บทที่ 153 วันที่จดหมายกระดาษส่งถึงเมืองหลวง (รีไรท์)
เหยียนซีตระหนักได้ว่าการทำธุรกิจเป็นเรื่องของความปรารถนาดีและการตลาดย่อมเป็นอย่างเดียวกัน นั่นคือการทำแขกมีความสุข เมื่อแขกมีความสุขกิจการก็จะเจริญรุ่งเรือง
สองบุรุษได้กลิ่นหอมโชยออกมาจนรู้สึกกระหายเป็นอย่างมาก แต่ในทางกลับกันกลับติดปัญหาเรื่องศักดิ์ศรี
เหยียนซีจึงกล่าวตามขั้นตอน ครั้นเมื่อเธอป่าวประกาศออกไปจบ หัวหน้าคาราวานพ่อค้าทั้งสองต่างก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ฮ่าฮ่า เจ้านี่ฉลาดพูดทีเดียว”
เหยียนซียิ้มแย้มและกล่าวว่า “พวกข้าเพิ่งทำพะโล้กันในวันนี้ และท่านทั้งสองจะเป็นผู้ลิ้มลองรสชาติอาหารอันโอชะคนแรก นับว่าเป็นโชคดีโปรดมานั่งลงที่นี่กันก่อน ต้องการชาถ้วยใหญ่หรือข้าวต้มกุ๊ยกันหรือ?”
เธอพาบุรุษทั้งสองไปนั่งลงในห้องรับรอง เหยียนซีส่งสัญญาณให้หลิวจิ้นเป่านำขาหมูและหางหมูขึ้นมา “ครั้นจะดื่มชายามเช้าคงไม่ไหวนัก ข้าแนะนำว่าพะโล้สองชิ้นนี้กินกับข้าวต้มกุ๊ยจะอร่อยกว่า”
“ได้ ข้าจะรับอาหารตามที่เจ้าว่า สหาย นำข้าวต้มกุ๊ยหนึ่งถ้วยมาบริการพวกข้าก่อนเถิด” ทั้งสองคิดว่าการทะเลาะเบาะแว้งยามเช้าตรู่ไม่คุ้มค่านัก นอกจากนี้เนื้อก็ยังเหลืออยู่ “พวกข้าฟังเจ้าแล้ว เราจะไม่ทะเลาะกันอีก”
แต่ละคนได้รับข้าวต้มกุ๊ยและพะโล้ตามจำนวนที่หลิวจิ้นเป่าแบ่งเอาไว้
หัวหน้ากลุ่มมองดูก้านไม้ไผ่ในหม้อดิน “อันนี้ขายอย่างไรบ้าง?”
“หนึ่งอีแปะได้สามไม้ เลือกได้ตามใจชอบขอรับ” หลิวจิ้นเป่ารีบเข้ามากล่าวแนะนำ
“ขออาหารเสียบไม้ให้ข้าหน่อย” คนกล่าวถามสั่งอาหารสองสามไม้ และพร่ำบ่น “ยามเช้าโรงน้ำชาของพวกเจ้าขายอาหารน้อยเกินไป ไม่มีแม้แต่ซาลาเปา ข้าวต้มกุ๊ยก็ประทังความหิวโหยไม่พอ”
หลิวจิ้นเป่าชี้ปลายนิ้วไปยังไข่ไก่ที่เป็นสีดำผสมสีแดง “ไข่ใบชาของพวกเราก็มีรสชาติดีเหมือนกันนะขอรับ ท่านต้องการลองสักหน่อยไหม?”
“ได้ เอามาให้พวกข้าสักห้าฟอง”
“พวกข้าเอาหกฟอง”
หัวหน้ากลุ่มพ่อค้าทั้งสองคนซื้อไข่ใบชาให้สหายคนละหนึ่งฟอง ไข่ใบชาถูกหมักเป็นเวลาหนึ่งคืน หลังจากกัดเข้าไปเพียงแค่หนึ่งคำ กลิ่นหอมและรสเค็มอร่อยก็ติดค้างอยู่ในลำคอ
“ไข่พวกนี้อร่อยมาก ผู้จัดการร้าน ตอนพวกข้าผ่านมา เหตุใดจึงไม่เคยเห็นมันวางขายมาก่อน?”
