บทที่ 169 เขย่าต้นไม้ใหญ่
เหยียนซีมองดูกลุ่มองครักษ์ของเว่ยเฉิงที่เคลื่อนตัวจากไป โดยที่ไม่สามารถยับยั้งรอยยิ้มบนใบหน้าของตนได้ และหลังจากนั้นไม่นานข่าวดีก็ปรากฏ
เธอพาเหยียนหลิ่วกลับไปยังร้านอาหาร ทว่ากลับไม่ได้สนใจที่จะจัดเตรียมน้ำหมักต่อ แต่เดินวนอยู่สองสามรอบ ทุบศีรษะตนเอง และตะโกนเรียกหวังชีให้เข้ามา ทั้งขอให้เขาหาใครบางคนไปส่งจดหมาย
เด็กหญิงสูดลมหายใจเข้าลึก ขณะมองดูหวังชีกำลังจะออกไปทำธุระ ก่อนเธอจะหันกลับมานั่งลงเพื่อเตรียมน้ำหมักสำหรับวันพรุ่งนี้
หัวหมูถูกซื้อมาอย่างเหมาะสม ดังนั้นเหยียนซีจึงไม่ปล่อยทิ้งให้เสียเปล่าสักส่วนเดียว
หลังจากต้มหัวหมูลงไปในหม้อใบใหญ่แล้ว ก็เฉือนหูหมู ลิ้นหมู และเนื้อส่วนหน้าออกมาทั้งหมด ขูดคราบขาวจนสะอาด ใส่ลงไปในน้ำแกงตุ๋นแล้วค่อย ๆ เคี่ยวเพื่อให้มีรสชาติดียิ่งขึ้น
กระดูกชิ้นใหญ่ถูกนำออกมาเคี่ยวในหม้อจนส่งกลิ่นหอม จากนั้นก็ใส่หน่อไม้แห้ง ถั่วงอก และกะหล่ำปลีลงไปเคี่ยวจนนุ่มอร่อย
แม้แต่สมองหมูยังนำมาทำเป็นเต้าหู้ตุ๋นสมองหมู
หลังจากเหยียนซีทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว หวังชีที่กลับมารับประทานอาหารก็อดยิ้มไม่ได้ “ซีเอ๋อร์ จะทำให้สวีโจวจือสารภาพความผิดในครั้งนี้ได้หรือไม่?”
เหยียนซีมองดูหวังชีที่คิดในแง่ดีจนเกินไป
“แล้วเราจะส่งจดหมายออกไปหรือไม่?”
“อย่างน้อยก็ต้องให้พวกผู้เฒ่าหวูโถวได้แก้แค้น และให้จวนตระกูลสวีได้ชดใช้ก่อน” ตระกูลสวีเปรียบดั่งต้นไม้สูงตระหง่าน และสิ่งที่พวกเขาสามารถลงมือทำได้ในตอนนี้คือการเขย่าต้นไม้สองสามครั้งเพื่อให้รากฐานของมันไม่มั่นคง
หวังชีรู้สึกผิดหวัง มันคงจะดีหากพวกเฉวียจือกับผู้เฒ่าหวูโถวสามารถทำการแก้แค้นได้ ทว่าเขาก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุขอีกครั้ง
คดีความระหว่างหลิวเหิงกับตระกูลสวีดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าก่อนที่เว่ยเฉิงจะเดินทางไปถึงที่หมาย สวีโจวจือได้จับตัวสมาชิกในครอบครัวและผู้ดูแลจวนของตน ส่งพวกเขาไปสารภาพผิดที่เมืองถงอัน
ทั้งสองสารภาพว่าเป็นการลงมือฆาตกรรม บอกว่าตอนที่เดินทางผ่านหย่งโจว พวกเขาได้ลองชิมรสชาติอาหารจากโรงน้ำชาอวี่เซิ่น เห็นว่ากิจการกำลังเฟื่องฟู จึงเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมาในหัว ผู้ดูแลขโมยตราสัญลักษณ์ของสวีโจวจือมาและออกคำสั่งปลอม ให้ชายทั้งสี่คนมาทำความผิดดังกล่าวที่หมู่บ้านหยางซาน
