บทที่ 140 จำต้องหาพรรคพวก
ความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวงล้วนแต่เป็นเรื่องใหญ่
เหยียนซีกับหลิวเหิงยังคงยุ่งอยู่กับการเปิดร้าน
หลิวเหิงพาเหยียนเฟิงไปที่ทำการไปรษณีย์หลินสุ่ย เพื่อถามไถ่กับหัวหน้าว่าพวกตนสามารถเปิดโรงน้ำชาด้านข้างที่ทำการไปรษณีย์ได้หรือไม่
สถานีไปรษณีย์หลินสุ่ยตั้งอยู่บริเวณสามแยกบนถนนของอำเภอหมิงสุ่ยที่มุ่งหน้าไปยังอำเภออื่น ๆ หากจะเดินทางไปเมืองถงอัน จะต้องข้ามผ่านถนนเส้นนี้ไปเสียก่อน และมีกองคาราวานไม่น้อยที่เตร็ดเตร่กันอยู่บนท้องถนน
ในฐานะที่เป็นหน่วยงานขนส่งเอกสารสำหรับราชสำนัก และจัดหาที่พักฟรีให้กับข้าราชการที่ต้องออกเดินทางไปทำงานต่างถิ่น สถานีไปรษณีย์ส่วนใหญ่จึงตั้งอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
ทุกวันนี้คนส่งจดหมายส่วนใหญ่ในแคว้นเว่ยล้วนเป็นทหารที่ได้รับมอบหมายหน้าที่มาจากกรมกลาโหม ดังนั้นจึงมีบางส่วนที่ถูกคัดเลือกให้มาเป็นคนส่งจดหมาย และบางส่วนต้องไปเป็นทหาร
หัวหน้าหน่วยงานไปรษณีย์หลินสุ่ยเป็นชายชราผมหงอก สวมเสื้อผ้าซอมซ่อที่มีคำว่า “จดหมาย” ติดอยู่
เขาจ้องมองหลิวเหิงด้วยสายตาแปลกประหลาด เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายกล่าวว่าต้องการเปิดโรงน้ำชาข้าง ๆ หน่วยงานไปรษณีย์ “หลิวจู่เหริน หน่วยงานของเราให้บริการอาหารฟรีแก่เจ้าหน้าที่ทั้งหลาย”
“ท่านผู้เฒ่า ข้าเห็นว่าพวกท่านทำงานหนัก ยุ่งอยู่กับงานส่งจดหมายทุกวัน หากโรงน้ำชาของข้าเปิดขึ้นเมื่อไหร่ พวกคนใหญ่คนโตที่ผ่านไปมาคงจะอยากลิ้มลองอาหารชนบทกันน่าดู ดังนั้นภาระงานของพวกท่านก็จะลดน้อยลงมิใช่หรือขอรับ?”
หลิวเหิงเคยได้ยินว่าข้าราชการที่แวะเวียนมาอาศัยอยู่ในหน่วยงานไปรษณีย์ล้วนแต่เป็นบุคคลเจ้ากี้เจ้าการ หากไม่ได้รับการบริการเป็นอย่างดี หัวหน้าหน่วยงานก็จะไม่ได้รับรางวัล และอาจจะเปลี่ยนเป็นได้รับความเดือดร้อนแทน
หน่วยงานไปรษณีย์ตั้งอยู่ในชนบท คนปรุงอาหารทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นคนหยาบกระด้าง และแน่นอนว่าอาหารเหล่านั้นไม่ได้มีรสเลิศ อีกทั้งทุกสถานีย่อมต้องเลี้ยงม้าเลี้ยงลาไว้ข้างเคียง ดังนั้นสภาพแวดล้อมด้านสุขอนามัยนั้นไม่ได้ดีมากนัก
ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการเดินทางไปมา แล้วเข้าพักเพื่อทำภารกิจ เจ้าหน้าที่ข้าราชการและคนในหน่วยงานจำต้องสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้กันและกันเสมอ
หลิวเหิงกล่าวว่าโรงน้ำชาสามารถค้าขายอาหารได้ ดังนั้นมันน่าจะช่วยผ่อนหนักเบางานให้กับหน่วยงาน
หัวหน้าหน่วยงานจ้องมองเหยียนเฟิงด้วยสายตาที่ขุ่นมัวอยู่นาน ก่อนจะหันไปมองหลิวเหิงอีกครั้ง ทว่ากลับไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา
เหยียนเฟิงมีสัญชาตญาณว่องไวกับผู้ที่ลงมือสังหารคนเป็นอย่างมาก เขาก้าวเข้าไปใกล้อีกครึ่งก้าว พิจารณาว่าหัวหน้าหน่วยงานเคยเป็นทหารในกองทัพ จึงไม่แปลกหากจะมีกลิ่นคาวเลือดจากการสังหารฟุ้งออกมา
หลิวเหิงยื่นถุงเงินออกไป เมื่อเห็นว่าหัวหน้าหน่วยงานไม่ปริปาก “หากโรงน้ำชาของข้าทำกำไรได้ ข้าจะไม่มีวันลืมพวกท่านที่ต้องทำงานหนักเลยแม้แต่น้อยขอรับ”
ดวงตาของหัวหน้าหน่วยงานเป็นประกายแวววาว นี่อีกฝ่ายกำลังติดสินบนตนอยู่ใช่หรือไม่? หน่วยงานยากจน ถูกตีตราลงโทษบ่อยครั้งกว่าการได้รางวัล ยากนักที่จะได้บำนาญเป็นข้าวมาครอบครอง แม้แต่คนส่งจดหมายที่มาใช้บริการยังต้องนำอาหารแห้งติดตัวกันมาเอง
ผลตอบแทนส่วนใหญ่ที่ได้รับมาบ้างนั้น ล้วนแต่เป็นน้ำมันและน้ำเปล่า แม้จะมีเงินรางวัลจากเหล่าข้าราชการที่เข้ามาพักผ่อนระหว่างเดินทางออกมาทำธุระอยู่บ้าง ทว่าคนที่ถูกทุบตีและก่นด่าแทนกลับมีมากกว่า
บำนาญข้าวมีมูลค่าประมาณสี่เฟินต่อวัน และถุงเงินในมือของชายหนุ่มตรงหน้ามีมูลค่าเท่ากับรายได้หนึ่งเดือนของเขา
เขาคาดไม่ถึงว่าเลยว่าหลิวเหิงที่ดูคล้ายเรียบง่าย จะเป็นปัญญาชนที่รู้ความเช่นนี้ ใบหน้าที่แข็งทื่อก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม “หากท่านจะเปิดร้าน ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของท่านแล้ว พวกข้ามีหน้าที่แค่คอยปกป้องสถานีให้สงบสุขเพียงเท่านั้น”
เนื่องจากหน่วยงานไปรษณีย์อยู่ภายใต้การปกครองของกรมกลาโหม จึงมีหน้าที่ปราบปรามกลุ่มโจรในบริเวณใกล้เคียง อีกทั้งหน่วยงานแต่ละแห่งยังเป็นป้อมปราการท้องถิ่นสำหรับราชสำนัก
“ขอรับ เพราะข้าเองก็คิดว่าอยู่ใกล้หน่วยงานไปรษณีย์จึงจะปลอดภัย ทว่าข้าไม่รู้ว่าการเปิดโรงน้ำชาใกล้ที่นี่จะมีกฎเกณฑ์อันใดบ้างหรือไม่?”
