บทที่ 135 เปิดโรงน้ำชาที่ถนนหลัก
หากหลิวเหิงเอาใจคนในตระกูลและผู้คนในหมู่บ้านหยางซาน เมื่อชายหนุ่มเกิดเรื่อง ทุกคนก็จะตื่นตัวที่จะช่วยเหลือเขา เพราะนั่นหมายถึงผลประโยชน์ของตนเองเช่นเดียวกัน
ในช่วงเวลานั้น ผู้คนในหมู่บ้านคนอื่น ๆ ต่างก็ต้องการช่วยออกเงินบริจาคเช่นกัน แต่หลิวเหิงปฏิเสธว่าต้องการแสดงความกตัญญู ทว่าความจริงแล้วเป็นเพียงเพราะเขาไม่ต้องการสร้างปัญหาเท่านั้น
เหยียนซีไม่ต้องการที่จะอยู่เฉย ๆ อีกต่อไป เธอจึงใช้โอกาสจ่ายเงินช่วงสิ้นปีไปพบเจ้าของร้านเฉียน
ในวันฝังนางหวัง เจ้าของร้ายเฉียนก็ส่งคนมาร่วมพิธีด้วย เมื่อเห็นว่าเหยียนซีมาที่ตัวเมืองเพื่อชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ด้วยตนเอง จึงได้ใช้เวลานี้ในการพบปะพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการทำการค้าที่จะเพิ่มเติมขึ้นในปีหน้า
เมื่อเห็นว่าเจ้าของร้านเฉียนดูสะดวกใจที่จะพูดคุย เหยียนซีก็โล่งใจขึ้นมา เพราะในตอนนี้ดูเหมือนว่าตระกูลเฉินจะเข้ามาดูแลเรื่องการค้า จึงกลัวว่าจะมีผลกระทบหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าการเมืองก็ยังอยู่ในการเมือง พวกเขาคงไม่ได้สนใจเรื่องการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอ
เมื่อออกมาจากร้าน เธอก็ถูกผิงอันเรียกเอาไว้ที่ริมถนน และได้พบกับเฉินโหย่วฝูที่นั่น
เฉินโหย่วฝูมองเหยียนซีที่อยู่ในเสื้อผ้าเรียบ ๆ และเอ่ยขึ้น “เอ้อร์หลางกำลังไว้ทุกข์อยู่ที่บ้าน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะที่เจ้าจะอยู่ที่นั่นกับเขา ทำไมถึงไม่มาทำงานที่บ้านข้าแทนล่ะ” ทักษะการทำอาหารของนางและสิ่งของต่าง ๆ ที่เด็กคนนี้คิดค้นช่างเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก
“ขอบคุณชายเฉินที่เมตตา แต่ท่านป้าดีต่อข้าไม่ต่างจากบุตรสาวคนหนึ่ง พี่เอ้อร์หลางก็ปฏิบัติต่อข้าไม่ต่างอะไรจากคนในครอบครัว ตอนนี้ท่านจากไปแล้ว ข้าก็จะยังคงอยู่ที่บ้านทำการค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อหาเลี้ยงครอบครัวเจ้าค่ะ”
เฉินโหย่วฝูพบว่าไม่มีวี่แววของการล้อเล่นในคำกล่าวของนาง “ข้าได้ยินว่าเจ้าเองก็อยู่ที่นั่นในคืนนั้น เช่นนี้ก็ยังไม่กลัวเลยหรือ เป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ จะจัดการเรื่องของผู้ใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
นี่เขาพยายามจะโน้มน้าวให้เธอไปอยู่ด้วยจริง ๆ สินะ “ข้าจะทำทุกอย่างที่ทำได้เจ้าค่ะ ตอนนี้สายมากแล้ว คุณชายเฉิน ยังไงข้าต้องขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
