บทที่ 95 ไม่มีน้ำมันสักนิด
ครั้นพูดถึงสุราก็พลันรู้สึกว่าหนอนสุราที่หลับใหลมานานปีเริ่มตื่นขึ้นมาอีกครั้ง โงหัวคืบคลานขึ้นมาอย่างเงอะงะ
จูเหล่าซานยังไม่รู้ความชอบของพี่ชายตนเอง เขายิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง พี่ใหญ่ มีเหล้าพอกินแน่นอน ข้าให้เมียของซานจ้วงแลกกลับมาโดยเฉพาะเชียวนะ”
อีกด้านหนึ่ง จูอู่กลับไปถึงเรือนแล้ว
“ท่านแม่ ทางนั้นอยากให้พวกข้าอยู่กินข้าวด้วย ท่านพ่อรับปากไปแล้วขอรับ”
“อ้อ งั้นนกกระจอกที่พี่สามกับพี่สี่ของเจ้าจับกลับมาให้ เจ้ายังเอาอยู่หรือไม่? คนละครึ่งตัว” เย่อวี๋หรานกลัวว่าเขาจะพูดผิดจึงย้ำไปอีกที “ไม่มีส่วนของข้ากับพ่อเจ้า”
จูอู่ได้ยินว่ามีนกกระจอกก็อยากกิน แต่เมื่อเขาได้ยินว่าไม่มีส่วนของบิดามารดาก็อึ้งไป “เหตุใดจึงไม่มีส่วนของท่านแม่กับท่านพ่อล่ะขอรับ?”
“มีไม่พอ ถ้าข้ากับพ่อเจ้าไม่กินก็แบ่งให้พวกเจ้าได้คนละครึ่งตัวพอดี”
จูอู่ตอบกลับทันควัน “งั้นครึ่งตัวส่วนของข้าไม่เอาแล้ว ของพี่ใหญ่กับพี่รองก็ไม่เอาเหมือนกันขอรับ ท่านแม่ ท่านลำบากมาทั้งวันแล้ว ท่านกินเถอะ ข้ากับท่านพ่อกินข้าวทางนั้นจะต้องได้กินดี ๆ แน่นอน ท่านไม่ต้องเป็นห่วงพวกข้า”
เขาไม่ได้กิน งั้นพี่ใหญ่กับพี่รองก็ไม่ต้องกินแล้ว
ครั้นกลับไปถึงทางนั้น จูอู่ก็เลี่ยงอาสามกับอาสี่ และไปหาจูต้ากับจูเอ้อร์เพื่อบอกพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้
จูต้ากับจูเอ้อร์ฟังแล้วก็ไม่มีความเห็นอะไร ความคิดของพวกเขาไม่ได้ซับซ้อนเท่าจูอู่ ไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น
แม้จูอู่จะกินปูนร้อนท้อง แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการออกมา
ทว่าพี่น้องสกุลจูคำนวณพลาดไปอย่างหนึ่ง นั่นก็คือไม่ใช่ว่าอาหารสามมื้อของทุกครอบครัวจะอุดมสมบูรณ์เหมือนอาหารที่เรือนตนเอง
ปกติพวกเขากินข้าวอยู่ที่บ้านก็ไม่ได้รู้สึกว่าแตกต่างกันมาก แค่คิดว่าความเป็นอยู่ในปีนี้ดีขึ้นกว่าปีที่แล้วอยู่บ้าง แต่เมื่อพวกเขานั่งลงและเห็นสิ่งของที่อาสะใภ้สามกับอาสะใภ้สี่ยกออกมาก็กลับเงียบขรึมลง
จูต้ากับจูเอ้อร์เป็นคนซื่อ นับว่ายังดีอยู่ เพียงคิดว่าถ้ากินโจ๊กที่มีแต่น้ำเช่นนี้ลงไปแล้ว เกรงว่าฟ้ายังไม่ทันสว่างก็คงหิวอีกรอบแน่
ไม่รู้ว่าพอกลับเรือนไปแล้วยังจะมีแป้งกรอบให้กินรองท้องสักสองสามชิ้นหรือเปล่านะ
ส่วนจูอู่ “…”
ทันใดนั้นก็รู้สึกเสียใจทีหลังขึ้นมาเสียแล้ว ไม่น่าอยู่กินข้าวที่นี่เลย เขาหาข้ออ้างได้แท้ ๆ เช่นบอกว่าที่เรือนทำอาหารรอไว้แล้ว
“พวกเจ้ากินของพวกนี้?!” จูเหล่าโถวมองผักป่าที่แยกเป็นชนิดต่าง ๆ บนโต๊ะ มีท่าทางเหมือนไม่อยากเชื่อ “น้ำมันสักนิดก็ไม่มี จะกินอิ่มหรือไร?”
