บทที่ 146 วางเครือข่าย
เหยียนซีมองดูใบหน้ายิ้มแย้มด้านล่าง และกล่าวว่า “ผู้จัดการร้านย่อมรู้ผลกำไรของโรงน้ำชาดีที่สุด จำต้องคำนวณบัญชีทุกเดือน หากแต่ผลกำไรตลอดทั้งสามเดือนไม่เพียงพอต่อค่าจ้างที่จ่ายให้พนักงานทั้งสี่คน โรงน้ำชาที่มีอยู่จะต้องปิดตัวลง ทว่าหากมีผลกำไรมากกว่า กำไรหนึ่งในสิบส่วนจะให้เป็นเงินรางวัลของผู้จัดการร้าน และอีกหนึ่งส่วนจะถูกแบ่งออกไปให้คนครัวและเสี่ยวเอ้อร์เท่า ๆ กัน และจะมีการมอบเงินอั่งเปาให้แก่คนงานเบ็ดเตล็ด”
หลังจากหลิวจิ้นเป่าเข้ามารับผิดชอบหน้าที่เป็นผู้จัดการร้านได้สองสามวัน ก็เข้ามาร่วมทำบัญชีกับหลิวชุนหนิวทันที
เงินเดือนของพนักงานทั้งสี่คนในโรงน้ำชาอยู่ที่หนึ่งพันหนึ่งร้อยอีแปะ
วันที่มีกำไรน้อยที่สุด โรงน้ำชาได้รับกำไรเพียงแค่แปดสิบเจ็ดอีแปะ ขณะที่มากสุดอยู่ที่สองร้อยอีแปะ แม้จะเก็บเงินได้เพียงวันละแปดสิบอีแปะ แต่กลับมีกำไรอยู่ที่สองพันสี่ร้อยอีแปะต่อเดือน นั่นหมายความว่ากำไรในช่วงสิ้นปีได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ว่าจะได้รับหนึ่งถึงสองตำลึงเงิน
แม้นผู้อื่นจะไม่เข้าใจส่วนที่เหลือ ทว่าหลิวจิ้นเป่ากับหลิวชุนหนิวกลับยิ้มแย้มเมื่อได้ยินเสียงพึมพำ รู้สึกว่าเงินเดือนของพวกเขาดีงามเกินกว่าจะควรได้รับ
สิบสองชีวิตพากันกระซิบกระซาบ ตื่นเต้นมากจนเกิดเสียงดังระงม
เหยียนซีไม่อาจห้ามปรามได้ จึงปล่อยให้ทุกคนค่อย ๆ คิดพิจารณา
หลิวเหิงไม่เคยทำบัญชีมาก่อน ตอนนี้เองเขาจึงได้รู้ว่ามีวิธีการเชื่อมโยงค่าจ้างและผลกำไรด้วย ด้วยวิธีการเช่นนี้ ความกระตือรือร้นในการทำงานของทุกคนจะต้องสูงขึ้น
ยิ่งพวกหลิวจิ้นเป่าปรึกษาหารือกันมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งมีความสุขกันมากเท่านั้น เหยียนซียิ้มแย้มและกล่าวว่าจะมีช่วงพัก ขอให้ทุกคนได้ลองของว่างก่อน และขอให้เหยียนหลิ่วรินชาร้อนให้ทุกคน
หลังจากพักผ่อน เหลือบมองว่าทุกคนรับประทานอาหารว่างเสร็จเรียบร้อย จึงว่ากล่าวบทสนทนาเช่นเคย
เหยียนซีเคาะโต๊ะพลางยิ้มแย้ม และกล่าวว่า “ทุกท่านคิดออกกันแล้วหรือยัง? ว่าเงินที่ผู้จัดการร้านได้รับจะเป็นเท่าใด?”
“เป็นจำนวนมากขอรับ”
“นี่เป็นเรื่องแค่ตอนนี้เท่านั้น รอให้โรงน้ำชาเปิดอีกสองสามแห่งเสียก่อน ค่าจ้างของพวกท่านทุกคนจะต้องเปลี่ยนแปลงไปแน่ พวกท่านจะได้รับเงินมากขึ้น แต่เงินจำนวนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้มาครอบครอง เอาล่ะ ขนมชิ้นนั้นกับขนมลาม้วนตัวมีรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”
ขนมผักกาดกับขนมลาม้วนตัวงั้นหรือ?
หัวข้อบทสนทนาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จนทุกคนลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวขึ้นว่า “อร่อยขอรับ”
ยามที่กำลังพูดคุยสนทนาอยู่นี้ ทุกคนไม่ได้ให้ความสนใจกับรสชาติที่รับประทานเข้าไปมากนัก
“อร่อยอย่างไรหรือ? มีอะไรอยู่ในนั้น? รสชาติออกหวานหรือเค็ม? พวกท่านลิ้มลองรสชาติขนมผักกาดหรือขนมลาม้วนตัวก่อน?”
