บทที่ 142 บุรุษมากปัญหาทั้งสี่คน
“ท่านยินดีจะใช้งานพวกข้าหรือขอรับ?” อาต้าถามด้วยความประหลาดใจ ทั้งผสมไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ เขาอ้าปากพูดเสียงดัง จนคล้ายว่าเสียงนั้นจะทำให้ขี้เถ้าบนหลังคาวัดถูกสลัดออกไป
หลิวเหิงพยักหน้า “เพียงแต่ช่วงนี้โรงน้ำชาของข้ายังเปิดไม่ได้ อีกทั้งน้องสาวข้าก็เป็นคนจัดการงานในบ้าน ..เช่นนั้นพวกท่านไปที่บ้านข้ากันก่อนก็ได้ขอรับ”
หวู่โถวเอ้อร์ยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินดังกล่าว “นายท่านหลิว หากท่านต้องการรีบเปิดโรงน้ำชา หอฝั่งซ้ายของทางหน่วยงานไปรษณีย์ทรุดโทรมแล้ว ทำไมท่านไม่เอาไปใช้งานก่อนล่ะขอรับ?”
เขาคาดไม่ถึงว่าหลิวเหิงผู้เป็นปัญญาชนจะกล่าวทักทายเหล่าอดีตทหารที่ไร้ประโยชน์ และยอมให้พี่น้องทั้งสี่คนไปทำงานด้วย เขากล่าวว่าน้องสาวเป็นผู้รับผิดชอบกิจการในตระกูล จึงเกรงว่านางจะไม่เห็นด้วย และอาจจะยังไม่สามารถเปิดโรงน้ำชาได้สักพักหนึ่ง
ทว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเด็กสาวผู้นั้นหวาดกลัวบุรุษทั้งสี่และปฏิเสธที่จะจ้างงาน? ตอนนั้นเขานึกถึงหอฝั่งซ้ายของหน่วยงานไปรษณีย์ มันไร้ประโยชน์มานานแล้วและตอนนี้กำลังขาดคนดูแล แล้วเหตุใดเขาจึงไม่ให้บ้านตระกูลหลิวเช่าและเปิดใช้งานก่อนเล่า?
อีกทั้งการใช้หอของหน่วยงานไปรษณีย์ของหลินสุ่ยที่มีตัวเขาเป็นหัวหน้ารับผิดชอบ จึงไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรงว่าบ้านตระกูลหลิวจะไม่ว่าจ้างพวกผู้เฒ่าหวูโถว
หลิวเหิงคาดไม่ถึงว่าหัวหน้าหน่วยงานไปรษณีย์จะมีแผนการแยบยล แม้ยามนี้เขาจะตอบตกลงว่าจ้างพวกผู้เฒ่าหวูโถวแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำที่กล่าวจากปากของหัวหน้าหน่วยงานไปรษณีย์ จิตใจที่พร่ามัวก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาทันที เขาปกป้องตนเองยังไม่อาจทำได้ ไฉนจึงไปปกป้องผู้อื่นอีกเล่า?
