้น เมื่อเห็นเด็กหญิงปรุงยาอย่างระมัดระวังโดยท่อง ‘คัมภีร์เต้าเต๋อจิง’*[4] ขณะที่ต้มยาไปด้วย
หลิวเอ้อร์หลางก็ผล็อยหลับเพราะเสียงท่องคัมภีร์ จากนั้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงท่องเหมือนเดิม เขาเห็นตะเกียงน้ำมันสีเหลืองจาง ๆ ตรงหน้าประตู เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ กับทรงผมแบบมวยสาวน้อย*[5] กำลังถือพัดในมือข้างหนึ่ง และอีกข้างหนึ่งถือไม้เขี่ยถ่าน ปากก็พึมพำท่อมคัมภีร์ เขาจึงไม่ได้ส่งเสียงรบกวน ทำแค่นอนฟังเงียบ ๆ
เหยียนซีหันกลับมาและเห็นดวงตาสีเข้มคู่นั้นอีกครั้ง เด็กหญิงตกใจมากจนพัดในมือร่วงตกพื้น “ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?”
ไม่เป็นไรแล้ว หน้าอกของเขายังคงขยับกระเพื่อม และอีกฝ่ายเพิ่งจะลืมตาขึ้นมองเธอ แสดงว่าเขายังไม่ตาย
เหยียนซีเดินไปที่ข้างเตียงพลางปลอบขวัญตัวเองในใจเช่นนั้น “ท่านป้าบอกว่าท่านไม่ได้กินข้าวมาสองสามวันแล้ว ตอนนี้เรามีน้ำมันรำข้าว ดื่มก่อนเถอะนะเจ้าคะ”
ธัญพืชห้าชนิดเป็นอาหารที่บำรุงร่างกายได้ดีที่สุด และต้องกินเมื่อล้มป่วย ทว่าตระกูลหลิวไม่มีเงินซื้ออาหารเหล่านั้น ดังนั้นน้ำมันรำข้าวที่ได้จากการเคี่ยวโจ๊กจึงไม่สามารถปล่อยให้สูญเปล่าได้
เหยียนซีเคยอ่านหนังสือ ว่ากันว่าน้ำมันรำข้าวมีสรรพคุณดีกว่าซุปโสม เธอจึงเกลี้ยกล่อมให้นางหวังทำกับข้าวสองอย่างแล้ววางถ้วยน้ำมันไว้ข้างเตายา
หลิวเอ้อร์หลางไม่พูดอะไร เขาลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง สูดลมหายใจและดื่มน้ำมันรำข้าวหนึ่งถ้วยภายในอึกเดียว เขาไม่รู้ว่าเป็นความร้อนจากเตายาหรือน้ำมันรำข้าว แต่หลังจากดื่มเข้าไปก็รู้สึกร้อนเล็กน้อยราวกับเขากำลังโดนขับเหงื่อออกมา
ไม่รู้ว่านางหวังกำลังทำอะไรอยู่นอกบ้าน แต่เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากในบ้าน นางจึงรีบเดินมาที่ประตู “เอ้อร์หลาง เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้าง?”
“ท่านแม่ ไม่เป็นไรขอรับ ข้า…แค่ก แค่ก…รู้สึกดีขึ้นแล้ว วันนี้ท่านเดินเหนื่อยมาทั้งวัน รีบพักผ่อนเถิด” อาการไอเช่นนี้แสดงว่าอาการดีขึ้น เพราะมันไม่เหมือนอาการไอที่เกิดจากปอดที่ย่ำแย่ลง
“เฮ้อ ไม่เป็นไร แม่ไม่เหนื่อยหรอก แม่จะไปดูว่าแม่ไก่สองตัวที่บ้านออกไข่หรือยัง ถ้าออกไข่แล้วพรุ่งนี้จะทำไข่ตุ๋นให้กิน” เมื่อเห็นว่าเอ้อร์หลางเติมน้ำมันรำข้าวอีกหนึ่งถ้วย นางหวังก็รู้สึกยินดีในใจ
เหยียนซีรอให้เขาอาหารย่อยสักพัก จากนั้นจึงเทยาที่ต้มเสร็จแล้วออกมาอีกหนึ่งชามแล้วให้อีกฝ่ายดื่ม
ตลอดหลายวันหลังจากนั้น น้ำมันรำข้าว ไข่ตุ๋นและยาต้มถูกสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปทุก ๆ วัน โดยไม่รู้ว่ายาที่เหอเซียนกูทิ้งไว้นั้นมีตัวยาที่เหมาะกับอาการ หรือว่านางมีพลังเหนือธรรมชาติจริง ๆ แต่เหยียนซีก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นการวินิจฉัยที่ผิดพลาดมากกว่า เพราะอาการของหลิวเอ้อร์หลางก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