เฉินโหย่วฝูถอนหายใจ “เจ้าเป็นคนที่ทั้งจิตใจดีและมีคุณธรรม แม้ว่าทุกอย่างจะเป็นเช่นนี้ก็ยังเลือกที่จะอยู่กับตระกูลหลิวสินะ”
เหยียนซีไม่ได้พูดอะไรอีก เมื่อเห็นว่าเจ้าของร้านเฉียนที่เป็นคู่ค้ายังมั่นคง หลังจากเธอกลับไปที่หมู่บ้านก็เริ่มดำเนินการตามแผนการค้าทันที
เธอไปหาแม่ของหลิวจิ้นเป่า พูดคุยกับนางเพื่อขอให้ช่วยจัดการเรื่องผักดองให้ โดยกล่าวว่าหลังจากการส่งขายแต่ละครั้งจะมอบเงินกำไรหนึ่งส่วนให้นางเป็นเงินพิเศษ
แม่ของหลิวจิ้นเป่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับนางหวัง และเมื่อมีเรื่องเงินเข้ามาจูงใจ นางจึงไม่เพียงแค่รับปากเท่านั้น แต่ยังขอให้ลูกชายคนโตมาทำงานเก็บผักแทนหวังชีอีกด้วย ในอนาคตหวังชีจะได้มีหน้าที่เพียงขนส่งสินค้าเท่านั้น
เหยียนซีรวมเงินเก็บออมส่วนตัวเข้ากับเงินของนางหวังและนางกู้ที่ตนรับหน้าที่ดูแลต่อ ทั้งยังรวมเข้ากับเงินที่ฮูหยินผู้เฒ่าอันมอบให้ ก็นับได้ประมาณสี่ร้อยตำลึง
หากนำมาใช้ซื้อที่ดิน เงินสิบห้าถึงยี่สิบตำลึงก็สามารถซื้อที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ได้หนึ่งหมู่ นั่นแสดงว่าเงินทั้งหมดสามารถซื้อที่ดินผืนงามได้ประมาณสี่สิบหมู่ ถือว่าสามารถปลูกบ้านอยู่และมีที่ดินทำกินสบาย ๆ ได้ในหมู่บ้านหยางซาน
แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้เธอก็ไม่สามารถเป็นเจ้าของที่ตัวน้อยอย่างสบาย ๆ ได้
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เหยียนซีก็ปรึกษากับผู้นำตระกูลหลิว เพื่อจะซื้อที่ว่างริมถนนหลักด้วยเงินห้าตำลึง
พื้นที่ว่างตรงนั้นมีขนาดประมาณหนึ่งหมู่ เต็มไปด้วยวัชพืชและหิน หากต้องการปลูกผักเป็นอาหาร รอบ ๆ นี้ก็มีพื้นที่ที่ดีกว่าอยู่อีกมากมาย ไม่จำเป็นต้องลงทุนกับพื้นที่รกร้างเช่นนี้
ทว่าเหยียนซีไม่ได้สนใจคำแนะนำของชาวบ้าน จ้างคนมาจัดการถางวัชพืชและเอาหินออกไป ปรับพื้นด้วยเครื่องมือบดพื้นที่ขนาดใหญ่และซื้อไม้เพื่อสร้างโรงน้ำชา
โรงน้ำชาแบ่งเป็นสามห้อง ด้านหลังก็มีที่สำหรับเป็นคอกม้าและโรงนา ส่วนด้านหน้าเป็นบริเวณสำหรับชงชาและเตรียมอาหาร ตรงกลางเป็นส่วนต้อนรับที่มีซุ้มไม้เลื้อยอยู่ด้านหน้า และโต๊ะสำหรับนั่งดื่มชาด้านนอก
ส่วนต้อนรับตรงกลาง เหยียนซีให้ความสำคัญกับการตกแต่งเป็นอย่างมาก เธอขอให้หลิวเหิงและเผยซิ่วเขียนคำมงคลใส่กรอบประดับไว้ที่ผนัง เพื่อให้ดูสง่างาม
“ซีเอ๋อร์ ส่วนต้อนรับนี้สวยมาก ข้าเกรงว่าชาวไร่ชาวนาจะไม่กล้าเข้ามานั่ง” หวังชีรู้สึกว่าโรงน้ำชาตั้งริมทางย่อมต้องมีผู้คนจากหลายหมู่บ้านสัญจรผ่าน แต่คนเหล่านี้ไม่อาจเข้าใจลายมือเขียนพู่กัน ภาพวาดตกแต่ง หรือไม้ประดับหรูหราได้ การตกแต่งเช่นนี้จะช่วยให้ลูกค้าเข้ามากขึ้นได้จริงหรือ?