“อา?” ทุกคนต่างตกตะลึง และอ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่ บอกว่าขนมแป้งทอดผักกาดที่พวกเขากินกันเข้าไปมีรสชาติค่อนข้างหวาน และต่างกล่าวว่าขนมลาม้วนตัวที่ลองนั้นมีใส่ไส้ถั่วแดงกวน
เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังจะมีปากเสียงกันอีกครั้ง เหยียนซีก็ยกยิ้มและกล่าวถามว่า “พวกท่านดูสิว่าใครเปลี่ยนตำแหน่งบ้าง?”
ทุกคนต่างมองหน้ากันและกัน และรู้ว่าตำแหน่งของผู้คนในห้องโถงหลักไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
เหยียนซีชี้เรียวนิ้วไปที่เฉวียจือ “เขาสลับที่กับผู้เฒ่าหวูโถว” จากนั้นจึงชี้ไปที่เหยียนเฟิง “บัดนี้เหยียนเฟิงไม่ได้อยู่ในห้องโถง และกำลังจะนั่งลง”
“ในฐานะผู้จัดการร้าน ทุกท่านต้องจับตาดูทิศทางและรับฟังบทสนทนาของลูกค้าที่อยู่ในห้องรับรองของโรงน้ำชาทั่วทุกสารทิศ มองแวบแรกต้องรู้ว่าลูกค้าคนใดเจ้าอารมณ์ ลูกค้าประเภทใดต้องการนั่งพักเฉย ๆ และไม่ต้องการเสียเงิน อีกทั้งลูกค้าประเภทใดที่เข้ามาใช้บริการโรงน้ำชาของเราเป็นครั้งแรก กองคาราวานมักจะผ่านมายังบนถนนสายนี้… และนั่นคือสิ่งที่พวกท่านทุกคนต้องจดจำให้ขึ้นใจ”
“ลูกค้าเจ้าอารมณ์ควรรีบบริการอาหารให้ว่องไว หากลูกค้าไม่ต้องการใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย จงเชื้อเชิญเขาให้มานั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่นเสีย วันสองวันนี้จะมีกองคาราวานเดินทางผ่านถนนสายนี้อีกครั้ง จงจับตาดูลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเป็นครั้งแรก พิจารณาว่าพวกเขามาจากหย่งโจวหรือกำลังจะเดินทางไปที่ใด” เหยียนซีกล่าวถึงสถานการณ์ทั้งหลายภายในลมหายใจเดียว “กิจการของพวกเราไม่ใช่การซื้อขายเพียงครั้งเดียวแล้วจึงจบสิ้น เช่นเดียวกับกองคาราวานที่แวะเวียนมายังโรงน้ำชาในวันนี้ ท่านพี่ชีแลกเปลี่ยนบทสนทนากับพวกเขา พวกเขากล่าวว่าจะเดินทางผ่านมาทุก ๆ สิบวันหรือมากกว่านั้น เพราะฉะนั้นร้านค้าจำต้องเตรียมข้าวเตรียมผักเอาไว้ให้ดี จองที่นั่งให้พวกเขาสักสองสามที่ และบริการน้ำขิงเมื่ออากาศเริ่มเย็นลง”
เหยียนซีกล่าววิเคราะห์อย่างเชื่องช้า ขณะที่ทุกคนพากันพยักหน้า คิดว่ามันค่อนข้างสมเหตุสมผล เฉวียจือกับผู้เฒ่าหวูโถวที่ออกตะเวนทั้งคืน จับตามองเหยียนซีอยู่หลายครั้ง คุณหนูกำลังสอนวิธีการเป็นผู้จัดการร้านอยู่หรือ? เช่นนั้นจะรู้สึกอย่างไร เมื่อทราบว่าคนที่สอดแนมอยู่ในกองทัพรู้เรื่องเช่นนี้มาตั้งแต่เแรก?
ครั้งเมื่อเหยียนซีเห็นว่าไม่มีการคัดค้าน จึงประกาศว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปให้ทุกคนสังเกตลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามา รวมถึงลูกค้าในร้านที่สัญจรไปมา
“อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ทุกท่านมีโอกาสเป็นผู้จัดการร้าน และในการเป็นผู้จัดการโรงน้ำชาอวี่เซิ่นนั้นจะว่าเรียบง่ายก็เรียบง่าย แต่จะต้องมีความสามสิ่งนี้” เหยียนชีชูสามนิ้วขึ้นมา “ประการแรก จะต้องอ่านเขียนและทำบัญชีได้ อย่างที่ข้าบอกไป พวกท่านจะต้องรู้อักขระอย่างน้อยห้าสิบตัวอักษร ประการที่สอง จำต้องทำหน้าที่รับผิดชอบงานทั้งหมดในโรงน้ำชา ประการที่สาม จะต้องรู้จักสังเกตการณ์”
“หากผ่านสองประการแรกมาได้ พวกท่านก็มีสิทธิ์ได้เป็นผู้จัดการร้าน หากผ่านสามประการก็จงนั่งรอตำแหน่งได้เลย ทว่าหากบกพร่องประการที่สามก็จงกลับไปเริ่มต้นใหม่ สำหรับผู้ใดที่กลายมาเป็นผู้จัดการร้านแล้ว ข้าจะทำการทดสอบเช่นกัน หากบุคคลอื่นในโรงน้ำชาสามารถผ่านทั้งสามประการได้ แต่ผู้จัดการร้านกลับไม่ผ่าน ข้าจะปลดออกและรอให้คนอื่นขึ้นมาแทน”
เป็นไปได้หรือที่ก้าวถอยหลังลงจากตำแหน่งผู้จัดการ? หากเป็นเช่นนั้นมันคงน่าอับอายเกินกว่าจะก้าวถอยกลับมา
แม้นคนอื่นไม่รู้สึกอะไร ทว่าหลิวจิ้นเป่ากลับประหม่า “จะทดสอบอันใดหรือขอรับ?”
