บทที่ 156 ศัตรูของศัตรู
กลับกลายเป็นว่าพวกเฉวียจือทั้งสี่คนมาจากฝูโจว
ชายทั้งสี่คนได้รับบาดเจ็บสาหัสและกลับมายังบ้านเกิด และหน่วยงานท้องถิ่นชดเชยเงินให้เพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้น
เมื่อพวกเขากลับมายังบ้านเกิดก็ค้นพบว่าไร่นาของตนถูกบ้านตระกูลสวียึดครองไปจนหมดสิ้นแล้ว
ใต้เท้าสวีได้เลื่อนตำแหน่งทีละขั้นในราชสำนัก ส่งผลให้จวนตระกูลสวีเริ่มมีชื่อเสียงในหมู่บ้าน
สวีโจวจือ ลูกพี่ลูกน้องใต้เท้าสวีเป็นเพียงแค่บัณฑิตซิ่วไฉ*[1] ทว่ากลับได้เป็นถึงหัวหน้าตระกูลสวี แม้แต่ท่านเจ้าเมืองยังกล่าวทักทายและโค้งคำนับครั้งเมื่อเจอหน้าเขา
ราชสำนักกล่าวว่าจู่เหรินทั้งหลายจะได้รับเงินบริจาค ทว่าสมาชิกจากตระกูลสวีกลับบีบบังคับให้พวกเขาขายที่ดินอุดมสมบูรณ์ในบริเวณใกล้เคียงทิ้ง เดิมที่ดินหนึ่งหมู่มีค่าหนึ่งถึงสองตำลึงเงิน ทว่าพวกเขากลับจ่ายเงินมาเพียงหนึ่งถึงสองตำลึงและยึดที่ดินไปจนหมด
ผู้ประสบภัยบางคนไปฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ที่ศาลาว่าการตำบล ทว่าศาลาว่าการตำบลกลับไม่รับคำร้อง
คนจากตระกูลสวีเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อย ๆ และบุกเข้ามายึดครองพื้นที่โดยตรง
ท่านพ่อท่านแม่ของคู่พี่น้องอาต้าอาเอ้อร์มีที่นาอยู่ข้างบ้านตระกูลสวี และบังเอิญไปเหยียบต้นกล้าสองสามต้นในทุ่งของจวนตระกูลสวี จวนตระกูลสวีจึงทุบตีชายชราจนสิ้นลมหายใจอย่างไม่ลดละ
เดิมทีผู้เฒ่าหวูโถวสอบขุนนางระดับต้นผ่าน จึงจำเป็นต้องแยกจากภรรยา รีบรับราชการทางทหารและถูกลากเข้าสมรภูมิรบ ทว่าหลังจากกลับมาที่นากลับหายไปจนหมด ส่วนภรรยาถูกสาวใช้จากบ้านตระกูลสวีเหยียดหยามจนปลิดชีพตนเอง
เฉวียจือมาจากตัวเมือง ครอบครัวเปิดร้านค้าขนาดไม่ใหญ่นัก ทว่าจวนตระกูลสวีต้องการขยายพื้นที่เรือน จึงใช้เงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินกว้านซื้อทรัพย์สินที่ครอบครัวของเขาครอบครองมาสามชั่วอายุคน พี่ชายปฏิเสธการลงนามในสัญญา แต่เมื่อปัญหามาถึงว่าที่การอำเภอ ผู้เสียหายกลับกลายเป็นจำเลย พี่ชายของเฉวียจือถูกโยนเข้าคุกและเสียชีวิตลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ท่านพ่อท่านแม่และพี่สะใภ้พากันไปร้องเรียนถึงฝูโจว แต่ระหว่างทางบังเอิญเจอคนเลวทราม จึงหาไม่เจอแม้กระทั่งศพ
พี่น้องหลายคนในฝูโจวถูกทำลายครอบครัวจนย่อยยับ จึงต้องการแอบเข้าไปล้างแค้นในเรือนตระกูลสวี
ทว่าเรือนตระกูลสวีกลับมีการปกป้องอย่างแน่นหนา มีโรงหมอหลายแห่ง สองกำปั้นของพวกเขาไม่อาจเทียบกับสี่กำมือได้ พี่น้องสามในเจ็ดคนเสียชีวิตลง พวกเขาทั้งสี่สามารถหลบหนีมาได้ ทว่าที่ว่าการอำเภอน้อยใหญ่ในฝูโจวกลับติดประกาศจับกุมพวกเขาทั้งสี่ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องซ่อนตัวอยู่ภายใต้ความเกลียดชัง
