บทที่ 94 ท่านแม่ไม่เข้าข้างเจ้าหรอก
“เรื่องระหว่างพวกเจ้าสองผัวเมีย ข้าไม่ยุ่ง” เย่อวี๋หรานกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
ในบรรดาคู่สามีภรรยาสกุลจูก็มีเพียงคู่นี้ที่นางรู้สึกว่าปกติสักหน่อย ถึงจะมีปะทะคารมกันบ้าง แต่ก็แลดูใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน
ไม่เหมือนคู่อื่น ๆ แต่ละคู่ต่างก็มีปัญหาของตนเอง
ยกตัวอย่างเช่นเจ้าใหญ่และเจ้ารอง เวลาพวกเขาอยู่ต่อหน้าคนนอกมักพูดจากับภรรยาของตนเองน้อยมาก ส่วนใหญ่ก็แค่กำชับเรื่องงานเท่านั้น ส่วนว่ากลับเข้าห้องแล้วเป็นอย่างไร เย่อวี๋หรานยิ่งไม่แน่ใจแล้ว แต่เมื่อเห็นสะใภ้ทั้งสองล้วนมีสีหน้า ‘ไม่สมดั่งใจ’ ก็รู้ได้ทันที
ภรรยาของเจ้าสามก็กลับไปอยู่บ้านมารดามาตลอด นางย้อนยุคมาตราบเท่าเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาคน
ส่วนภรรยาของเจ้าห้า เฮอะ ๆ ลูกชายถึงกับ ‘ข่มขู่’ ภรรยาลับหลังนางแล้ว นั่นคือคู่ชีวิตอย่างนั้นหรือ?
จูซื่อมีสีหน้าได้ใจ “เห็นไหม ท่านแม่ไม่มีทางเข้าข้างเจ้าหรอก ท่านแม่เป็นแม่ข้า ข้าเป็นลูกชายแท้ ๆ ของท่านแม่ ถ้าจะเข้าข้างจริง ๆ ก็ควรอยู่ฝั่งข้าต่างหาก”
“เชอะ! ข้าเป็นลูกสะใภ้คนโปรดของท่านแม่เชียวนะ ถึงเวลาขึ้นมาจะเป็นอย่างไรก็ไม่แน่นักหรอก” หลี่ซื่อมุ่ยปาก ไม่เชื่อสักนิด
คราวนี้เป็นรอบหลินซื่อทำอาหาร เย่อวี๋หรานได้ยินว่านางเอานกกระจอกมาทำอาหารไม่เป็น จึงลุกขึ้นแล้วเข้าไปช่วยในครัว
การนำนกกระจอกมาปรุงอาหารก็ใช้วิธีเดียวกันกับไก่ คือใช้น้ำร้อนลวก ถอนขน ผ่าอกแหวกท้องเอาส่วนสกปรกในนั้นออกมา
นับแต่โบราณกาลมาก็มีคำกล่าวว่า ‘นกกระจอกแม้จะตัวเล็กไซร้ อวัยวะทั้งห้าล้วนครบครัน’ ซึ่งหมายความว่า อวัยวะภายในที่ไก่มี พวกมันก็มีเช่นกัน
แต่ว่าลำไส้ของนกกระจอกเล็กมาก ลำไส้ของไก่ยังสามารถเอามาทำความสะอาดได้ แต่ลำไส้ของนกไม่ง่ายดายเช่นนั้น
กอปรกับถูกวางยามาก่อน ดังนั้นเย่อวี๋หรานจึงไม่คิดจะประหยัด เครื่องในทั้งหมดล้วนไม่เอามาใช้
นกกระจอกหกตัวและนกที่ไม่ทราบนามอีกสองตัว รวมกันเป็นแปดตัว
ครอบครัวสกุลจูมีสมาชิกสิบหกคน รวมกับหลินซานยาและหลินซื่อยาก็เป็นสิบแปดคน หรือก็หมายความว่าต่อให้แบ่งกันคนละครึ่งตัวแล้วก็ยังขาดอีกหนึ่งตัว
