บทที่ 127 เหยียนเฟิงไล่ล่าฆาตกร
อาจเป็นเพราะเสียงเอะอะในลานบ้านตระกูลหลิวดังรบกวนเพื่อนบ้าน หรืออาจจะบังเอิญมีสุนัขได้ยินเสียงแล้วเห่าขึ้นมาจากระยะไกล ทว่าเสียงเหล่านี้ก็ทำให้มีใครบางคนมาที่ประตู
ชายชุดดำเริ่มเห็นว่าท่าไม่ดีก็ขมวดคิ้ว ยืนที่มุมประตูเพื่อดูเหยียนซีที่นอนนิ่งอยู่หน้าประตูบ้านใหม่ ไม่ได้สนใจว่านางตายแล้วหรือไม่
สิ่งที่เขารู้คือวันนี้หลิวเหิงจะกลับมาถึงบ้าน จึงต้องรีบมาเพื่อสังหารสองแม่ลูกตระกูลหลิวให้สิ้นก่อนที่จะสายเกินไป
แต่ขณะนี้มีคนในบ้านมากเกินความคาดหมาย จึงไม่มีเวลาตรวจสอบว่าใครเป็นใคร ที่มั่นใจได้คือเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ลูกชายตระกูลหลิว
แต่ผู้หญิงหนึ่งในสองคนที่ได้จัดการไปนั้นต้องมีคนหนึ่งคือนางหวังอย่างแน่นอน ในบรรดาคนที่อยู่ในห้องโถงล้วนสวมเสื้อแขนสั้นอย่างชาวนา เขาไม่มีเวลาเข้าไปตรวจสอบใกล้ ๆ
สิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนในตอนนี้คือทำลายศพและกำจัดร่องรอยของตนเอง ชายชุดดำลากศพนางหวังและนางกู้เข้าไปที่เตา เอาฟืนออกมาแล้วจุดไฟเผาทุกอย่างที่สามารถติดไฟได้
แม้ว่าจะมีฝนตกอยู่ในตอนนี้ แต่ก็เป็นฝนปลายฤดูใบไม้ร่วงที่ไม่ทำให้ฟืนเปียกชื้น อีกทั้งกำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาว อากาศจึงแห้ง เขานำเสื้อผ้าเครื่องนอนในบ้าน ทั้งน้ำมันตะเกียง มากองไว้รวมกันแล้วจุดไฟเผา
ครู่หนึ่งควันดำก็พวยพุ่งออกมาจากในบ้าน มองเห็นมันลอยไปจนถึงลานหน้าบ้านของสองแม่ลูกตระกูลหลิว ไม่นานเปลวไฟสีแดงฉานก็ลุกไหม้ตามมา ท้องฟ้ามืดครึ้มพลันสว่างจ้า
ชายชุดดำกำลังจะลากเหยียนซีไปโยนเข้ากองไฟ แต่กลับได้ยินเสียงคนจากหน้าประตูดังขึ้นก่อน “ไฟไหม้! บ้านเอ้อร์หลางไฟไหม้ มาช่วยกันดับไฟเร็วเข้า!”
เสียงชาวบ้านดังออกมาจากด้านนอก เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และคิดว่าคงไม่พลาดจุดตายของเด็กคนนี้ จึงเดินตรงไปที่หน้าประตูบ้านใหม่ ดึงดาบออกมาจากร่างของเหยียนซีแล้วเหาะหนีไปทางภูเขาด้านหลัง
ชายชุดดำเคลื่อนกายหนีไปท่ามกลางความมืดครึ้มของท้องฟ้าในวันฝนตก
เหยียนซีถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากความเจ็บปวดแสนสาหัส เมื่อชายคนนั้นดึงดาบออกไป เธอก็กัดริมฝีปากอย่างแรงเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา
สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้เธอสามารถจับขอบประตูแล้วลุกขึ้นได้ ทันใดนั้นก็มีกลิ่นควันโชยมา เมื่อมองดูก็พบว่าไฟกำลังลุกไหม้บ้านหลังเก่า
“ท่านป้า! ป้ากู้!” เหยียนซีรีบไปที่ประตูบ้านหลังเก่าด้วยแรงทั้งหมดที่มี ทะเลเพลิงปรากฏขึ้นต่อหน้าเด็กหญิง เปลวไฟสีแดงฉานลามเลียอยู่ในห้องโถง มองเห็นคราบเลือดที่อยู่ภายใน
“ท่านป้า!! ป้ากู้!!” เหยียนซีตรงไปที่ห้องครัว แต่ประตูกลับพังลงมาขวางหน้าเอาไว้ เธอถูกไอความร้อนจากภายในพัดออกมาใส่จนล้มลงกับพื้นแต่ก็รีบลุกขึ้นอีกครั้ง พยายามจะข้ามประตูที่ลุกไหม้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี ทันใดนั้นก็มองเห็นนางหวังและนางกู้ที่อยู่หลังประตูนั้น
“ซีเอ๋อร์” มีเสียงของสมาชิกตระกูลหลิวดังขึ้นจากด้านหลัง สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือเหยียนซีกำลังกรีดร้อง และคลานไปบนพื้น “นักฆ่า!”