“ท่านพ่อ ท่านพูดอันใด?” จูอู่ได้ยินก็รู้ว่าแย่แล้ว รีบพูดว่า “ท่านพูดอะไร? แปลกตรงไหน ในช่วงเวลานี้ใครไม่กินโจ๊กกับผักป่าบ้าง? ตอนนี้กำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ไม่ใช่หรือ รอจนตากเมล็ดข้าวเสร็จ ทุกคนก็จะได้กินของใหม่ ได้กินข้าวสวยที่นวดเสร็จใหม่ ๆ ของปีนี้กันแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องหิวอีก…”
อพิโธ่ อพิถัง ท่านพ่อ ท่านจะมาเที่ยวบอกคนอื่นว่าครอบครัวเรากินอะไรกันไม่ได้นะ
ด้วยเกรงว่าบิดาจะเลอะเลือน จูอู่ไม่ปล่อยให้จูเหล่าโถวมีโอกาสพูดจาแม้แต่น้อย เปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยการชมเชยว่าผักป่าบนโต๊ะช่างสดใหม่จริง ๆ แค่มองก็ทราบว่าเป็นผักตามฤดูกาลที่เพิ่งเกิดใหม่ จะต้องเป็นของดีที่อาสะใภ้สามกับอาสะใภ้สี่ผู้ขยันขันแข็งเก็บกลับมาแน่นอน
ยามนั้น จูอู่อยากให้พี่สามกับพี่สี่ของเขาอยู่ด้วยยิ่งนัก ถ้าสองคนนั้นอยู่ที่นี่ด้วยเขาก็ไม่จำเป็นต้องเค้นสมองเช่นนี้แล้ว
มากินข้าวเรือนผู้อื่นแล้วยังติว่าไม่มีน้ำมันสักนิดเป็นเรื่องที่น่ากระอักกระอ่วนยิ่งนัก
นั่นปะไร จูซานเสิ่นกับจูซื่อเสิ่นเข้าใจผิดเสียแล้ว ถึงจะไม่ได้หักหน้าจูเหล่าโถวต่อหน้า แต่สีหน้าของพวกนางก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา
ในห้องครัว จูซานเสิ่นโยนผ้าขี้ริ้วลงบนเตาเสียงดังแล้วด่าว่า “ก็แค่ช่วยพวกเราเกี่ยวข้าวหน่อยเดียวไม่ใช่หรือไร? เมื่อก่อนก็ไม่เคยจะมาช่วย ตอนนี้ลูกพวกเราโตกันหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ช่วยแล้ว เขากลับวิ่งแจ้นมาเสียอย่างนั้น ยังจะเรื่องมากว่าเรือนเราไม่มีน้ำมันไปรับรองเขา หน้าใหญ่เหลือเกินนะ อาศัยอะไรให้ข้าไปรับรองเขา? ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าสามีข้า ข้าคงไล่เขาออกไปแล้ว”
ความจริงแล้วจูซื่อเสิ่นก็ไม่พอใจเช่นกัน แต่ตอนนี้มีคนโวยวายแล้ว นางไม่สะดวกจะไปผสมโรงด้วย ได้แต่ข่มโทสะเกลี้ยกล่อมว่า “จะทำอย่างไรได้? เจ้าไล่พวกเขาออกไปได้อย่างนั้นรึ? ข้าว่าบ้านนั้นทั้งบ้านล้วนโง่งม มีแค่จูอู่ที่ดีหน่อย พูดภาษาคนได้”
“เฮอะ! ถ้าไม่ใช่เพราะจูอู่หาทางลงให้ ข้าคงจะตอกหน้าเขากลับไปตรงนั้นแล้ว” นึกถึงคำพูดที่จูอู่ชมเชยพวกนางในตอนท้าย จูซานเสิ่นค่อยพอจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
แม้จูเหล่าซานกับจูเหล่าซื่อจะรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่ก็ยังเทน้ำใส่จอกแล้วยกขึ้นหันไปทางจูเหล่าโถว ขอบคุณที่เขาพาลูกชายมาช่วย
จูเหล่าโถวย่อมตระหนักดีว่าที่เขาพูดไม่ได้หมายความเช่นนั้น สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อก็คือ บ้านข้าอย่างน้อยก็มีน้ำพริกใส่เนื้อให้กิน บ้านพวกเจ้าไฉนกระทั่งหนังหมูสักแผ่นก็ไม่มีปัญญาซื้อ ได้แต่ใช้น้ำเปล่าต้มผักเช่นนี้?
ความหมายในคำพูดของเขาก็คือ ข้าคิดไม่ถึงว่าความเป็นอยู่ของพวกเจ้าจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้ ถ้ารู้แต่แรกคงจะให้เมียข้าส่งอะไรมาให้นานแล้ว
ทว่าบุพการียังอยู่ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องแสดงความกตัญญูต่อผู้อาวุโสทั้งสอง
น่าเสียดาย ทุกครั้งที่จูเหล่าโถวจะแพร่งพรายความอยู่ดีกินดีของบ้านตัวเองออกไป ก็เป็นต้องถูกจูอู่สกัดเอาไว้ทุกครั้ง ไม่ยอมให้เขาได้พูดออกมา
ล้อเล่นกันหรือไร ‘เนื้อ’ ในเรือนเท่านั้นมีพอแบ่งให้ใคร ๆ ด้วยหรือ?
