บทที่ 150 ลืมไปได้อย่างไร?
หลังจากส่งหลี่จวิ้นเสร็จ หลู่เฟิงก็กลับไปที่บ้านตระกูลหลู่อีกครั้ง เพราะรู้สึกสนใจในตัวเกาซู เมื่อเดินเข้าไปก็ได้ยินคุณลุงหลู่กำลังชื่นชมเกาซูและมู่อวิ่นเฉิงให้ลูกสาวและลูกชายฟัง
“โถ่ พ่อคะ ผู้พันมู่กับเกาซูเขาก็เป็นคนแบบนี้แหละค่ะ เป็นคนประเภทอ่อนน้อมถ่อมตน นิสัยดี ที่เขาดีกับเราน่ะเรื่องปกติจะตายไป”
“คนแบบนี้แหละที่น่าคบหา พวกแกก็ทำตัวดี ๆ อย่าให้พวกเขาไม่พอใจล่ะ เข้าใจไหม?” พูดจบ ชายแก่ก็ชี้ไปยังภาพอักษรที่ร่วมกันเขียนกับมู่อวิ่นเฉิง “เอาไปใส่กรอบแล้วแขวนไว้ด้วยล่ะ”
หลู่เฟิงที่ลอบฟังผู้เป็นลุงพูด ก็ได้แต่หัวเราะคิกคักกับตัวเอง “ฉันก็รู้สึกว่าพวกเขาเป็นคนดีเหมือนกัน แสดงว่าลางสังหรณ์ของฉันก็ยังใช้ได้สินะ”
…
การไปเยี่ยมบ้านตระกูลหลู่ในวันเสาร์ก็จบลงด้วยดี
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เกาซูก็พบว่าจงอี้กำลังนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะ
เธอนำขนมและผลไม้ที่ได้จากบ้านตระกูลหลู่มาจัดใส่จาน วางไว้บนโต๊ะ แล้วเรียกทุกคนมานั่งกินด้วยกัน
“มู่อวิ่นเฉิง…” เธอเรียกสามีด้วยรอยยิ้ม “ไม่คิดเลยว่าลายมือของคุณจะสวยขนาดนั้น ทำไมคุณไม่เคยบอกฉันเลยล่ะ”
จงอี้ได้แต่เอียงคอมองเธอ “แม่ แม่เพิ่งรู้หรือว่าลายมือของพ่อสวย?”
เกาซูถึงกับงุนงง แล้วถามจงอี้ “เธอรู้เหรอ?”
เธอคิดในใจว่า อาจจะเป็นไปได้ เด็กคนนี้เกิดและเติบโตในกองทัพ มีโอกาสได้เจอมู่อวิ่นเฉิงมากกว่าเธอ บางทีอาจจะเคยเห็นมู่อวิ่นเฉิงเขียนหนังสือมาก่อนจริง ๆ
“ผมรู้!” เสียงใส ๆ ของจงอี้พูดขึ้น
“จงอี้!” จู่ ๆ มู่อวิ่นเฉิงแทรกขึ้นมาอย่างกะทันหัน น้ำเสียงมีความกดดันมากขึ้น นี่เป็นการบอกว่าเขาไม่ให้เจ้าหนูพูด
นี่มันแปลกจริง ๆ…
เกาซูยิ่งต้องรู้ให้ได้แล้ว!
“จงอี้ เธอพูดมาเถอะ! ฉันจะปกป้องให้เธอเอง!” เกาซูจ้องมู่อวิ่นเฉิงด้วยสายคาดโทษ
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่อยู่ในกองทัพมาหลายปี เลยได้ฝึกกับผู้บังคับบัญชาเก่าเท่านั้นเอง” มู่อวิ่นเฉิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ
จริงเหรอ? เกาซูไม่เชื่อหรอก!
เธอยังคงจับจ้องไปที่จงอี้ “จงอี้ ถ้าเธอไม่พูด ต่อไป ถ้าฉันทำของอร่อย ๆ ก็จะไม่ให้เธอกินด้วยแล้วนะ ทำยังไงดีล่ะ พรุ่งนี้ฉันจะทำขนมหวานที่เธอไม่เคยกินมาก่อนด้วย! ถ้าไม่ได้กินคงเสียดายแย่”
จงอี้มองไปที่มู่อวิ่นเฉิง พลางพูดผ่านสายไปว่า ‘พ่อครับ ผมจะพูดแล้วนะ ไม่งั้นจะไม่ได้กินของอร่อย! ผมอยากกินขนมมากจริง ๆ!’