มันมีปัญหาใดหากจะลงมือช่วยเหลือพวกเขา ทว่าถ้าการกระทำนี้ลากพวกเขาไปสู่หายนะเสียเองเล่า.. จะทำอย่างไร
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวกับพวกผู้เฒ่าหวูโถวทั้งสี่ว่า “มีสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่กล้าบอกพวกท่าน ทว่าหากจะปิดบังไว้ก็คงไม่ได้เช่นกัน ปีนี้บ้านข้าเกิดเรื่องขึ้น… และไม่รู้ว่าจะเกิดอันใดขึ้นในอนาคตอีกหรือไม่”
“เกิดอันใดขึ้น? หรือว่าท่านจะเป็นจู่เหรินที่มารดาถูกสังหารคนนั้น?” เฉวียจือมองดูหลิวเหิงและถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
หลิวเหิงคาดการณ์ไม่ถึงว่าคนเหล่านี้จะรู้เรื่อง จึงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ข้านี่แหละหลิวเหิงคนนั้น”
เรื่องราวตระกูลของหลิวเหิงได้รับการเผยแพร่ไปทั่วทั้งเมืองถงอัน และแน่นอนว่าพวกผู้เฒ่าหวูโถวทั้งสี่ก็ได้ยินเช่นกัน เหล่าทหารที่ไม่ต้องเฝ้ายามยามวิกาลล้วนเป็นบุคคลกล้าหาญ ระมัดระวัง ทั้งยังเฉลียวฉลาด พวกเขามีความรู้ความสามารถมากกว่าคนทั่วไปที่เอาแต่ขุดหาอาหารในท้องไร่ท้องนา ทั้งสี่ตระหนักได้ถึงเรื่องที่ปิดบังเอาไว้ได้ในทันทีที่ได้ยินถ้อยคำที่คลุมเครือของหลิวเหิง
ดูเหมือนว่าหวู่โถวเอ้อร์ที่คะยั้นคะยออยู่จะรู้สึกลังเล แม้ว่าเขาจะต้องการหาทางให้พี่น้องทั้งหลายมีชีวิตรอด ทว่าก็ไม่ต้องการให้พวกเขาเข้าไปปนเปื้อนมลทิน คนทั่วไปต่างหลงเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากความโชคร้ายของบ้านหลิวเหิง แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวอ้างจากพวกเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ทุกคนต่างคาดเดากันว่านายท่านจู่เหรินคงไปทำให้ผู้สูงศักดิ์ขุ่นเคืองเข้าแล้ว
อำเภอหลินสุ่ยค่อนข้างเงียบสงบ ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นมานาน ทว่าตระกูลของนายท่านหลิวกลับต้องเผชิญหน้ากับหายนะ กล่าวกันว่าฆาตกรไม่ได้มาปล้นทรัพย์ เช่นนั้นหากมิใช่การแก้แค้นแล้วจะเป็นอะไรไปได้?
บุคคลที่ดูถูกเหยียดหยามนายท่านจู่เหริน คงจะเป็นขุนนางที่อยู่เบื้องบนใช่หรือไม่?
เขาเสียใจยิ่งนัก คิดจะหาทางให้พี่น้องทั้งสี่คนมีชีวิตรอด ทว่ากลับมีคนมาอุดรูเสียได้? แม้ไม่จบชีวิตในสมรภูมิ แต่กลับต้องมาเป็นสหายกับคนที่ถูกหมายหัว
หลังจากหวู่โถวเอ้อร์ก้าวออกมาจากสมรภูมิรบ ความกล้าหาญนั้นก็ลดน้อยถอยลง ขณะที่ความเศร้าโศกต่อชีวิตกลับเพิ่มมากขึ้น แม้อยากจะเปิดปากบอกว่าลืมมันไปเถิด แต่กลับคาดไม่ถึงว่าบุรุษทั้งสี่จะหันไปจ้องหน้ากัน และผู้เฒ่าหวูโถวก็ก้าวขึ้นมา พร้อมกล่าวว่า “พวกเราพี่น้องขอบคุณคำพูดเมื่อครู่ของนายท่านหลิวมาก พวกข้าคืบคลานออกมาจากความตายแล้ว ตอนนี้พวกข้าไม่หวั่นเกรงวิญญาณชั่วร้ายที่กระหายเลือดอีกต่อไป ทั้งไม่เกรงกลัวปัญหาใด ๆ ที่อาจทำให้สิ้นใจทั้งสิ้น ในเมื่อท่านมอบอาหารให้พวกข้า พวกข้าก็จะทำงานตอบแทนให้ท่าน!”
