บทที่ 139 บทสนทนาระหว่างพ่อลูก
สองพี่น้องจากจวนตระกูลสวีต่างไม่ชอบใจในตัวน้องเขยอย่างเว่ยหวน
ประการแรก ก็เพราะสวีอวี้หรงเข้าไปอาละวาดว่าอยากจะแต่งงานออกเรือนไปกับจอหงวนคนนี้ให้จงได้ และในตอนนั้นถึงแม้ว่าเขาจะปิดบังเรื่องการหย่าร้างเอาไว้ ทว่าประเด็นในเรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องที่ผู้คนส่วนใหญ่อยากจะหยิบยกขึ้นมาขัดขวางอำนาจของจวนตระกูลสวี นั่นจึงทำให้เรื่องนี้กลายมาเป็นประเด็นน่าตลกขบขันมิใช่น้อย
ประการที่สอง สวีถิงจือมีบุตรชายคนโตของวงศ์ตระกูลเป็นถึงหัวหน้าขุนนางอาวุโส ผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางอย่างเป็นทางการจากองค์จักรพรรดิ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหยวนไว่หลัง*[1]อยู่ในกรมการคลัง ขณะที่สวีเฉิงกาน บุตรชายคนรองอาศัยร่มเงาพระกรุณาเข้าสถาบันกว๋อจื่อเจี้ยน*[2] และปัจจุบันเข้าไปดำรงตำแหน่งที่ไม่มีความสำคัญอันใดอยู่ในวัดกวงลู่
ส่วนลูกเขยอย่างเว่ยหวน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองเจ้ากรมในกระทรวงยุติธรรมอย่างเป็นทางการ
การที่สมาชิกในตระกูลเดียวกันจะได้ดำรงตำแหน่งสำคัญในพระราชสำนักที่เมืองหลวงนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หากไม่ใช่เพราะความรักใคร่ที่สวีถิงจือมีต่อสวีอวี้หรง บัดนี้จวนตระกูลสวีคงจะให้การสนับสนุนสวีเฉิงผิงอย่างสุดกำลังแล้ว
และหากสวีเฉิงกานไม่ยินยอมให้พี่ชายใหญ่กับน้องเขยเข้ามาดำรงตำแหน่งในหกกรม หลังจากเขาได้รับความกรุณาแล้ว เขาคงไม่ต้องร่อนเร่ออกมาจากหกกรมเช่นนี้
สวีเฉิงผิงกล่าวว่าเว่ยหวนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อสงสัยในการทุจริตต่อหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
สวีเฉิงกานจึงรีบเสริม “หากเป็นเช่นนั้น เราจะต้องช่วยเขาตามเช็ดล้างอีกหรือขอรับ? ดูท่าสกุลเว่ยจะล้มเหลวมากกว่าประสบความสำเร็จเสียอีก! นอกจากใบหน้านั่นแล้ว…”
“เอาล่ะ อย่างไรเสียนั่นก็เป็นน้องเขยของพวกเจ้า มาพูดผลีผลามเช่นนี้ คนอื่นได้ยินเข้าจะว่าอย่างไร? ข้าไปถามมาแล้ว ก่อนติดประกาศเขาไม่เคยเจอหลิวเหิงมาก่อน ส่วนหลิวเหิงกับเฉินโหย่วฝูเป็นสหายเรียนกัน เป็นผู้มีพรสวรรค์และช่างใฝ่เรียนรู้อย่างแท้จริง ครั้งนี้ผู้คุมสอบมาคุมสอบกันเอง ส่วนลูกเขยเป็นผู้รับผิดชอบ คอยให้ซุปขิงกับผู้เข้าสอบที่หน้าห้องสอบ นับว่าเขาทำไม่เลวเลยทีเดียว”
ใต้เท้าสวีพูดขัดจังหวะบุตรชายคนรองด้วยถ้อยคำที่ตรงประเด็น มองบุตรชายทั้งสองที่ดูจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก และกล่าวเสริมว่า “เรื่องทางบ้าน ลูกเขยคงจะหลงลืมเลือนไปบ้าง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ใส่ใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง”
ใต้เท้าสวีคอยสนับสนุนเว่ยหวนหรือลูกเขยของตนอย่างเต็มที่ และพยายามฉกฉวยโอกาสในช่วงขาขึ้นเพื่อผลักดันอีกฝ่าย เมื่อเขายืนอยู่ในตำแหน่งจอหงวนแล้ว จากนั้นเขาก็ควรจะเข้าสำนักฮั่นหลินเสียก่อน หลังจากนั้นจึงเรียนหลักสูตรเพื่อให้เข้าสู่หกกรมได้ในทันที
“ท่านพ่อ อวี้หรงมาหารือเรื่องอะไรกับท่านงั้นหรือขอรับ?” สวีเฉิงกานไม่สามารถต่อกรกับบิดาได้ จึงทำทีเป็นเปลี่ยนเรื่อง
เดิมทีใต้เท้าสวีต้องการปรึกษาหารือกับบุตรชายทั้งสองอยู่แล้ว จึงเล่าสิ่งที่สวีอวี้หรงได้กระทำลงไป
พี่ชายทั้งสองจากตระกูลสวีตกตะลึง นางกล้าสังหารผู้คนในหย่งโจวได้อย่างไร?
“หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ตระกูลสวีของเราจะคงอยู่ในซื่อหลินได้หรือ?” สวีเฉิงกานกัดฟันแน่นเพื่อระงับความโกรธ
น้องสาวของเขา… เมื่อหวนนึกถึงตอนที่ฮูหยินของตนกล่าวว่าน้องสาวเขากำลังสับสนเล็กน้อย แต่ตอนนี้พิจารณาดูแล้วน่าจะยิ่งกว่าสับสนเสียอีก!
แม้ว่าหลิวเหิงจะเป็นบุตรชายโดยกำเนิดของเว่ยหวน ทว่าน้องสาวของเขากลับไม่นึกถึงเด็กคนนั้น นางระลึกถึงเพียงนางหวัง ก็แค่ไม่ต้องอนุญาตให้เว่ยหวนยอมรับเสียก็สิ้นเรื่อง หรือถ้าหลิวเหิงต้องการพิสูจน์ความเป็นบุตรและบิดา ก็เพียงทำให้เขาแตกหักกับบ้านตระกูลหวังไม่ดีกว่าหรือ? มีวิธีการนับร้อยนับพัน ทว่าน้องสาวกลับเลือกวิธีการสังหาร และเลือกก่อเหตุในหย่งโจว
ใต้เท้าสวีได้รับการเลื่อนตำแหน่งในการสอบประจำราชสำนัก และเป็นถึงนักปราชญ์ซื่อหลิน
หากผู้คนรู้ว่าจวนตระกูลสวีของพวกเขาสังหารคนโดยที่ไม่มีความคับแค้นข้องใจมาเกี่ยวข้อง หรือเป็นศัตรูกันโดยไร้เหตุผลแล้วล่ะก็ … นักปราชญ์ในแผ่นดินนี้คงจะพากันสาปแช่งจวนตระกูลสวีจนสิ้นลมหายใจ แล้วเช่นนี้ตำแหน่งอัครเสนาบดีของท่านพ่อจะยังมั่นคงอยู่หรือไม่?
แม้เขาจะเป็นบัณฑิตที่ไร้ประโยชน์ ทว่าหากเขาสร้างปัญหาเมื่อใด ผู้ตรวจการประจำราชสำนักจะไม่ขุ่นเคืองจนสังหารเอาหรือ? ผู้ตรวจการบางคนที่มีปัญญาเล่าเรียนแต่โง่เขลา เฝ้ารอคอยที่จะฟาดฟันเลือดให้กระเซ็นไปสามฉื่อ เพื่อที่จะจารึกนามไว้ในประวัติศาสตร์
“ท่านพ่อ มีใครรู้เรื่องนี้อีกหรือไม่ขอรับ?” สวีเฉิงผิงขมวดคิ้ว
“ข้าว่าเฉินฟู่หลี่ก็คงพอที่จะรู้ดี แต่ว่าไม่มีพยานรู้เห็น จึงได้ไม่พูดแพร่งพราย” ใต้เท้าสวีไม่เคยประเมินสหายร่วมงานต่ำเกินไป
สวีเฉิงกานรู้สึกกระวนกระวายเมื่อได้ยินเช่นนั้น “หากเป็นเช่นนั้น หลิวเหิงยังมีชีวิตอยู่… ปีหน้าจะจัดสอบที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ถ้าเขามาที่เมืองหลวง…”
“หากปีหน้าเขามาร้องเรียนที่เมืองหลวง อย่าว่าแต่จะยื่นคำฟ้องได้หรือไม่เลย ลำพังแค่ทราบว่าเขาไม่ร่วมพิธีงานศพของมารดา อนาคตของเขาจะต้องดับวูบ และถ้าเขาฉลาดพอ เขาจะต้องไม่มา” ทว่าสวีเฉิงผิงกลับคิดต่าง “จนบัดนี้ยังไม่มีข่าวลือใดเลย หลิวเหิงเองก็คงยังไม่รู้ว่าโหลวเหนิงเป็นคนจากตระกูลเรา หรือไม่.. เขาคงจะหวาดกลัวเกินกว่าจะปริปากพูดมันออกมา”
“อวี้หรงทำเรื่องเหลวไหลมากเกินไปแล้ว! ท่านพ่อ ท่านต้องให้นางเรียนรู้ความโหดร้ายเสียที” สตรีที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว กลับยังทำท่าทีเอาแต่ใจเยี่ยงเด็กสาวไร้คู่ครอง ในไม่ช้าหรือเร็วหายนะจะบังเกิดอย่างแน่นอน