หัวหน้าหน่วยงานชี้นิ้วไปยังที่ดินรกร้างฝั่งตรงข้ามกับหน่วยงาน “ที่ดินรกร้างผืนนั้นทางราชสำนักไม่ได้เป็นเจ้าของ หากหลิวจู่เหรินต้องการ จำต้องซื้อมันกับทางการเสียก่อน แล้วจึงจะสามารถเปิดโรงน้ำชาได้อย่างสะดวก”
“เป็นเช่นนั้นเองหรือ ขอบคุณมากขอรับท่านผู้เฒ่า” หลิวเหิงพลางเข้าใจ เมื่อรู้ว่าที่ดินรกร้างผืนนั้นไม่มีผู้ใดครอบครอง ดังนั้นราคาจะต้องย่อมเยา หลังจากนี้เพียงแค่ต้องหาพ่อค้าคนกลางไปเจรจาหารือกับทางการให้พอเป็นพิธี
โดยปกติแล้วพื้นที่รอบข้างของหน่วยงานไปรษณีย์ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ใต้อำนาจของกองทัพ อีกทั้งกองทัพกับทางการนั้นไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน
ตราบใดที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นขายที่ดินไร้เจ้าของ และหน่วยงานไปรษณีย์ไม่สนใจโรงน้ำชา ก็จะไม่มีใครเข้ามาวุ่นวายกับกิจการของพวกเขาได้
เมื่อเห็นว่าหลิวเหิงกำลังจะจากไป หัวหน้าหน่วยงานมองดูถุงเงินในมือ ก่อนจะวิ่งตามและเอ่ยถามว่า “หลิวจู่เหริน โรงน้ำชาของท่านยังต้องการคนอีกหรือไม่?”
หลิวเหิงมองดูท่าทีของชายชราที่เปลี่ยนไป “ท่านผู้เฒ่าจะหาคนให้ข้าหรือขอรับ?”
หัวหน้าหน่วยงานเห็นว่าเขาอยู่บนตำแหน่งสูง จึงคิดครู่หนึ่งและกล่าวว่า “นายท่านจู่เหริน หากกล่าวตามตรงข้าพอมีพี่น้องอีกสองสามคนที่กำลังขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้า แม้ว่าพวกเขาจะพิการ แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยร่วมรบในสงครามมา ดังนั้นทักษะการทำงานของพวกเขาย่อมดีกว่าคนทั่วไป”
“ทางราชสำนักก็ให้เงินชดเชยไม่ใช่หรือขอรับ?” ทันทีที่หลิวเหิงได้ยินชายชรากล่าวอ้างถึงสงคราม เขาก็รู้ได้ว่าผู้ที่ถูกส่งตัวกลับมาประจำที่เดิม ย่อมเป็นคนพิการจากการรบในสงคราม
หลังจากที่ทหารผ่านศึกเหล่านี้ได้รับการคัดเลือกให้เข้าสู่กองทัพ เมื่อแก่ตัวลงหรือได้รับบาดเจ็บสาหัส และไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป ทางราชสำนักจะออกเงินบำเหน็จบำนาญให้พวกเขาเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม
“เงินบำนาญมีน้อยนัก เวลาผ่านไปสิบยี่สิบปีจะคงเหลืออยู่ได้อย่างไร? พวกเขาไม่มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงให้พึ่งพาอาศัย แม้ตรากตรำอยู่ด้วยกัน ก็ยังแทบจะเอาตัวไม่รอด” แม้เงินบำนาญข้าวจะช่วยเหลือเกื้อกูลครอบครัวได้ ทว่ามันไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้
หลิวเหิงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับกองทัพ เขาฟังคำกล่าวอ้างของหัวหน้าหน่วยงานด้วยความลังเล และกล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่า บ้านข้ากำลังเปิดโรงน้ำชา ต้องการรับคนอยู่พอดี ทว่าข้าขอเจอหน้าคนที่ท่านกล่าวถึงก่อนจะได้หรือไม่ขอรับ?”
“ได้.. ได้สิ! ได้เลย! คนกันเองทั้งนั้น” ชายชรากล่าว และส่งถุงเงินกลับคืน “หากท่านให้โอกาสพวกเขา ท่านจะเป็นผู้มีพระคุณของพวกเขา รวมทั้งเป็นผู้มีพระคุณของข้าด้วย!”
เมื่อหยิบถุงเงินขึ้นมา สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความสุข จนมิอาจปกปิดจากคนอื่นได้
หลิวเหิงนึกไม่ถึงมาก่อนว่าชายชราจะคืนถุงเงิน เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นงานให้แก่สหายเก่าแก่สองสามคน
หลังจากกล่าวให้เหตุผลจนไม่อาจทวงคืนได้ หลิวเหิงจึงผลักกลับ “นี่คือเงินที่ข้าให้ท่านผู้เฒ่าไว้ใช้ดื่มใช้กิน เช่นนั้นแล้วยามนี้ทำไมพวกเราไม่ไปหาพวกคนที่ท่านพูดถึงก่อนเล่าขอรับ?”