นางหวังมีความสุขมาก นางเฝ้าถวายธูปสามดอกแก่เซียนกูทั้งตอนเช้าและเย็น แม้แต่การเดินเหินก็ยังมีพลัง
เหยียนซียังอดไม่ได้ที่จะลอบขอพรจากพระโพธิสัตว์ หลิวเอ้อร์หลางก็ดูจะไม่ได้ตายจริง ๆ เธอจึงไม่ต้องกังวลว่าจะปัดเป่าความชั่วร้ายไม่ได้ และโดนนางหวังโกรธ ในที่สุดชีวิตน้อย ๆ นี้ก็ได้รับการช่วยเหลือ
ไม่กี่วันมานี้ เหยียนซีดูแลเขาอย่างดีจริง ๆ เธอไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย ทั้งต้มยาในตอนเช้าและเทใส่ชามให้ดื่มในตอนเย็น เธอต้องตื่นมากลางดึกเพื่อดูว่าผ้าห่มของหลิวเหิงยังคลุมอยู่หรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงการออกจากห้อง เพราะเธอแทบไม่ออกห่างจากเตียงเลย
หญิงสาวอดทนจริง ๆ มีจังหวะที่ลอบมองออกไปนอกหน้าต่างสองสามครั้งในขณะที่ไม่มีใครสนใจเช่นกัน
บ้านของตระกูลหลิวดูจะห่างไกลสักหน่อย เพราะในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หญิงสาวไม่เห็นแม้แต่ชาวบ้านเดินผ่านมาเลยด้วยซ้ำ
นางหวังก็ไม่ออกจากบ้านด้วยเช่นกัน วันทั้งวันก็อยู่แค่ที่บ้าน
และในที่สุดทั้งสองคนก็สามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้เสียที
ในวันที่สิบห้า เวลารุ่งสาง หลิวเอ้อร์หลางพิงเสาเตียงและต้องการจะลงเดิน แต่พอนั่งอยู่บนขอบเตียง เขาก็รีบชักเท้ากลับอย่างรวดเร็ว เพราะเกือบจะเหยียบเหยียนซีที่กำลังหลับอยู่บนที่วางเท้า
เหยียนซีไม่รู้สึกตัวเลย เพราะตลอดหลายวันมานี้เด็กหญิงรู้สึกหวาดกลัวมาก ๆ แต่เมื่อวานนางหวังเชิญหมอจากตำบลมาตรวจชีพจร ท่านหมอบอกว่าเขาหายเป็นปกติแล้ว หลังจากพักผ่อนอีกสองสามวันก็จะไม่เป็นไร ทำให้ทันทีที่นางเสร็จงานก็ผล็อยหลับไปในคืนนั้นทันที
หลิวเหิงหลุบตามอง
เหยียนซียังเจริญอาหารในช่วงสองถึงสามวันที่ผ่านมา เด็กหญิงจึงไม่ได้ดูซีดเซียวและผอมแห้งเหมือนตอนมาที่นี่ครั้งแรกอีกต่อไป นางอยู่ในห้องโดยไม่ออกไปข้างนอก ทำให้ผิวขาวขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าก็มีเลือดฝาดและสามารถมองเห็นเค้าความงามได้จากใบหน้าของนาง
เมื่อพิจารณาจากการที่นางน่าจะมีอายุเพียงแปดหรือเก้าขวบ ทว่านางสามารถท่อง ‘คัมภีร์เต้าเต๋อจิง’ ได้ ฟังจากน้ำเสียงของนางก็รู้ได้ว่าอ่านตำรามามากหลาย บุคคลเช่นนี้ถูกขายในตลาดเพราะครอบครัวล่มสะลายหรือไม่? หรือมีภูมิหลังอย่างไรกันแน่?
[1] เซี่ยนซื่อ คือ การสอบท้องถิ่นระดับแรก
[2] ดาวเหวินฉวี่ คือ ดาวมงคลที่ส่งผลด้านการศึกษาหรือเทพฝ่ายบุ๋น
[3] เยวี่ยนซื่อ คือ การสอบท้องถิ่นระดับสาม
[4] คัมภีร์เต้าเต๋อจิง คือ คัมภีร์ลัทธิเต๋า ของเล่าจื้อ
[5] มวยสาวน้อยหรือมวยผมง่ามคู่ คือ ทรงผมยอดนิยมทำสำหรับสตรีที่อายุยังน้อย โดยแบ่งผมเป็นสองด้านแล้วเกล้าทั้งสองข้างเป็นมวย
MANGA DISCUSSION