“นี่คือรายการอาหารใหม่จากโรงน้ำชาของพวกเรา หากพวกท่านทั้งสองคิดว่ามันอร่อย สามารถนำติดตัวไปทานข้างทางได้ ไม่ว่าจะร้อนหรือเย็น ไข่ใบชาจะมีรสชาติดีอยู่เสมอขอรับ” หลิวจิ้นเป่าถือโอกาสขายมัน
ถึงแม้ว่าจะมีราคาฟองละสามอีแปะ ทว่ากองคาราวานกลับบรรจุไข่ลงไปในโหลและจากไปอย่างพึงพอใจ
หลิวจิ้นเป่าสังเกตเห็นว่าไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่ในหม้อน้ำหมักสีขาวและสีแดง “เจ้านาย เจ้าของสิ่งนี้ขายดีจริง ๆ ขอรับ โดยเฉพาะไข่ไก่ มันมีกลิ่นหอมโชยมาก ยามเช้าโรงน้ำชาของพวกเรามีอาหารน้อยเกินไป บัดนี้โชคดีที่มีไข่ไก่เข้ามาเพิ่ม และพวกขาหมูก็ขายหมดหลังจากนั้นไม่นานขอรับ”
หากมีขาหมูสักแปดขา บัดนี้น่าจะขายได้พอเหมาะสม
เหยียนซียิ้ม “สำหรับน้ำหมักสีแดง เมื่อเติมเครื่องพะโล้ลงไปในหม้อแรกแล้ว จงใส่ขาหมู หางหมู และกระดูดติดมันลงไปด้วย หากไม่ใส่น้ำหมักไข่ใบชาและเต้าหู้จะจมลง และจงต้มไข่เพียงแค่วันละร้อยฟองก็พอ”
ตามจริงแล้วไข่ใบชาค่อนข้างเหมือนไข่พะโล้ กระนั้นเหยียนซีกลับเรียกมันว่าไข่ใบชา เพื่อทำให้ทุกคนรู้สึกว่ามันอยู่เหนือมาตรฐานและเป็นจุดขายอย่างหนึ่ง
“อ๊ะ!” หลิวจิ้นเป่าตอบตกลง “เจ้านาย ต้องใส่น้ำหมักบ่อยแค่ไหนขอรับ?”
“หลังจากปรุงหม้อนี้จนได้ที่แล้ว ปรุงยามค่ำอีกครั้ง ปล่อยให้มันเย็น จากนั้นจึงใส่ของลงไปตุ๋น พอเช้าวันรุ่งขึ้นได้รสชาติพอเหมาะจะได้นำออกไปขาย”
เมื่อหมักลงไปแล้ว น้ำซุปคงจะอยู่ได้นานใช่หรือไม่? หลิวจิ้นเป่าคิดเช่นนั้น และมีความสุขขึ้นมาทันทีเมื่อคิดว่าน้ำหมักหม้อนี้คงจะอยู่ตลอดไป
การวางขายในช่วงเช้าตรู่ ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะขายไม่ออก นอกจากนี้ แม้ว่าข้าวต้มกุ๊ยจะมีราคาน้อยกว่าหนึ่งอีแปะ ทว่าอาหารเสียบไม้มังสวิรัติสามไม้กลับมีราคาถึงหนึ่งอีแปะ และสามารถทำกำไรได้มากโข ไม่ว่าอยากจะเสียบวัตถุดิบเข้าไปมากขนาดไหน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนไม่เกินหนึ่งก้านไม่ไผ่
ไข่ไก่หนึ่งฟองมีราคาเพียงแค่หนึ่งถึงสองอีแปะเท่านั้น ขณะที่เต้าหู้แห้งกับฟองเต้าหู้มีราคาแพงกว่า และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ห้าจากสิบส่วน
ด้วยกระบวนการหมักทั้งสองหม้อนี้ กำไรของโรงน้ำชาอวี่เซิ่นจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว
ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าเหลือจำนวนไข่ไก่ไม่มากนักจึงส่งคนออกไปซื้อมาเพิ่มอีกหนึ่งตะกร้า และนำลงมาต้มในน้ำหมักอีกครั้ง