เดิมตีโพยตีพายจะแต่งงานออกเรือนกับเว่ยหวนให้ได้! ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าบุรุษคนนั้นแต่งงานมีภรรยาแล้ว ทว่ากลับยังไม่ยอมรามือ! บุตรสาวหนึ่งเดียวของจวนตระกูลสวีไปแต่งงานอยู่กินกับจอหงวนที่ตบแต่งภรรยาถึงสองครั้ง เหตุการณ์นั้นทำให้จวนตระกูลสวีถูกผู้คนหัวเราะเยาะไปทั่วทั้งเมืองหลวง
ทว่าตอนนี้นางเกิดความแค้นและอิจฉาริษยา จึงลงมือสังหารอย่างรีบร้อน และนั่นก็กลายเป็นการส่งต่อมีดแหลมให้จวนตระกูลเฉินได้คลางแคลงใจในตัวพวกเขา
บัดนี้เบื้องบนยังคงนิ่งสงบ เมื่อองค์จักรพรรดิยังคงไร้โอรส ตระกูลต่าง ๆ จึงพากันจ้องมองอย่างละโมบ พากันชักชวนพรรคพวกอย่างไม่รู้จบสิ้น เพียงเพื่อเห็นแก่ตำแหน่งที่จะได้รับ ลูกหลานของหลายตระกูลรั้งอยู่ในเมืองหลวง อีกทั้งแต่ละคนล้วนยังมีแผนการเป็นของตนเอง
มีเพียงไม่กี่คนที่คนในเมืองหลวงคาดว่าจะได้รับเลือกจากจักรพรรดิ องค์ชายผิงโอรสคนโตของจักรพรรดินีเหวยเฉิง และองค์ชายฟู่โอรสคนสุดท้องที่มีอายุเพียงแค่สามชันษา
ตระกูลสวีเริ่มเจริญรุ่งเรืองขึ้นจากการที่ใต้เท้าสวีเข้าดำรงตำแหน่งเป็นขุนนางของจักรพรรดิเทียนฉี่ ครั้งเมื่อจักรพรรดิเทียนฉี่ขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็ได้รับความเชื่อใจจากพระองค์อย่างล้นหลาม สามารถจัดการสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองได้ และยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งกลายเป็นอัครเสนาบดี
ใต้เท้าสวีรู้ซึ้งถึงลำดับการเป็นอย่างดี และด้วยตำแหน่งอัครเสนาบดีของเขา ตราบใดที่เขาต้องการจัดตั้งกองหนุน ใครก็หลีกหนีเขาไปไม่ได้
เขาสามารถดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดีได้โดยอาศัยความไว้วางใจจากจักรพรรดิเทียนฉี่ ดังนั้นเมื่อถูกเขาจ้องมองด้วยดวงตาที่แข็งกร้าว ไม่เพียงจะเป็นการยืนหยัดในอุดมการณ์เท่านั้น แต่ยังเป็นการย้ำเตือนให้บุตรชายทั้งสองประพฤติตนให้สงบเสงี่ยมที่สุด
แต่เนื่องจากใต้เท้าสวีไม่ได้แสดงออกอะไร จึงมีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่จวนตระกูลสวี
ด้วยเกรงว่าเรื่องของสวีอวี้หรงจะไม่สามารถปิดซ่อนจากสายตาของผู้ที่ให้ความสนใจได้ แม้ผู้คนเหล่านั้นจะไม่มีหลักฐาน และไม่สามารถพึ่งพาโหลวเหนิงที่จบชีวิตไปแล้วได้ ทว่าหากใจร้อนส่งคนไปจัดการเช่นนั้น แล้วมีผู้อื่นจับได้จะทำเยี่ยงไร?