การสละเรือเพื่อรักษาขุนนางเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
กลายเป็นว่าตราสัญลักษณ์ของชายทั้งสี่เป็นสิ่งที่ถูกขโมยมาจากตระกูลสวี ทำให้พวกผู้เฒ่าหวูโถวต้องเดินทางออกมาจากฝูโจว การใส่ความบุคคลทั้งสี่เปรียบเสมือนการนำความคับข้องใจระหว่างตระกูลสวีกับตระกูลหลิวมาสู่พื้นที่สว่าง ตอนนี้ตระกูลสวียอมรับว่าตนเป็นผู้ส่งมือสังหารออกมาฆ่าคนแล้ว และดูเหมือนว่าคดีความจะปิดลงเพียงเท่านี้
เมื่อเว่ยเฉิงมาถึงเมืองหย่งโจว ผู้ว่าการประจำเมืองถงอันได้ปิดคดีความและส่งเนื้อหาทั้งหมดแล้ว
แรงจูงใจ พยาน และหลักฐานจากร่างกาย… ทุกอย่างลงตัว ทำให้คดีความถูกตัดสินอย่างเที่ยงตรง
เนื่องจากภายในครอบครัวของหลิวมีเพียงหลิวเหิงเท่านั้นที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และไม่มีใครเสียชีวิตลง คนแซ่สวีและผู้ดูแลที่มีเหตุจูงใจในการกระทำความผิด แต่มิได้ลงมือสังหารอย่างใด จึงกลายเป็นคดีที่ไม่ถึงขั้นต้องประหารชีวิต แต่ต้องถูกตัดสินให้เนรเทศเป็นระยะทางแปดร้อยลี้
อย่างไรก็ตาม หลังจากเว่ยเฉิงเดินทางมาถึงฝูโจว ชาวบ้านในฝูโจวก็กำลังทำเรื่องฟ้องร้องตระกูลสวีในข้อหาครอบครองที่ดิน และขูดรีดเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน
ภายใต้หลักฐานที่ชัดเจน ใต้เท้าสวีร้องไห้อยู่หน้าท้องพระโรงอย่างขมขื่น และสารภาพความผิด ทว่าจักรพรรดิเทียนฉีกลับตระหนักขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่เรือนมานานหลายปีแล้ว และสวีโจวจือ ลูกพี่ลูกน้องก็เป็นคนดูแลกิจการของครอบครัว แต่อย่างไรมันก็ไม่ใช่คดีร้ายแรง หลังจากถูกตำหนิ เขาก็ถูกปรับลดเงินเดือนนานกว่าครึ่งปี สมาชิกในตระกูลสวีหลายคนถูกตัดศีรษะและเนรเทศ ก่อนจะเวนคืนที่ดินให้กับเจ้าของเดิม
หลังจากได้ยินเรื่องดังกล่าว เหยียนซีรู้สึกว่าชาติที่แล้วใต้เท้าสวีคงจะกอบกู้จักรวาลเอาไว้ ชีวิตนี้จึงได้โชคดียิ่งนัก ไม่อย่างนั้นเขากับลูกพี่ลูกน้องจะรอดพ้นอันตรายตอนที่มีข่าวแพร่กระจายออกไปได้อย่างไร? สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับประวัติศาสตร์และเรื่องราวที่เธอเคยร่ำเรียนมาในชาติที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ไหนจะเรื่องประหารชีวิตเก้าโคตรอีก?