“ทดสอบสถานการณ์ของแขกที่ข้ากล่าวถึง หลังจากหน้าที่การงานประจำวันสิ้นสุดลง ผู้จัดการร้านควรจะบอกข้าได้ว่าวันนี้มีแขกพิเศษเข้ามาหรือไม่ มีแขกผ่านมาจากทางอื่นหรือไม่”
หลิวจิ้นเป่าพยักหน้า กล่าวว่าเป็นเช่นนั้นคงไม่ยากนัก ท้ายที่สุดก็มีคนจำนวนไม่มากนักที่แวะเวียนผ่านเข้ามาบนถนนสายหลัก ส่วนใหญ่เป็นคนในหมู่บ้านและอำเภอใกล้เคียง จึงง่ายแก่การจดจำ
“นอกจากนี้ ทุกท่านจำต้องจดจำหนึ่งสิ่งเอาไว้ให้ขึ้นใจ การทำงานในโรงน้ำชา ปากท้องของทุกคนเป็นสิ่งสำคัญ โรงน้ำชาได้เงินต่อวันเท่าไหร่ เดือนหนึ่งสามารถทำเงินได้เท่าไหร่ ผู้ใดที่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป จงออกไปทันที และอย่ากล่าวว่าข้าไร้น้ำใจ”
เหยียนซีกล่าววาจาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ดูสง่างามเสียจนทำให้ผู้คนยืดตัวตรง และพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า
“ข้าเชื่อว่าพวกท่านปากแข็งพอตัว ทว่ากลับคนในครอบครัวเล่า? ไหนจะญาติในตระกูล? ดังนั้นพวกท่านควรตัดสินใจเอาเองว่าจะกล่าวเรื่องนี้กับใครในครอบครัวหรือไม่ ยามนี้การเรียนรู้เรื่องคุณงามความดีจบลงเพียงเท่านี้”
เหยียนซีลุกขึ้น ขณะที่เหยียนเฟิงและเหยียนหลิ่วเดินขึ้นไปเปิดประตูหลัก มองดูผู้คนเดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทั้งหมดก้าวออกไปด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด
“คุณหนู หากผู้จัดการร้านทำได้อย่างที่ท่านกล่าว ก็จะสามารถรับรู้แหล่งข่าวทั้งหมดบนถนนสายทางการเลยนะขอรับ” ผู้เฒ่าหวูโถวกล่าวชื่นชมเหยียนซี
เหยียนซียิ้ม “ข้าได้ยินพี่เอ้อร์หลางบอกว่าท่านกับท่านลุงเฉวียจือเคยลาดตระเวนในกองทัพกลางดึก ครั้งหน้าข้าอยากให้พวกท่านทั้งสองมาคอยสอนพวกเขาถึงวิธีการจับตาสังเกตการณ์ ไม่ต้องรู้มากนัก ขอแค่สังเกตการณ์เป็นเท่านั้นก็พอ ท่านคิดว่าพอจะทำให้ได้หรือไม่?”
ทักษะการจดจำผู้คนที่เธอรู้ล้วนเป็นประสบการณ์ด้านการตลาดและการติดต่อกับลูกค้า ดังนั้นเด็กหญิงจึงหวังว่าผู้จัดการโรงน้ำชาจะมีทักษะการกรองข่าวเบื้องต้น
ดั่งที่ผู้เฒ่าหวูโถวกล่าวเอาไว้ เมื่อโรงน้ำชาอวี่เซิ่นเปิดให้บริการนานขึ้น ตราบใดที่ผู้จัดการร้านมีทักษะสังเกตการณ์เบื้องต้น นอกจากกิจการจะสร้างรายได้แล้ว พวกเขายังจะมีเครือข่ายข่าวกรองเพิ่มอีก และจากข่าวกรองเหล่านั้น เธอมั่นใจว่าจะได้ยินและเห็นข่าวคราวอีกหลายอย่าง นอกจากนี้สถานภาพทางสังคมของเด็กหญิงก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
“คุณหนูเห็นชอบ แล้วพวกเราจะกล่าวอ้างอันใดได้อีก?” ผู้เฒ่าหวูโถวตอบรับโดยไม่ลังเล
กระบวนการเรียนรู้คุณงามความดีขั้นตอนที่สองจบลงแล้ว พวกผู้เฒ่าหวูทั้งสี่คนรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับผู้ฝึกหัดทั้งสิบสองคน พวกเขาต่างคาดหวังกับตระกูลหลิวเอาไว้อย่างสูง
MANGA DISCUSSION