ใต้เท้าสวีถอนหายใจ “ข้าบอกเรื่องนี้กับอวี้หรงไปแล้ว นางเองก็รู้ว่าตนคิดผิด แต่เจ้าหลิวเหิงนั่น จะปล่อยมันไว้ไม่ได้…”
“หรือไม่ก็จัดการให้คนไปตรวจสอบดูว่ามันรู้อะไรหรือไม่ ดีไหมขอรับ?”
ใต้เท้าสวีชำเลืองมองบุตรชายคนโต สวีเฉิงผิงเป็นคนละเอียดรอบคอบและมั่นคง ทว่าใจยังเด็ดเดี่ยวไม่พอ
“จะทดสอบให้ยุ่งยากทำไมขอรับ ส่งคนไปเสียก็สิ้นเรื่อง” สวีเฉิงกานเป็นคนอารมณ์ร้อน เด็ดขาด ไร้ความปรานี และมีใจเด็ดเดี่ยวกว่าพี่ชายเป็นไหน ๆ
สิ่งที่ใต้เท้าสวีหมายถึงก็คือการซักไซ้อย่างไร้จุดหมายปลายทางนั้นไร้ประโยชน์ หากหลิวเหิงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น การลงมือสอบถามเช่นนั้นจะทำให้เขาอาจระแคะระคาย เช่นเดียวกับการที่ถ้าก่อนหน้านี้จวนตระกูลเฉินไม่รู้เรื่องมาก่อน การส่งคนออกไปจะทำให้จวนตระกูลเฉินจับท่าทีได้ง่ายขึ้น
เนื่องจากสวีอวี้หรงลงมือทำไปแล้ว ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรก็ไม่ควรเก็บหลิวเหิงเอาไว้
“ท่านพ่อ เช่นนั้นให้ข้าหาคนมาจัดการดีหรือไม่ขอรับ?” สวีเฉิงกานเห็นว่าบิดาไม่ได้เอ่ยปากปฏิเสธ จึงรับรู้ได้ว่ายินยอมแล้ว
ใต้เท้าสวีคิดพิจารณา ตนเป็นขุนนางมาหลายปี คอยดูแลปรนนิบัติหลายท่านในพระราชวัง เช่นนั้นการสังหารหลิวเหิงดูเหมือนว่าจะไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นการส่งคนออกไปจะดูสะดุดตายิ่งขึ้น
“ใกล้จะตรุษจีนแล้ว ส่งจดหมายไปบ้านเก่าข้าที”
บ้านเกิดของตระกูลสวีอยู่ที่ฝูโจว ติดกับหย่งโจว
“อีกทั้งเฉินฟู่หลี่ไม่ได้ช่วยจูถงเพราะความดีความชอบหรอกหรือ? พวกเจ้าไปหารือกันเสีย แล้ววันพรุ่งค่อยส่งคนไปจัดการ จูถงจะได้รับตำแหน่งที่กระทรวงพิธีการ”
กรมพิธีการเป็นหนึ่งในหกกรม
สวีเฉิงผิงประหลาดใจ “ท่านพ่อ เขาไม่ควรจะอยู่ในหกกรมมิใช่หรือขอรับ?”
“เฉินฟู่หลี่เป็นราชเลขานุการประจำกรมพิธีการ จูถก็ควรจะต้องได้รับการเลื่อนตำแหน่งต่อจากเขามิใช่หรือ? เหตุใดกรมพิธีการจึงต้องเลือกคนอื่น และให้อีกคนขึ้นอย่างเป็นทางการในปีหน้าเล่า”
การโยกย้ายเช่นนี้เปรียบดั่งการให้สิทธิพิเศษแก่เฉินฟู่หลี่ นอกจากนี้เขายังเลื่อนตำแหน่งคนที่อีกฝ่ายให้ความสำคัญไปยังหกกรมด้วย เพราะฉะนั้นตระกูลเฉินควรจะพึงพอใจแก่ของขวัญล้ำค่าชิ้นนี้
[1] ตำแหน่งหยวนไว่หลัง เป็นตำแหน่งขุนนาง มียศถาบรรดาศักดิ์เทียบเท่ารองเจ้ากรม
[2] สถาบันกว๋อจื่อเจี้ยน เป็นสถาบันที่สนับสนุนกิจการสอบไล่ลำดับขุนนาง
MANGA DISCUSSION