ทันทีที่หลิวเหิงนั่งเกวียนเลี้ยวเข้ามาสู่ถนนหน้าบ้าน เขาก็เห็นเปลวไฟลุกไหม้อยู่ข้างแม่น้ำหมิง ควันดำพวยพุ่งราวกับมีมังกรทมิฬตัวใหญ่บินอยู่
เมื่อฟังดูดี ๆ ก็ได้ยินว่าชาวบ้านกำลังร้องตะโกนว่า “บ้านเอ้อร์หลางไฟไหม้!” จากระยะไกล เขาจึงรีบกระโดดลงจากเกวียนด้วยความตกใจ วิ่งไปที่บ้านท่ามกลางสายฝน สับเท้าอย่างรวดเร็วไม่สนใจว่าจะเปียกปอนปานใด
เหยียนเฟิงและเหยียนหลิ่วก็ลงจากเกวียนวิ่งไปทางลานบ้านตระกูลหลิว ตามหลิวเหิงทันในไม่กี่ก้าว
หน้าประตูบ้านหลิวเหิงเต็มไปด้วยผู้คน
เหยียนเฟิงและเหยียนหลิ่วไปที่ประตู หลิวเหิงราวกับว่ามีกำลังเพิ่มขึ้นมา เขาวิ่งไปที่นั่นอย่างรวดเร็ว
ควันหนาทึบปะปนกับฟ้าขมุกขมัวแทบมองไม่เห็นอะไรข้างหน้า
หลิวเหิงได้ยินเพียงเสียงชาวบ้านคุยกัน แต่ไม่มีเสียงนางหวังในบรรดาผู้คนเหล่านั้น มองไปรอบ ๆ ก็ไม่พบว่าใบหน้าไหนคือมารดาของเขา
“ท่านแม่!” เขาตะโกนเสียงดัง แหวกคนด้านหน้าให้หลีกทางแล้วเข้าไปในบ้าน
เหยียนเฟิงและเหยียนหลิ่วดูเหมือนเพิ่งจะได้สติและตะโกนขึ้น “คุณหนู! ฮูหยิน! ป้ากู้!” ทั้งสองดูราวกับลูกวัวคลั่งวิ่งเข้าไปในลาน
ทันทีที่ชาวบ้านเอาตัวเหยียนซีขึ้นมาจากพื้น หลิวเหิงและคนอื่น ๆ ก็รีบเข้าไปหานาง
“ซีเอ๋อร์ ท่านแม่ล่ะ ท่านแม่อยู่ไหน” ดวงตาของหลิวเหิงแดงก่ำ ต้องการได้ยินจากเหยียนซีว่านางหวังปลอดภัยดี
เหยียนซีรู้สึกว่าภาพตรงหน้าช่างพล่าเลือน และเมื่อหันหน้ากลับไปก็พบว่านางหวังและนางกู้นอนอยู่ในครัว ร่างเล็กจึงพยายามดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของใครบางคนที่เกาะกุมนางไว้
เหยียนเฟิงดึงตัวคุณหนูของเขากลับมา
“ท่านป้า ท่านป้าอยู่ในนั้น มีคนบุกมาฆ่าเรา พวกนางอยู่ในนั้น!” เหยียนซีไม่รู้จะพูดอย่างไรให้ได้ความ นี่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หลวงของเธอ เด็กหญิงพยายามรีบบอกคนทั้งสามด้วยแรงทั้งหมด ชี้ไปที่ครัวแล้วร้องเสียงดัง “ข้า! ข้าช่วยพวกนางไม่ได้ ข้าทำอะไรไม่ได้เลย!!”