ทว่าหลังจากคิดพิจารณาดูแล้ว อาจจะเป็นเพราะหลักฐานมีไม่เพียงพอ และจักรพรรดิเทียนฉีเชื่อใจใต้เท้าสวีมิใช่หรือ
หลังจากตั้งหลักอยู่ในเมืองหลวงมานาน เธอได้ยินข่าวลือมามากมาย และมีข่าวลือว่าจักรพรรดิเทียนฉีทรงมีเมตตา ห่วงใยปวงประชา
แต่เหยียนซีกลับรู้สึกว่าเขาโชคดี ในขณะที่ตระกูลสวีกำลังทำหน้าอมทุกข์
ตั้งแต่ใต้เท้าสวีเข้ามาดำรงตำแหน่งทางราชการ เขาคอยช่วยเหลือจักรพรรดิเทียนฉีด้วยพรสวรรค์และวิสัยทัศน์ ทุกอย่างดำเนินการมาอย่างราบรื่นหลายทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่จักรพรรดิเทียนฉีขึ้นครองราชย์ ไม่เคยมีกรณีใดที่อีกฝ่ายจะถูกตำหนิในที่สาธารณะเลย
ขณะหนึ่ง ตระกูลสวีกลายเป็นบุคคลสำคัญในท้องพระโรง แต่บัดนี้แม้แต่ในเน่ย์เก๋อ ใต้เท้าสวียังเงียบเป็นส่วนใหญ่ และหยุดตัดสินใจใด ๆ อีก
เขาอดกลั้นจนกระทั่งกลับเรือน ทว่าสวีเฉิงกานกลับอดไม่ได้ที่จะเคืองโกรธ “ท่านพ่อ นี่ต้องเป็นฝีมือของเว่ยเฉิงแน่!”
สวีเฉิงผิงพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดเห็นของสวีเฉิงกาน “ท่านพ่อ ท่านคอยโน้มน้าวให้ฝ่าบาททรงเลือกองค์ชายซุ่นจวิ้นเป็นองค์รัชทายาทอยู่หลายหน ลูกเกรงว่าเว่ยเฉิงจะไม่พอใจ และคราวนี้พระองค์ส่งเขาออกจากเมืองหลวง ให้ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแทนพระองค์ แบบนี้นับว่าเป็นบทสรุปหรือไม่ขอรับ?”
สำหรับจักรพรรดิเทียนฉี เกรงว่ามันจะเป็นบทสรุป อย่างไรก็ยังมีอีกหลายคนที่จับจ้องไปยังบัลลังก์
“มาดูกันว่าเขาจะได้รับคำสั่งให้กลับมาที่เมืองหลวงหรือไม่” ใต้เท้าสวีหัวเราะ “ไม่ได้มีแค่ตระกูลของผิงอ๋องท่านเดียวซะหน่อย และถึงแม้ว่าจะมีเพียงแค่ตระกูลของผิงอ๋อง ข้าก็เกรงว่าอนุที่เคียงข้างเขานั้นจะไม่อาจนิ่งเฉยได้”
ตำแหน่งผู้ตรวจการแทนพระองค์ย่อมเป็นโอกาสอย่างแน่นอน ทว่าโอกาสที่เขาจะได้กลับเมืองหลวงหลังจากเสร็จธุระแล้วจะมีหรือไม่ หากสิ้นใจลงระหว่างทางจะกลายเป็นการสิ้นใจโดยเปล่าประโยชน์!
“ต้องการให้พวกข้าส่งจดหมายหรือไม่ขอรับ” สวีเฉิงกานรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“เจ้านั่งลงเสียก่อน” ใต้เท้าสวีจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ “อายุตั้งเท่าไหร่กันแล้ว ยังทำท่าทีใจร้อน จะส่งจดหมายให้ใครกัน? องค์ชายเฉิงจวิ้นอยู่ที่ไหน ฝ่าบาททรงทราบดี พวกขุนนางก็ทราบเช่นกัน แล้วเจ้ายังจะใจร้อนอีกหรือ?”
“ขอรับ ท่านพ่อ” สวีเฉิงกานไม่กล้าหุนหันพลันแล่นอีกเมื่อเห็นว่าใต้เท้าสวีกำลังโกรธเคือง ทว่าก็รู้สึกไม่เต็มใจนัก “หากเขาสามารถกลับมาที่เมืองหลวงได้จริง ๆ ล่ะขอรับ?”