ต่อมาฝูโจวถูกน้ำท่วมฉับพลัน จวนตระกูลสวีต้องการรักษาผืนนาของตน จึงส่งคนไปขุดเขื่อนริมน้ำสองสามแห่ง เป็นผลให้น้ำท่วมสองมณฑลที่อยู่ต้นน้ำ…
ด้วยชื่อเสียงของใต้เท้าสวี ราชสำนึกจึงส่งข้าหลวงแทนพระองค์มาบรรเทาภัยพิบัติ สลายความคับข้องใจของผู้คน ลงมือสังหารแม้แต่ผู้หลบภัย เพียงเท่านี้เรื่องทั้งหมดก็จบลง
นอกจากนี้พวกเขาทั้งสี่คนบังเอิญได้รับจดหมายจากสวีโจวจือและใต้เท้าสวี กล่าวว่าพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้เขื่อนแตก ทว่าพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้เพียงร้องไห้ให้กับความอยุติธรรม อีกทั้งพวกเขาไม่มีกำลังเพียงพอที่จะเดินทางไปยังเมืองหลวง จำต้องขอทานและคอยหลบซ่อนตัว ต่อมาพวกเขาบังเอิญเจอกับหัวหน้าหวู่ที่หย่งโจว จึงตั้งรกรากอยู่ในวัดเก่า ๆ ทรุดโทรม
บุรุษที่มาจากฝูโจวจะมาจับตัวพวกเขาทั้งสี่คนหรือไม่?
ยิ่งเฉวียจือตระหนักถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกตนทั้งสี่คนไม่สามารถเข้ามาพัวพันกับหลิวเหิงและเหยียนซีได้มากเท่านั้น ทว่าพวกผู้เฒ่าหวูโถวทั้งสามคนยังอยู่ในหมู่บ้านหยางซาน… เพื่อไม่ให้คนทั่วไปได้รับบาดเจ็บ แม้แต่หัวหน้าหวู่ก็ไม่รู้เกี่ยวกับรายละเอียดในหน้าที่การงานของพวกเขา
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงตะโกนเรียกหลิวเทียนหนิว “ข้ามีเรื่องด่วนต้องรีบกลับไปหมู่บ้าน พวกเจ้าทั้งสามคนอยู่จัดการเรื่องในโรงน้ำชาก่อน หากมีเรื่องอะไรให้ร้องตะโกน แล้วคนจากสถานีฝั่งตรงข้ามจะเข้ามาช่วย”
ยามนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว หลิวเทียนหนิวจึงตอบตกลง “เอาล่ะ! ท่านไปทำธุระเถิด ช่วงบ่ายนี้ไม่มีแขกมากนักหรอก พวกข้าสามคนจับตาดูได้”
เฉวียจือสาวเท้าก้าวออกไป จนใจที่แม้ว่าเขาจะใจร้อน ทว่าขากลับไม่เร่งรีบตาม หลังจากเดินออกมาได้สักพัก เขาก็ได้ยินเสียงเกือกม้าดังมาจากข้างหลัง เพียงชั่วพริบตาคนทั้งสี่จากฝูโจวก็ควบม้าวิ่งนำหน้าเขาไป
เขาโกรธเคืองมากจนทุบตีขาของตนเอง ส่งผลให้กล้ามเนื้อท่อนขาสั่นเทา หลังจากความเจ็บปวดผ่านพ้นไป เขาก็ทำได้เพียงเดินอย่างยากลำบากไปข้างหน้า
หลังจากผ่านอำเภอหมิงสุ่ย เขารีบจ้างคนแบกหามให้วิ่งไปส่งยังหมู่บ้านหยางซาน ทว่าก่อนหน้านั้นเขาก็เข้าไปสอบถามโรงน้ำชาของหลิวชุนหนิว และพบว่าไม่มีคนต่างถิ่นเดินทางมาที่นี่ จึงรีบสงบสติอารมณ์และกลับไปยังบ้านตระกูลหลิว
หลิวเหิงกำลังอ่านตำราอยู่ในลานบ้านตระกูลหลิว อาต้า อาเอ้อร์และเหยียนเฟิงกำลังยุ่งอยู่กับการปลูกผลไม้ในไร่ ขณะที่เหยียนซีเฝ้าอิจฉาพวงองุ่นและลูกพลับในไร่ของคนอื่น พวกเขาปลูกพวกมันท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิ และหลิวเหิงเป็นคนขอให้ชาวบ้านนำต้นกล้ามาให้
เมื่อเห็นว่าเฉวียจือกลับมา อาต้าจึงกล่าวถามว่า “เหตุใดจึงกลับมาหรือ?”