สายตาของมู่อวิ่นเฉิงก็ตอบกลับไปราวกับส่งกระแสจิต ‘ถ้ากล้าก็ลองดูสิ ระหว่างอดกินกับโดนทำโทษจะเลือกอย่างไหน!?’
ความอร่อยของขนมที่เกาซูทำมันล่อตาเสียจนเจ้าหนูละทิ้งความกลัวไปจนหมดสิ้น
จงอี้ถอนหายใจหนัก ๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด “แม่ ย่าบอกว่าภาพอักษรที่บ้านเราเป็นฝีมือของพ่อหมดเลยนะ รวมถึงภาพอักษรในวันแต่งงานของแม่ด้วย!” จงอี้พูดอย่างรวดเร็ว แล้วมองไปที่มู่อวิ่นเฉิง
‘ผมไม่กลัวพ่อแล้ว!’
มู่อวิ่นเฉิงอดขำในความกล้าหาญเพราะเรื่องกินของเจ้าหนูไม่ได้
แต่เกาซูกลับเครียดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เธอพยายามนึกถึงภาพอักษรที่จงอี้พูดถึง แต่ก็นึกไม่ออก ที่จริงแล้ว เธอไม่เคยสนใจมันด้วยซ้ำ ไม่รู้เลยว่าที่บ้านแขวนภาพอักษรแบบนั้นไว้หรือเปล่า
ความจริงแล้ว ตอนนั้นเกาซูไม่เต็มใจแต่งงานกับมู่อวิ่นเฉิงเลยแม้แต่น้อย เธอรังเกียจการเป็นภรรยาของเขามาก และไม่สนใจเรื่องงานแต่งงานแม้แต่นิดเดียว การที่เธอไม่ก่อเรื่องวุ่นวายในงานแต่งงาน ก็นับว่าให้เกียรติตระกูลมู่มากพอแล้ว
แต่จู่ ๆ ภาพความทรงจำบางอย่างในชาติก่อนผุดขึ้นมาในหัว
หลังจากเธอแต่งงานอยู่กินกับมู่อวิ่นเฉิงได้สี่ปี เขาก็คอยส่งเงินทองและข้าวของมาให้ครอบครัวเธอไม่เคยขาด โดยเฉพาะช่วงใกล้ปีใหม่ เขาจะส่งของมาเป็นภูเขาเลากา ไม่ว่าเธอจะอยากได้อะไร เขาก็หามาให้ได้หมด ไม่เคยขาดตกบกพร่อง
เสื้อผ้าหรูหรา เครื่องสำอางชั้นเลิศ และเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด พวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เกาซูต้องมี แม้ว่าบางครั้งเธอจะไม่ได้หยิบมาใช้เลยก็ตาม
แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป มู่อวิ่นเฉิงได้ประจำการอยู่ที่ชายแดน เขาจะไปหาของพวกนี้มาจากไหนให้เธอ?