“พี่ชี มีพ่อค้าจำนวนมากผ่านไปมาที่ถนนหลักแห่งนี้ พวกเขาย่อมเต็มใจที่จะเลือกสถานที่ที่ดูหรูหราเพื่อนั่งพักผ่อนเสมอ ไม่คิดอย่างนั้นหรือ”
หวังชีเริ่มคิดตาม เมื่อเจ้าของร้านในชิงหลงมาส่งสินค้า พวกเขาทั้งหมดชอบนั่งที่โรงน้ำชา ซึ่งเป็นการแสดงฐานะของตนอย่างหนึ่ง เพราะอย่างนั้น การตกแต่งของเหยียนซีจึงทำขึ้นเพราะคิดถึงสิ่งนี้ใช่หรือไม่? เพราะต้องการเรียกลูกค้ากลุ่มนี้ จึงได้ลงทุนกับการตกแต่งไปมากอย่างนี้นี่เอง
ในไม่ช้า ผู้คนที่เดินทางผ่านถนนเส้นหลักในหมู่บ้านหยางซานก็พบว่ามีโรงน้ำชาที่ดูหรูหราเปิดอยู่ มีป้าหน้าร้านที่ผู้รู้หนังสือจะเข้าใจว่ามีชา ของว่าง โจ๊ก และกับข้าว ขายที่นี่
ที่นี่เหยียนซีจัดชาขายเป็นชุดใหญ่ คิดเงินหนึ่งอีแปะต่อคน สามารถดื่มชาได้มากตามที่ต้องการ
โจ๊กหนึ่งชามใหญ่ก็ราคาหนึ่งอีแปะเช่นกัน
อาหารที่ขายคือข้าวคลุกหมูและผัก พร้อมกับน้ำแกงกระดูกหมูใส่ถั่วเหลือง ในราคาเพียงห้าอีแปะ ก็จะได้กินข้าวคลุกหมูและผักชามใหญ่ ซดน้ำแกงกระดูกหมูใส่ถั่วเหลืองรสชาติกลมกล่อมอีกชาม ราคานี้ที่ได้ทั้งข้าวและน้ำแกงชามใหญ่ที่มีรสชาติดีกว่ามากเมื่อเทียบกับเกี๊ยวในเมืองแล้ว ถือว่าไม่เลวเลย
เหยียนซีเป็นคนกำหนดขนาดและปริมาณทุกอย่างในร้านอย่างเหมาะสม เช่น ชามใบใหญ่ หม้อเหล็กสำหรับชงชา ทั้งยังเลือกปริมาณชาด้วยตัวเอง เพื่อให้เหมาะสมที่สุดตามวิธีการชงชาด้วยถุงชา เธอวัดปริมาณใบชาใส่ลงในถุงผ้าโปร่งอย่างดี ทำให้สามารถต้มชาได้สามหม้อด้วยชาเพียงหนึ่งถุง
สำหรับข้าวคลุกหมูและผักนั้น เธอสั่งทำชามขนาดใหญ่ขึ้นมาเฉพาะ ในหนึ่งชามใหญ่ให้ใส่ข้าวขาวเก้าถ้วย ข้าวกล้องหนึ่งถ้วย หมูสองจิน ผักดองสามจิน หลังจากเตรียมส่วนผสมตามนี้แล้วเอาไปคลุกในชามใหญ่หากทำตามสัดส่วนนี้ แม้แต่หวังชีหรือเหยียนเฟิงก็สามารถปรุงข้าวคลุกออกมาอร่อยหอมกรุ่นได้เหมือนกันทุกครั้ง
น้ำแกงกระดูกหมูใส่ถั่วเหลือง มีหม้อเหล็กขนาดใหญ่ใส่กระดูกใหญ่สามท่อนเป็นวัตถุดิบหลัก หลังจากน้ำเดือด หม้อน้ำแกงก็จะเคลือบด้วยน้ำมันจากกระดูกหมูหอมน่ากิน