“วันนี้ตอนที่ข้าเข้าไปยังห้องเก็บตำราของราชสำนัก ได้กลิ่นยาลอยฟุ้งออกมาทางด้านใน เกรงว่าพระวรกายของฝ่าบาทจะไม่แข็งแรงอย่างที่ลือกัน ตราบใดที่รัชทายาทยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง ทุกสิ่งก็ยังไม่แน่นอน ยามนี้ตระกูลของผิงอ๋องทรงอำนาจที่สุด และขึ้นอยู่กับว่าพวกอ๋องที่เหลือจะคิดอย่างไร”
ใต้เท้าสวีอดกลั้นอารมณ์ของตนด้วยการนั่งเงียบ อย่างน้อยเหล่าขุนนางในการกำกับดูแลของฝ่ายตระกูลสวีก็ไม่ได้ถูกระงับอำนาจในท้องพระโรง ดังนั้นเขาจึงปลอดภัยไร้กังวลอยู่
เหยียนซีไม่รู้เรื่องเหล่านั้น เมื่อได้รับจดหมายจากหลิวเหิงว่าไร้อันตรายใด ๆ เด็กหญิงจึงตั้งหน้าตั้งตาขายอาหารและทำโรงน้ำชาอย่างไร้กังวล
ใต้เท้าสวีหลุดพ้นข้อสงสัยจากคดีความในเมืองถงอัน ทว่าชาวบ้านทั่วไปกลับไม่สนใจ เพราะอย่างไรเสีย ตระกูลสวีก็เป็นดั่งครอบครัวของใต้เท้าสวีมิใช่หรือ? ตระกูลสวีหลงใหลในสูตรลับของโรงน้ำชาอวี่เซิ่น เพราะฉะนั้นใต้เท้าสวีเองก็ต้องหลงใหลในสูตรลับเช่นกัน?
เหตุผลดังกล่าวทำให้โรงน้ำชาอวี่เซิ่นขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
และเหยียนซีก็ใช้ประโยชน์จากทำเลที่ตั้งในเมืองหลวง ซื้อตำราจำนวนมากไปวางตกแต่งใส่โรงน้ำชาหลาย ๆ แห่ง
เนื่องจากโรงน้ำชาอวี่เซิ่นทำความดี นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนจึงยกย่องหลิวเหิงและเต็มใจยอมรับเขาเป็นศิษย์ ทว่าชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าตนเองเป็นศิษย์ของเผยซิ่ว จึงปฏิเสธความเมตตาของพวกเขาทีละคน
เผยซิ่วเข้าร่วมการทดสอบฮุ่ยซื่อในปีที่สิบของจักรพรรดิเทียนฉี และผ่านไปอย่างราบรื่น จนถูกบันทึกให้เป็นบัณฑิตขั้นสูงลำดับที่สิบเก้า และบังเอิญว่าตอนนั้นมีตำแหน่งนายอำเภอทางตอนเหนือว่าง กลุ่มคนเหล่านี้จึงถูกคัดเลือกและปล่อยตัวออกมา
การอยู่ห่างไกลเช่นตอนเหนือไม่สะดวกแก่การได้รับข่าวนัก แต่เขาก็ต้องการช่วยเหลือหลิวเหิงหลังจากที่ได้ทราบเรื่องราว ทว่ากลับไม่สามารถทำได้ จึงเขียนจดหมายสอบถามสหายที่สอบผ่านในปีเดียวกัน
หลังจากรู้เรื่องว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เผยซิ่วจึงถ่ายทอดประสบการณ์ของตนเองเกี่ยวกับการเข้าร่วมการทดสอบฮุ่ยซื่อในปีที่สิบของจักรพรรดิเทียนฉีและคัดลอกบทความจิ้นซื่อทั้งหมดที่ได้รับมาส่งไปให้หลิวเหิง โดยหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์แก่เขาในการเข้าร่วมทดสอบ
MANGA DISCUSSION