“ข้าสามารถเอาเงินสามสิบตำลึงซื้อที่ดินในมณฑลและช่วยพวกท่านทั้งสี่ให้ลงหลักปักฐานได้…”
“ไม่ พวกข้าไม่ต้องการเงิน แต่ขอติดตามท่านไปด้วยเถิดขอรับ” ผู้เฒ่าหวูโถวตอบตัดสินใจแทนบุรุษทั้งสี่อย่างชัดถ้อยชัดคำ และไม่ได้หันไปมองคนอื่นที่ส่งสายตาปฏิเสธ
“ได้! เช่นนั้นทุกคนกลับไปกับข้าก่อนเถิดขอรับ” หลิวเหิงไม่รู้สึกลังเลอีกต่อไป และกล่าวเชื้อเชิญ
“ในเมื่อข้าต้องทำงานให้ท่านแล้ว เรามาให้คำมั่นสัญญากันเถิด จากนี้ไปข้าขอขายวิญญาณให้แก่บ้านตระกูลหลิว!” ผู้เฒ่าหวูโถวกล่าว
“ท่านทั้งสี่ไม่จำเป็นต้องทำอันใดหรอกขอรับ แค่มาเป็นสหายกับบ้านข้าก็พอ”
“ความจริงแล้วพวกข้าทั้งสี่คนอยากขายวิญญาณเป็นทาสรับใช้เพื่อหาเลี้ยงชีพมานานแล้วขอรับ แต่ไม่มีใครยอมซื้อ ในเมื่อท่านมองเห็นคุณค่าของพวกข้า เหตุใดท่านถึงไม่ซื้อพวกข้าเสียเลยเล่าขอรับ” ผู้เฒ่าหวูโถวกล่าวยืนกราน “แต่พวกข้าก็มีศัตรูเช่นกัน เพื่อไม่ให้ท่านต้องมาลำบาก พวกข้าจะไม่กล่าวถึงบ้านเกิดเมืองนอนให้ท่านฟัง หากในภายภาคหน้าพวกข้าจำต้องลาจาก ท่านก็ต้องขายพวกข้าออกไป”
พวกเขาทั้งสี่คนไม่มีบุตรชายบุตรสาว ไม่มีญาติพี่น้อง มีเพียงความเกลียดชังที่ยากจะกำจัด และจำต้องหาหลักแหล่งเพื่อพักพิง จึงเกิดความคิดที่จะขายตนเองเป็นทาสมาตั้งแต่เริ่มแรก ถึงกระนั้นพวกเขากลับไร้แขนขา เคยสังหารผู้คนมามากมาย คนทั่วไปจึงรังเกียจและไม่ต้องการพวกเขา แม้แต่ซ่องโสเภณีหรือบ่อนพนันก็ยังต่างพากันรังเกียจพวกเขา และพวกเขาไม่ต้องการทำงานช่วยเหลือคนชั่วร้ายด้วยเช่นกัน
พวกเขารู้สึกว่าเสี่ยวจู่เหรินคนนี้ค่อนข้างมีจิตใจฮึกเหิม หากอีกฝ่ายไปทำให้ผู้ใดขุ่นมัวเข้า พวกเขาที่ขายตัวเป็นทาสจะคอยต่อสู้ปกป้องรักษาชีวิตของชายหนุ่มไว้ให้จงได้ และต่อให้พวกเขาทั้งสี่ต้องจบชีวิตลง มันก็แค่สิ้นอายุขัยมิใช่หรือ?
ทว่าหากมีชีวิตรอด และมีโอกาสได้แก้แค้นเอาคืนในภายหน้า พวกเขาจะเป็นฝ่ายขอจากไปเอง
หัวหน้าหน่วยงานไปรษณีย์อดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้า “เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ปล่อยวาง!?”
“หวู่โถวเอ้อร์ พวกข้าไม่ปล่อยหรอก เหตุใดเจ้าคนป่าเถื่อนจึงไม่สังหารพวกเราในสนามรบเสีย ปล่อยให้พวกข้ามีชีวิตรอดกลับมาทำไม? พวกต้าซวงต้องสิ้นใจลงอย่างไม่ยุติธรรม…” ผู้เฒ่าหวูโถวกล่าวขณะกัดฟัน
หลิวเหิงคาดการณ์ไม่ถึงว่าบุรุษทั้งสี่จะยังมีศัตรูบาดหมาง “ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือขอรับ? ข้าจะพยายามช่วยเท่าที่จะเป็นไปได้…” น้ำเสียงช่วงท้ายแผ่วบางเบา และเขายังมีความอาฆาตหลงเหลืออยู่
“นายท่านหลิว เรื่องนี้ท่านคงช่วยพวกเรามิได้หรอก ท่านอย่าได้ถามเลย พวกข้าจะขายตัวเป็นทาสรับใช้ให้ตระกูลหลิว แต่เมื่อถึงเวลาต้องลาจาก ได้โปรดคืนสัญญาว่าจ้างให้พวกเราด้วยเถิดขอรับ”
การขายตัวให้บ้านตระกูลหลิว อันดับแรกจึงต้องมีที่อยู่ถาวรเสียก่อน
“ท่านไม่ต้องห่วงหรอกขอรับ พวกข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านเข้ามาพัวพันเป็นแน่!”