ต่อมาสิ่งที่ต้องทำคือหาฤกษ์ดีสำหรับเปิดร้าน หลังจากพลิกดูปฏิทินฤกษ์ยามแล้วเหยียนซีก็เลือกวันที่ยี่สิบเก้า เดือนสิบ เป็นวันเปิดโรงน้ำชา
วันนี้เป็นวันที่มีตลาดนัดในอำเภอหมิงสุ่ย ผู้คนมากมายเดินทางมาจับจ่ายใช้สอย
ถนนเส้นหลักของหมู่บ้านหยางซานเป็นถนนเส้นสำคัญ ใครก็ตามที่ต้องการเดินทางเข้าไปในตัวอำเภอหมิงสุ่ยหรือเมืองถงอันในทางบกจะต้องผ่านมาทางนี้ แต่ถ้าต้องการเดินทางไปยังชิงหลงโดยเรือขึ้นเหนือ ถนนเส้นนี้ก็ยังเป็นทางเดียวที่จะไปลงเรือได้
เมื่อถึงฤกษ์มงคล หวังชีก็จุดประทัดเสียงดังดึงดูดความสนใจของผู้ที่เดินทางผ่านไปมา
เหยียนเฟิงดึงผ้าคลุมแผ่นป้ายโรงน้ำชาลงเผยให้เห็นตัวอักษรทั้งสื่อซึ่งเป็นชื่อของโรงน้ำชา ‘โรงชาอวี่เซิ่น’ ก็เปล่งประกายสดใส เมื่อทุกคนสอบถามก็พบว่านี่เป็นโรงน้ำชาของครอบครัวหลิวจู่เหรินจากหมู่บ้านหยางซาน
“โรงชาอวี่เซิ่น เป็นชื่อที่ทำให้รู้สึกสดชื่นดี” โรงน้ำชาและโรงเตี๊ยมส่วนใหญ่จะตั้งชื่อโดยมีคำว่า เซียง*[1]เค่อ*[2]หรือผิ่น*[3]อยู่ในชื่อมากกว่า ชื่อโรงน้ำชาเช่นนี้ดูจะแปลกตา เสมือนไม่ใช่ชื่อร้านอาหาร
ในวันเปิดร้าน เหยียนสีสวมชุดสีน้ำเงินยืนอยู่หน้าโรงน้ำชา เมื่อมีคนถามขึ้นเธอก็ชี้ไปที่แผ่นป้ายชื่อร้าน และเอ่ยขึ้น “ทุกคนควรรู้ว่าครอบครัวของเรามาจากหมู่บ้านหยางซาน ท่านป้าของข้าถูกฆาตกรรมกลางดึก นางเป็นคนที่ดีต่อผู้อื่นมาตลอดชีวิต ให้เกียรติผู้อาวุโส ดูแลเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน ไม่เคยต้องอายใคร ทั้งยังไม่มีเรื่องเสื่อมเสีย แต่กลับประสบเคราะห์ร้ายที่น่าเศร้า ครอบครัวของเราจึงเปิดโรงน้ำชาขึ้นด้วยความระลึกถึงนาง และได้ใช้คำที่สื่อความหมายถึง ‘น้ำใจไมตรี’ ซึ่งเป็นสิ่งที่นางสั่งสอนเรามาเสมอในการตั้งชื่อร้าน ยึดมั่นไมตรี มีน้ำใจต่อผู้อื่น ไม่เสียแรงที่เกิดมาเป็นมนุษย์”
[1] เซียง 香 หมายถึง กลิ่นหอม
[2] เค่อ 客 หมายถึง แขกผู้มีเกียรติ
[3] ผิ่น 品 หมายถึง สื่อถึงร้านขายของ
MANGA DISCUSSION