ไม่เห็นเรอะว่าท่านแม่ครุ่นคิดหาวิธีทำให้ทุกคนได้กินอิ่มท้องกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน?
พี่สะใภ้สี่อุ้มท้องโตเช่นนั้นแล้วยังต้องไป ๆ มา ๆ แลกเปลี่ยนสิ่งของกับผู้อื่น เพื่ออะไรกัน? ยังไม่ใช่เพื่อหาเสบียงมาเพิ่มให้คนในครอบครัวหรือไร?
ยังมีเสี่ยวเม่ยน้องสาวคนสุดท้อง ปกตินางเปราะบางน่าทะนุถนอมถึงเพียงนั้น ตอนนี้ยังหัดถักสร้อยข้อมือ ช่วยครอบครัวหารายได้เสริม
บิดาของเขากลับดีนัก ตนเองไม่หาวิธีช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว ยังจะมาประพฤติตนเป็นตัวถ่วง มาแพร่งพรายให้คนอื่นรู้ว่าที่บ้านอยู่กินอย่างไร นี่ต้องการจะทำอันใดหรือ?
จูอู่กินอาหารมื้อนั้นอย่างไม่เป็นสุข เขานึกเสียใจว่าตนเองไม่น่ามาเลยจริง ๆ
สิ่งที่ทำให้จูอู่โมโหกว่าเดิมก็คือ บิดาของเขาเพิ่งติผักป่าต้มของผู้อื่นไปหยก ๆ แต่พอเหล้าเข้าปากไปครึ่งชามกลับเริ่มพูดเพ้อเจ้อแล้ว?!
“เจ้าสามเอ๊ย ข้าทุกข์ใจจริง ๆ” จูเหล่าโถวจับมือของจูเหล่าซาน ขอบตาแดงก่ำ “เจ้าไม่รู้หรอกว่าหญิงเฒ่าเจ้าเล่ห์คนนั้นทำเกินไปแค่ไหน ปกติควบคุมข้าเข้มงวดอย่างกับอะไร เหล้าสักแอะก็ไม่ยอมให้ข้าแตะต้อง…”
จูเหล่าซานคิดไม่ถึงว่าพี่ใหญ่ของเขาเลิกสุรามาได้สิบกว่าปี บัดนี้กลับมีความสามารถเชิงสุราต่ำเตี้ยลงถึงเพียงนี้
ยังไม่ถึงครึ่งชามดีก็เมาเสียแล้ว ล้วนพูดกันว่าคำพูดยามเมามายจึงจะเป็นถ้อยคำจากใจจริง ตอนนี้มาพูดอะไรเช่นนี้แล้วจะให้เขาตอบรับอย่างไร?
เขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่บอกให้พี่ชายกินข้าวเยอะ ๆ
“ท่านพ่อ ท่านพูดอันใด?” บิดาตนเองไม่มีเรื่องมีราวก็มาตัดพ้อมารดาอยู่ข้างนอก นี่หมายความว่าอย่างไรกัน? แม้จูอู่จะรู้สึกว่ามารดาของเขาโหดไปบ้าง ทำตัวเกินหน้าเกินตาบิดาของเขา ดังนั้นเขาถึงได้ค่อนข้างโหดกับหลินซื่อ เพราะกลัวว่านางจะเอาเยี่ยงอย่าง
แต่ถ้าพูดกันตามตรง ถ้ามารดาของเขาไม่โหดพอ จะปกป้องพวกเขาพี่น้องเอาไว้ได้หรือไม่ พวกเขายังจะมีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ไหมก็ยากจะบอกได้
จูอู่ยกโจ๊กขึ้นดื่มรวดเดียวหมด จากนั้นก็ฉุดจูเหล่าโถวขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านกินอิ่มแล้วใช่ไหมขอรับ? อิ่มแล้วงั้นข้าก็จะส่งท่านกลับเรือน ท่านทำงานมาทั้งวัน ควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ยังต้องทำงานกันอีก…”
เขายังส่งสายตาให้จูต้ากับจูเอ้อร์ บอกเป็นนัยให้พวกเขาเข้ามาช่วยอีกแรง
เขาอยากด่าคนจริง ๆ พี่ใหญ่กับพี่รองของเขาโง่ยิ่งนัก เขาส่งสายตาให้ขนาดแล้ว สองคนนั้นยังมีสีหน้างุนงง ราวกับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“พี่ใหญ่ พี่รอง มาช่วยเร็วเข้า ท่านพ่อดื่มเยอะไปแล้ว ข้าคนเดียวแบกไม่ไหว” จูอู่โมโหจนไม่คิดจะรักษาหน้าตาไว้แล้ว จึงเรียกคนมาช่วยตรง ๆ
“อ้อ” จูต้ากับจูเอ้อร์ค่อยเข้าใจ รีบลุกขึ้นมาช่วยหามเท้าของจูเหล่าโถวคนละข้าง
MANGA DISCUSSION