“ผู้เฒ่าหวูโถวล่ะ? ข้ามีเรื่องจะบอกเขา”
“ที่ร้านมีเรื่องอันใดหรือ? ข้ากับคุณหนูจวนจะไปฝูโจวอยู่พอดี ข้าบอกเจ้าก็ได้ หวังชีกำลังไปหารือเรื่องเปิดโรงน้ำชาอีกสองแห่ง…” อาเอ้อร์กล่าวยืดเยื้อไม่เข้าเรื่อง
หลังจากที่ผู้เฒ่าหวูโถวเดินทางไปยังโรงน้ำชาสาขาหน่วยงานไปรษณีย์หวังอันกับเหยียนซี ก็เกิดความสนใจในการทำกิจการน้ำชาขึ้นมา อาต้าอาเอ้อร์ต่างพากันอิจฉาริษยา เนื่องจากการกินข้าวและนั่งอยู่บ้านเฉย ๆ เป็นเรื่องเลวร้าย ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนแปลงผักของบ้านตระกูลหลิวอีกครั้ง ปลูกกุยช่าย ผักกวางตุ้ง และต้นหอมเป็นต้น อีกทั้งตอนนี้ก็กำลังยุ่งอยู่กับการปลูกผลไม้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทำไร่ทำนามาหลายปี ทว่ามันกลับเป็นงานถนัดที่พวกเขาทำมาตั้งแต่ยังเด็ก
ยามนี้แม้แต่เหยียนเฟิงยังถูกพวกเขาทั้งสองคนลากมาทำไร่ทำนาด้วยกัน ดังนั้นเด็กชายจึงได้เรียนรู้วิธีการทำไร่มากมาย
เฉวียจือกังวลมากจนอยากกระทืบเท้า ทว่าก็ไม่ต้องการให้หลิวเหิงกับเหยียนเฟิงสังเกตเห็น จึงขยิบตาเรียกพวกอาต้าอาเอ้อร์ “คนจากฝูโจวมาที่นี่!”
“อะไรนะ?”
“เงียบ!” เฉวียจือจ้องมองอาต้า “พวกเราห้ามให้พวกคุณชายมาเกี่ยวข้อง รีบไปเร็วเข้า…”
ใบหน้าของอาต้ามืดลง มันไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะได้รู้สึกราวกับอยู่บ้าน…
“ทว่าจะไปแบบนี้มันไม่ถูกต้อง! หากคนพวกนั้นคิดว่าคุณชายและคุณหนูช่วยซ่อนพวกเราเอาไว้ แล้วมาสร้างปัญหาให้พวกเขา…” อาเอ้อร์รู้สึกว่าการวิ่งหนีไปเช่นนี้มันไม่ถูกต้อง
อาต้าคิดว่าสิ่งที่น้องชายกล่าวนั้นถูกต้อง หากวิ่งหนีไปอาจทำให้หลิวเหิงและเหยียนซีเดือดร้อนได้ “พวกมันรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราอยู่ที่นี่? พวกเราไปลงมือสังหารพวกมันก่อนดีหรือไม่?”
ครั้งเมื่อเฉวียจือกลับมา เขาก็ต้องการบอกให้ทั้งสามคนหลบหนีไปด้วยกัน ทว่าก็กลับลังเลเมื่อได้ยินคำพูดของพวกอาต้า หากพวกเขาจากไปเช่นนี้ คนจากจวนตระกูลสวีจะไม่มีวันปล่อยให้หลิวเหิงกับเหยียนซีอยู่รอดปลอดภัยเป็นแน่ ดังนั้นจะไม่ทำให้พวกเขาเดือดร้อนได้อย่างไร?