เหยียนซีบอกให้เขาวางน้ำหมักไว้ที่สวนหลังบ้าน และตั้งหม้ออีกใบไว้ข้างหน้า “ต่อไปเอาไข่ใบชามาใส่ไว้ในหม้อนี้ เติมใบชาและซีอิ๊วขาวลงไปในหม้อ แล้วก็เอาหม้อไปวางอุ่นบนเตาถ่าน”
เหยียนซีเตรียมวัตถุดิบในการหมักพะโล้มาอีกสองสามถุง เหลือทิ้งไว้ในโรงน้ำชา เธอสอนกระบวนการหมักที่ดีให้แก่หลิวจิ้นเป่า และน้ำหมักสดใหม่ที่โรงน้ำชาสาขาที่ทำการไปรษณีย์หวังอีก็เป็นที่ยอดนิยมมาก โดยทั่วไปแล้วโรงน้ำชาแห่งอื่นสามารถทำตามได้ ทว่าการต้มไข่ใบชาและอาหารเสียบไม้ให้สุกรวมถึงการเตรียมน้ำหมักค่อนข้างยาก ขณะที่ส่วนอื่น ๆ ค่อนข้างง่ายดาย
เหยียนซีเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านหยางซาน หลังจากทดลองหมักน้ำดองสองสามหม้อ เธอพบสูตรทำน้ำดองฉบับรวดรัดตัดตอน เพียงแค่เพิ่มซอสถั่วเหลืองลงไปในส่วนผสม
เธอทำบรรจุภัณฑ์หลายสิบถุงภายในคราวเดียว และยังคงใช้หม้อขนาดเท่าเดิม ใส่น้ำลงไปในถุงเท่าไหร่ สามารถปรุงอาหารได้มากแค่ไหน รวมถึงวิธีการจัดการกับมันในครั้งที่สอง เธอเขียนรายการสรุปอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนสามารถเรียนรู้ได้
ด้วยกรรมวิธีปรุงพะโล้ทำให้กำไรของโรงน้ำชาอวี่เซิ่นเพิ่มเป็นสองเท่า
ภายในเดือนสองปีเดียวกัน กำไรสุทธิของโรงน้ำชาทั้งสี่แห่งมีมากกว่าหกร้อยเหรียญตำลึง ประชากรหลั่งไหลเข้ามายังสาขาที่ทำการไปรษณีย์หลินสุ่ยกับสาขาที่ทำการไปรษณีย์หวังอันเป็นจำนวนมาก แม้แต่โรงน้ำชาในหมู่บ้านหยางซานก็สามารถสร้างรายได้มากกว่าหนึ่งร้อยเหรียญตำลึง
เมื่อเห็นว่ากิจการกำลังมั่นคง หวังชีจึงพาพวกพ้องสองสามคนออกเดินทางจากสถานีไปรษณีย์หวังอันขึ้นไปยังทางทิศเหนือ เขาเลือกโรงน้ำชาแห่งที่ห้า ซื้อที่ดินและเริ่มก่อสร้าง หากเร็วที่สุดอาจจะได้เปิดทำการในเดือนสาม
ในหมู่บ้านหยางซาน โรงเรียนบ้านตระกูลหลิวก็ได้เริ่มต้นขึ้นเช่นกัน
หลิวเหิงก้าวไปข้างหน้าและเชื้อเชิญบัณฑิตเก่าแก่ให้เข้ามานั่งลงในห้องโถง บัณฑิตเก่าแก่ผู้นี้มีอายุอานามเกือบห้าสิบปีแล้ว เขาสอบตกระดับท้องถิ่นอยู่หลายหน จึงยุติชื่อเสียงทางวิชาการและมอบที่ให้ผู้อื่นนั่งอย่างสิ้นหวัง
แม้ว่าเขาจะสอบจู่เหรินไม่ผ่าน ทว่าความรู้ของเขาเต็มเปี่ยมและการสอนของเขาก็ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน
หลิวเหิงเชื้อเชิญเขามาเป็นการส่วนตัวจนบัณฑิตเก่าแก่รู้สึกว่าตนเองได้รับเกียรติ นอกจากนี้หมู่บ้านหยางซานยังเชื้อเชิญเขามาด้วยความจริงใจ และเสนอค่าตอบแทนการสอนหนังสือสูงลิ่ว เขาจึงตอบตกลง
ห้องเรียนบ้านตระกูลหลิวอยู่ถัดจากห้องโถงไว้ทุกข์บรรพบุรุษ ครั้งเมื่อลูกเล็กเด็กแดงเดินเข้ามาห้องเรียน พวกเขาจะต้องเห็นธงแห่งความสำเร็จและชื่อเสียงตั้งตระหง่านอยู่เหนือศีรษะ
หลิวเหิงเป็นแขกรับเชิญในฐานะวิทยากร คอยไปกล่าวบรรยายที่ห้องโถงไว้ทุกข์บรรพบุรุษเมื่อมีเวลาว่าง หมู่บ้านใกล้เคียงบางแห่งต้องการรู้แจ้ง จึงส่งลูกหลานมายังหมู่บ้านหยางซาน ขณะเดียวกันห้องเรียนบ้านตระกูลหลิวก็ยอมรับพวกเขาและให้ทุกคนเข้ามาเรียนรู้ด้วยกัน
บัดนี้หมู่บ้านหยางซานเต็มไปด้วยตำราหนังสือและผู้ที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียน
โรงน้ำชาอวี่เซิ่นสาขาต่าง ๆ ของเหยียนซีมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น หลังจากจัดวางแบบแปลนโรงน้ำชาสาขาที่ทำการไปรษณีย์หวังอันเสร็จสิ้น โรงน้ำชาสาขาอื่น ๆ ก็ได้รับการออกแบบให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนต้อนรับมีชั้นวางอยู่ทางด้านขวาของประตูทางเข้า ในขณะที่ชั้นหนังสือถูกวางไว้ข้างผนังฝั่งตรงข้ามประตู
หนังสือที่นี่ล้วนได้รับการคัดลอกสำเนามาจากตำราข้อสอบระดับท้องถิ่น การสอบเขตปกครอง และการสอบทั่วไป
หากปราชญ์ในละแวกใกล้เคียงต้องการอ่านหนังสือ พวกเขาก็สามารถเข้ามาอ่านในห้องรับรองของโรงน้ำชาได้ และหากต้องการยืมก็แค่ลงนามชื่อ ถิ่นกำเนิด และวันที่ยืมหนังสือบนสมุดบันทึก จากนั้นก็นำหนังสือไปอ่านได้และนำมาคืนเมื่ออ่านจบ
แม้นจะปราชญ์จำนวนไม่มากนัก ทว่าชั้นวางหนังสือเหล่านี้กลับทำให้ผู้คนต่างพากันชื่นชม
นายอำเภอหงที่เข้ามาดำรงตำแหน่งต่อมีความปลื้มปีติมากเมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากนายอำเภอจง เขาพบว่ามีใครบางคนในอำเภอกำลังสนับสนุนหนังสือให้ผู้อื่นเรียนรู้โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ถือเป็นการสร้างคุณประโยชน์ให้แก่หมู่บ้าน นายอำเภอหงจึงเขียนจดหมายยกย่องหลิวเหิงเป็นกรณีพิเศษ
จดหมายดังกล่าวถูกส่งจากเมืองหย่งโจวไปยังมือของหยางซูถา เขาคิดว่านี่เป็นส่วนที่ช่วยเสริมผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการและการเมืองของตนเอง เขาจึงจงใจเขียนปรุงแต่งเกินจริงลงบนจดหมายที่ถูกส่งไปยังเมืองหลวง
ครั้งเมื่อจดหมายมาถึงเมืองหลวง กลับกลายเป็นวันที่ประกาศผลการสอบพอดี
MANGA DISCUSSION