เกาซูในตอนนั้นไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยตั้งคำถาม เธอต้องการอะไรก็แค่ส่งโทรเลขไปบอก และเขาก็ไม่เคยทำให้เธอผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของราคาแพงมากเพียงใด หายากสักแค่ไหน เขาก็จะหามาให้เธอได้เสมอ
ในตอนนั้น เธอจมอยู่กับความสุขสบายที่ได้รับจากอีกฝ่าย โดยไม่เคยฉุกคิดเลยว่า เขาต้องลำบากแค่ไหนกว่าจะได้ของพวกนี้มา
กระทั่งวันหนึ่งหลังจากที่มู่อวิ่นเฉิงเสียชีวิตไปได้ราวสองปี เธอก็ได้บังเอิญพบกับเพื่อนทหารเก่าของมู่อวิ่นเฉิง
แววตาของอีกฝ่ายจริงจัง และน้ำเสียงเต็มไปด้วยความชื่นชม ตอนที่พูดถึงความรักและความทุ่มเทที่มู่อวิ่นเฉิงมีต่อภรรยา
“จริง ๆ แล้ว ผู้กองมู่เขาเป็นคนที่รักภรรยามากนะครับ ผมจำได้ว่าตอนอยู่ที่หน่วยเดียวกัน เขามักจะฝากให้ผมซื้อของ แล้วส่งไปรษณีย์ไปให้ภรรยาที่บ้านอยู่บ่อย ๆ”
เกาซูในตอนนั้นนั่งฟังอย่างใจลอย ในหัวก็มีแต่เรื่องงาน ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเขามากนัก ได้แต่พยักหน้ารับรู้เป็นครั้งคราว
“ของที่ผู้กองมู่ซื้อ มีแต่ของใช้ของผู้หญิงทั้งนั้น… ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าสวย ๆ หรือเครื่องสำอาง เขาก็เลือกอย่างตั้งใจทุกชิ้น บางทีก็มานั่งดูรูปที่แนบมากับหนังสือสินค้ากับพวกเรา แล้วถามว่า ‘แบบนี้ภรรยาผมจะชอบไหม’ และบางทีเราก็เห็นเขาเขียนภาพอักษรอย่างตั้งใจ…”
เกาซูสะดุ้งเล็กน้อย เธอเพิ่งนึกขึ้นมาได้
ใช่แล้ว… ทุกปีในกล่องพัสดุขนาดใหญ่ที่มู่อวิ่นเฉิงส่งมาให้ก่อนวันปีใหม่ นอกจากเสื้อผ้าราคาแพง เครื่องสำอาง และเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดที่เธอเป็นคนสั่งแล้ว ก็มักจะมีกระดาษสีแดงแผ่นยาว ที่เขียนตัวอักษรพู่กันจีนอย่างสวยงามติดมาด้วยเสมอ
ทำไมเธอถึงลืมเรื่องนี้ไปได้นะ…
พอความจริงทุกอย่างประเดประดังเข้ามาในสมอง เกาซูก็ยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้นไปอีก
กระทั่งถึงตอนเข้านอน เธอก็ยังคงเซื่องซึมไป และเอาแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเองจนมู่อวิ่นเฉิงที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จต้องมองด้วยความสนใจ
ชายหนุ่มไม่ได้ท้วงอะไรออกมา เพียงแต่เดินมาหยุดตรงหน้าทั้งที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวพันเบื้องล่างเอาไว้
หญิงสาวใจลอยไม่ทันได้สติ แต่เมื่อตื่นจากภวังค์ก็ต้องสะดุ้งตัวโยน
“ว๊าย!”
เธอตกใจถอยกรูดไปติดหัวเตียง
“มู่อวิ่นเฉิง นี่คุณทำอะไร? ฉันตกใจหมดเลย!”
แทนที่จะสลด ชายหนุ่มกลับกระตุกอย่างนึกขำ
“ฉันเห็นเธอเหม่ออยู่ คิดอะไรอยู่เหรอ”
“…”
หญิงสาวไม่ตอบ จะให้เธอออกไปตามตรงได้อย่างไร ว่าเธอย้อนเวลามา และรู้สึกผิดกับเรื่องในอดีตที่เคยทำไว้กับเขา
“เปล่า” เธอตัดสินใจตอบส่ง ๆ ไป ทว่าคนที่ผ่านอะไรมากอย่างมู่อวิ่นเฉิงกลับมองออก เขาค่อย ๆ เคลื่อนกายเข้ามาใกล้ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปถามราวกับคาดคั้นจากผู้ร้าย
“เกาซู บอกมา”
น้ำเสียงแกมดุของเขาทำให้หญิงต้องตอบคำถามอย่างจนใจ
“ไม่มีอะไรหรอก! ฉันก็แค่คิดถึงคุณเท่านั้นเอง!”
“คิดถึงฉัน?” มู่อวิ่นเฉิงขมวดคิ้ว ก่อนจะถามต่อ “คิดถึงทำไม? ตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกันแล้วนี่”
เกาซูอายเกินกว่าจะสู้หน้าเขาได้แล้ว เธอเบือนหน้าหนี ทิ้งตัวลงนอน แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมกาย
แต่จู่ ๆ มือหนาของชายหนุ่มก็กระชากผ้าห่มออกอย่างรวดเร็ว
MANGA DISCUSSION