“รอผู้เฒ่าหวูโถวกลับมา เราทั้งสี่ค่อยปรึกษาหารือเรื่องนี้ดีหรือไม่?” ใบบรรดาพวกเขาทั้งสี่คน ผู้เฒ่าหวูโถวมักเป็นผู้ตัดสินใจเสมอ ทว่าก็กลับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะกลับมาตอนไหน
พวกเขาทั้งสามคนกระซิบกันอยู่ครู่หนึ่ง ทว่ากลับไม่อาจหาวิธีการแก้ไขปัญหาได้ ในใจต้องการที่จะจากไป แต่ก็กังวลว่าจะทำให้หลิวเหิงกับเหยียนซีต้องเดือดร้อน
เหยียนเฟิงมองทั้งสามคนกระซิบกระซาบกันด้วยสายตาแปลกประหลาด เหลือบมองพวกเฉวียจือทั้งสามคน ก่อนเดินย่องเข้าไปหาหลิวเหิง กล่าวสั้น ๆ ว่า “นายท่าน ศัตรูของพวกเขาอยู่ที่นี่ ตอนนี้พวกเขากำลังคิดจะหนีขอรับ”
เหยียนเฟิงกล่าว เชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อย และเหลือบมองพวกเฉวียจือทั้งสามคน พวกเขาคิดว่าหน่วยกล้าตายอย่างเขาเป็นเพียงสิ่งของวางแสดงหรืออย่างไร? กล่าวกระซิบกระซาบอยู่ใต้จมูก คิดว่าเขาจะไม่ได้ยินหรืออย่างไร?
“เจ้า… เจ้าเด็กน้อยนี่แอบฟัง!” อาต้าอารมณ์เสีย รีบสาวเท้าเดินเข้าไปและยกกำปั้นขึ้น
เหยียนเฟิงหันหลังกลับ และกล่าวคำว่า “ช้าก่อน!” อย่างโกรธเคือง
อาต้าโกรธเคืองจนร้องตะโกน อดที่จะทุบตีเหยียนเฟิงสักสามร้อยครั้งไม่ไหว
แม้จะเพิ่งเคยมาอยู่ด้วยกัน ทว่าพวกเขากลับรู้สึกว่าเหยียนเฟิงราวกับไก่อ่อน ตอนที่ถือจอบครั้งแรก ก็ไม่รู้ว่าจะต้องถือจอบอย่างไร หรือเป็นเพราะพวกเขาชอบตำหนิติเตียน? เจ้าเด็กคนนี้ก็เลยมีความแค้นใช่หรือไม่?
เฉวียจือห้ามปรามพวกเขาเมื่อเห็นว่าอาต้า อาเอ้อร์ และเหยียนเฟิงกำลังจะทะเลาะเบาะแว้งกันอีกครั้ง
ในเมื่อเหยียนเฟิงรู้เรื่อง เฉวียจือจึงไม่ได้ปิดบังอะไรอีกต่อไป และกล่าวกับหลิวเหิงว่า “คุณชาย แท้จริงแล้วศัตรูของพวกเรามาจากฝูโจว พวกเราเกรงว่าหากยังอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไปจะต้องทำให้ท่านกับคุณหนูต้องเดือดร้อน”
“ฝูโจวหรือ?” หลิวเหิงลุกขึ้นยืนครั้งเมื่อได้ยินชื่อสถานที่
จนถึงบัดนี้ เฉวียจือไม่จำเป็นต้องปิดซ่อนอะไรอีก เขากัดฟันและเล่าถึงความเป็นปฏิปักษ์กับใต้เท้าสวีภายในลมหายใจเดียว “คุณชาย ท่านกำลังจะได้เป็นขุนนาง หากท่านพาพวกเราทั้งสี่ไปส่งให้ใต้เท้าสวีเพื่อความดีความชอบ ท่านก็พาพวกเราไปวันนี้เลย พวกเราไม่โกรธท่านหรอกขอรับ”
หลิวเหิงตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด นี่คือสิ่งที่ซีเอ๋อร์กล่าวถึงอยู่บ่อยครั้งว่าศัตรูของศัตรูคือมิตรใช่หรือไม่?
เขายิ้มเจ้าเล่ห์ “เกรงว่าคนจากฝูโจวจะไม่ได้มาหาพวกเจ้า แต่มาหาพวกข้าเสียมากกว่า”
[1] บัณฑิตซิ่วไฉ หมายถึง บัณฑิตที่สอบผ่านระดับท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นระดับหมู่บ้าน ตำบล หรืออำเภอ
MANGA DISCUSSION