“พวกเราต่างมีปัญหาของตนเอง จะมากล่าวว่าพัวพันหรือไม่ได้อย่างไร ตอนนี้พวกท่านทั้งสี่ก็มาที่บ้านข้าก่อน มีความเห็นอย่างไรค่อยมาลงนามในสัญญา” เมื่อกล่าวเช่นนั้น หลิวเหิงก็ไม่ได้ปฏิเสธอีกต่อไป พลางนึกถึงเรื่องตระกูลของตนเอง ไม่ว่าบุรุษทั้งสี่จะมีปัญหาอะไร ปัญหาเหล่านั้นคงจะมีสาเหตุมาจากครอบครัวของอีกฝ่ายเอง
หวู่โถวเอ้อร์มองดูพี่น้องชายทั้งสี่ และรู้สึกยากที่จะเอ่ยปากพูด
“โถวเอ้อร์ พวกข้าพอกันทีกับชีวิตที่ไม่มีหลักมีแหล่ง นอกจากนี้หากท่านหลิวจู่เหรินเดินทางไปเมืองหลวง พวกข้าก็จะติดตามนายท่านไปที่เมืองหลวงเช่นกัน” ตาเฒ่าหวูโถวกล่าวกับหัวหน้าหน่วยงานไปรษณีย์
“ย่อมได้ แค่พวกเจ้าติดตามท่านหลิวจู่เหรินไปทำหน้าที่ให้ดีก็พอ ประการแรกเลยเจ้าต้องมีชีวิตรอดกันให้ได้” หัวหน้าหน่วยงานหวู่ออกคำสั่ง
หลิวเหิงเป็นคนรอบคอบและประสบความสำเร็จในการทำสิ่งต่าง ๆ เสมอ เดิมทีเขาไม่ใช่คนกระตือรือร้นและมีพิธีรีตองอะไร แต่เมื่อมีหวังชีเข้ามา เขากลับพาบุรุษทั้งสี่กลับมาบ้านด้วยความหุนหันพลันแล่น ถึงจะทำไปแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจ
พวกเขายังไม่สามารถป้องกันตัวเองได้เลย ทว่าเขากลับพาบุรุษมากปัญหาทั้งสี่กลับมาบ้าน เช่นนั้นแล้วซีเอ๋อร์จะไม่ขุ่นเคืองได้อย่างไร?
ทว่าชั่วขณะนั้นเขาไม่อาจระงับความหลงใหลในใจ และเฝ้าดูบุรุษกล้าทั้งสี่ผู้ฟาดฟันกับศัตรูเพื่อบ้านเมืองล้มลุกคลุกคลานบนพื้นถนนได้
แม้ว่าผู้เฒ่าหวูโถวและอีกสามคนจะพิการ ทว่าพวกเขาก็มีแรงทำงานหากกินอิ่มนอนหลับ ดังนั้นซีเอ๋อร์ก็ควรจะเห็นชอบด้วยใช่หรือไม่?
“น้องสาวใจดีมีเมตตา” หลิวเหิงชะงักในทันทีเมื่อได้ยินเสียงเหยียนเฟิงดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขากล่าวประโยคพวกนั้นออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวหรือ?
“เสี่ยวเฟิง เจ้าพูดก็ถูก ซีเอ๋อร์ให้ความสำคัญกับความชอบธรรมและใจดีมีเมตตา หากนางเห็นเช่นนี้ก็คงจะทนไม่ไหวและทำเช่นเดียวกับข้า”
ความจริงแล้วท่านเป็นคนจิตใจงดงาม เหยียนเฟิงพึมพำในใจ ทว่าไม่ได้กล่าวออกไป เขาแหงนหน้ามองฟ้าแล้วอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดคนใจดีถึงได้อับโชคนัก?
MANGA DISCUSSION