หัวหน้าหน่วยงานเกรงว่าเขาจะเปลี่ยนใจ จึงเรียกใครบางคนมาสั่งงาน แล้วกระโดดขึ้นไปบนรถม้าของหลิวเหิง
แม้ว่าผมทั้งศีรษะจะกลายเป็นสีเทา แผ่นหลังคดงอเล็กน้อย แต่ท่าทางการกระโดดกลับดูแข็งแรงนัก
“ท่านผู้เฒ่าช่างชำนาญเหลือเกินขอรับ” หลิวเหิงยิ้ม
“ดูท่านยิ้มเข้า ยามออกศึก ความสูงแค่นี้ข้ากระโดดผ่านเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ ไม่เหมือนกับตอนนี้หรอก” ดูเหมือนว่าท่าทางการกระโดดของหัวหน้าหน่วยงาน จะทำให้เขารำลึกถึงความมั่นใจครั้งต่อสู้กับเหล่าศัตรูออกมาอีกครั้ง ทำให้ในยามนี้แผ่นหลังของเขาเหยียดตรงขึ้นเล็กน้อย
สถานที่ที่กล่าวถึงอยู่ไม่ไกลกันนัก เดินทางจากหน่วยงานไปรษณีย์หลินสุ่ยไปจนถึงอำเภอหมิงสุ่ย ก็จะเห็นวัดทรุดโทรมอยู่ข้างทาง
วัดแห่งนี้อยู่ห่างจากหมู่บ้านรอบ ๆ พอสมควร เห็นได้ชัดว่าธูปไม่ได้ถูกจุดจนสว่างไสว สีแดงบนประตูทางเข้าวัดมีรอยด่าง หากผลักเข้าไปคงจะเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด
เมื่อผลักประตูเข้าไป ก็จะเห็นถู่ตี้กงกับถู่ตี้โผนั่งอยู่ในห้องโถง พระพุทธรูปมีรอยด่าง ใบหน้าของถู่ตี้กงก็เต็มไปด้วยดินโคลน
“ตาเฒ่าหวูโถว เฉวียจือ อาต้า อาเอ้อร์?” หัวหน้าหน่วยงานไปรษณีย์ร้องตะโกนทันทีที่เข้าไปในวิหารดิน
“หวู่โถวเอ้อร์อยู่นี่!” ใครบางคนร้องตะโกนตอบกลับมาจากทางด้านหลังของวัด ไม่นานชายทั้งสี่คนก็เดินออกมา ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้ามอมแมม ใบหน้าดำคล้ำและซูบผอม
ชายทั้งสี่คนมีร่างกายพิการ มีสองคนที่มีร่างสูง ต่อให้หวังชียืนอยู่หน้าพวกเขาก็ยังเตี้ยกว่าถึงครึ่งหนึ่ง คนหนึ่งไม่มีแขนข้างซ้าย ขณะที่อีกคนไม่มีแขนข้างขวา ใบหน้าค่อนข้างคล้ายคลึงกัน คาดว่าพวกเขาทั้งสองน่าจะเป็นพี่น้องกัน เดาว่าน่าจะเป็นอาต้ากับอาเอ้อร์ที่หัวหน้าหน่วยงานกล่าวถึง ชายคนที่เดินขากะเผลกคงจะพิการเช่นเดียวกัน ขณะที่คนสุดท้ายมีเส้นผมบดบังใบหน้าครึ่งซีก เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ จะรู้ว่าตาข้างหนึ่งบอด
สีหน้าของเหยียนเฟิงนิ่งสนิททันทีเมื่อชายทั้งสี่คนเดินออกมา ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากหลิวเหิงกับหัวหน้าหน่วยงานเพียงแค่สองก้าว ทว่าหลังจากได้เห็นเหล่าผู้มาใหม่เขาก็เดินเข้าไปยืนคู่กับหลิวเหิงด้วยสีหน้าจริงจัง
MANGA DISCUSSION