เมื่อเห็นว่าไฟกำลังลุกท่วมตัวนางหวัง เธอก็คิดออกเพียงว่านางหวังไม่ควรโดนอย่างนั้น รีบจับมือหลิวเหิงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป “พี่เอ้อร์หลาง ท่านป้า กับป้ากู้…”
“ดูแลคุณหนูที” เหยียนเฟิงเอ่ยกับเหยียนหลิ่ว ขบกรามแน่นแล้วเข้าไปในกองไฟ
“อย่าเข้าไป ไฟลุกท่วมแล้ว” เพื่อนบ้านเห็นอย่างนั้นก็กระโดดอย่างกระวนกระวาย
“ช่วยกันสาดน้ำเข้าไปเร็วเข้า! ช่วยกันดับไฟที!!” ทุกคนช่วยกันสาดน้ำเข้าไปด้านในด้วยอ่างน้ำ ถัง และภาชนะต่าง ๆ ที่พอจะหาได้ในยามนี้
ยังดีที่ชายชุดดำเอานางหวังและนางกู้ไปโยนไว้ใกล้ประตู เหยียนเฟิงจึงเอาร่างนางออกมาได้ทีละคน
สตรีขวัญอ่อนผู้หนึ่งกรีดร้องออกมาจากภาพที่เห็น
นางหวังและนางกู้แน่นิ่ง มีเลือดอาบไปทั่วร่าง ใบหน้าดำคล้ำไหม้เกรียม ดวงตาเบิกกว้าง ปากอ้าค้างราวกับร้องตะโกนสุดเสียงก่อนสิ้นใจ ภาพตรงหน้านี้ชวนให้น่าเวทนาอย่างยิ่ง
“ท่านแม่…” หลิวเหิงทิ้งตัวลงข้างร่างของมารดา กุมมือของนางที่อาบไปด้วยเลือด ไม่รู้ว่าจะต้องกอดอย่างไรไม่ให้นางเจ็บปวด มีเลือดไหลออกมาจากร่างมารดาเต็มไปหมด จนคิดไม่ออกว่าจะช่วยห้ามเลือดให้ได้อย่างไรดี
เมื่อก้มลงมอง หลิวเหิงก็พบว่าข้อมือของมารดาห้อยลงมาอย่างผิดธรรมชาติ มีกระดูกบางส่วนทิ่มทะลุออกมาด้านนอกเนื้อ นี่จะเป็นมือของมารดาเขาได้อย่างไร!? ในเมื่อมือของนางใช้ในการทอผ้าและเย็บปักถักร้อย แม้ว่านางจะมีเพียงมือบาง ๆ ก็ไม่เคยห้อยลงมาเช่นนี้ หลิวเหิงมองภาพเหล่านั้นด้วยอาการมึนชาไปทั้งร่าง
เหยียนซีมองร่างนางหวังและนางกู้ด้วยสายตาว่างเปล่า ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าฆาตกรหนีไปแล้ว “ทางนั้น! มันวิ่งหนีไปทางนั้น!!”
ก่อนที่ชาวบ้านจะเข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร เหยียนเฟิงออกวิ่งไปตามทิศทางที่เหยียนซีบอกราวกับลูกศรที่พุ่งออกจากคันธนู เขาไม่ได้วิ่งผ่านประตู แต่ลอยตัวขึ้นไปบนกำแพงราวกับควัน แล้วกระโดดลงจากกำแพงขึ้นไปบนภูเขาด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ใครบางคนพูดขึ้นมาว่า “ปีศาจชัด ๆ!” เมื่อสิ้นคำนั้นบรรยากาศหดหู่สยดสยอง ทั้งกลิ่นอายคาวเลือดที่อบอวลอยู่ในลานบ้านก็มากยิ่งขึ้นไปอีก
หมู่บ้านหยางซานสงบสุขมาโดยตลอด เหตุใดจู่ ๆ จึงเกิดเหตุฆาตกรรมน่าสลดใจเช่นนี้ขึ้นมาได้
หัวหน้าตระกูลหลิวเข้ามาในลานบ้าน เห็นว่าหลิวเหิงคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยความสิ้นหวัง แม้ว่าเขาเองจะตกใจกับภาพน่าสลดใจตรงหน้า แต่ก็เป็นผู้อาวุโสที่ดึงสติตัวเองกลับมาได้รวดเร็วกว่า “เอ้อร์หลาง ข้าเสียใจด้วยจริง ๆ” เขาตบไหล่เด็กหนุ่มเบา ๆ “แจ้งเจ้าหน้าที่เดี๋ยวนี้”
เหยียนซีมองตามเหยียนเฟิงที่วิ่งไล่ตามผู้ร้ายไป ภาพน่าสลดใจและความเจ็บปวดจากบาดแผลที่หลังนี้ประทับลึกอยู่ในใจ เป็นครั้งที่สองในชีวิตแล้วที่เธอได้เห็นคนตายจำนวนมากเช่นนี้ เด็กหญิงรู้สึกว่าเสียงของคนรอบ ๆ ตัวค่อย ๆ ฟังดูเหมือนห่างไกลออกไป และในที่สุดร่างก็ค่อย ๆ ทรุดตัวล้มลง
เหยียนหลิ่วพยุงร่างเล็กไว้ด้วยแขนข้างเดียว ป้องกันไม่ให้นางล้มลงไปโดนกับธารเลือดที่ผสมปนเปอยู่กับสายฝนบนพื้น
มีคนพยายามเอาร่างนางหวังออกจากหลิวเหิง แต่ชายหนุ่มกอดมารดาแน่นไม่ยอมปล่อย แน่นิ่งราวกับรูปสลักไร้ชีวิต เขาไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย หรือพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
MANGA DISCUSSION