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้ เป็นต้นว่าตัดส่วนของนางกับจูเหล่าโถวออกไป
เย่อวี๋หรานคิดเช่นนี้ก็ไม่คิดจะไปสอบถามความเห็นของจูเหล่าโถวแม้แต่น้อย แต่ตัดสินใจเรื่องนี้เอาเอง แล้วเอานกกระจอกเหล่านั้นมาผ่าครึ่ง
“ทำนกกระจอกไม่ได้ยุ่งยากอะไร จะทอดในน้ำมันหรือต้มเอาก็ได้ทั้งนั้น แต่ว่าในเรือนของพวกเรายังขาดแคลนวัตถุดิบ ต้มเอาจะง่ายกว่า” เย่อวี๋หรานทำพลางสอนหลินซื่อไปด้วย “นกพวกนี้ตายอย่างไรเจ้าก็ได้เห็นแล้ว เนื่องจากพวกมันล้วนถูกวางยา ข้าจึงไม่เอาเครื่องในมาทำอาหารเพื่อความปลอดภัยของทุกคน”
“บางอย่างก็ควรประหยัด แต่ของที่ไม่ควรประหยัดก็อย่าขี้เหนียวเป็นอันขาด ถึงตอนนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นมา คนที่จะลำบากก็คือคนในครอบครัวตัวเอง
“เจ้าดู พอล้างเสร็จแล้วก็เอานกกระจอกมาหมักกับขิงทิ้งไว้…”
ถ้ามีซีอิ๊วก็ดีสิ แต่น่าเสียดายที่เย่อวี๋หรานไม่พบร่องรอยของซีอิ๊วจากในความทรงจำเจ้าของร่างเดิม
เมื่อไม่มีซีอิ๊ว เวลาทำอาหารก็ลำบากยิ่งนัก อาหารหลายอย่างจำเป็นต้องใช้ซีอิ๊วนี่นา
ดูท่าในอนาคตนางคงต้องไปหาถั่วเหลืองมาให้ได้ จะได้ทำซีอิ๊วไว้ใช้เสียเอง
เมื่อมีซีอิ๊วก็สามารถทำหมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดงและขาหมูย่างราดน้ำจิ้มได้แล้ว
อ้อ จริงด้วย ยังมีน้ำส้มอีก
เนื่องจากการหมักต้องใช้เวลา เย่อวี๋หรานจึงให้หลินซื่อช่วยผสม ‘น้ำปรุงรส’
ตอนที่นางทำอาหารก่อนหน้านี้ได้สอนวิธีนำน้ำแกงกระดูกกับน้ำพริกเผ็ดใส่เนื้อมาทำน้ำปรุงรสให้พวกนางแล้ว เมื่อราดไปบนอาหารแล้วหอมยิ่งนัก ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ยากเกินไปสำหรับหลินซื่อ
เพียงแต่หลินซื่อยังกะอัตราส่วนไม่ถูกอยู่บ้าง ต้องให้เย่อวี๋หรานคอยจับตามอง
นี่ก็คือความแตกต่างของการรู้หรือไม่รู้หนังสือ เย่อวี๋หรานบอกพวกนางไปว่าสองต่อสามหรือหนึ่งต่อสี่ ไม่มีลูกสะใภ้คนไหนฟังเข้าใจสักคน
เพื่อให้พวกนางเข้าใจว่าอะไรคือ ‘อัตราส่วน’ เย่อวี๋หรานจึงได้แต่หาแท่งไม้เล็ก ๆ มาหักเป็นท่อน ๆ แล้วทดสอบพวกนางเหมือนตอนสอบแก้โจทย์วิชาคณิตศาสตร์
เมื่อทดสอบเช่นนี้ ผลลัพธ์ก็คือ…
พังไม่เป็นท่า
พวกนางไม่เข้าใจหนักกว่าเดิม
เย่อวี๋หรานพยายามสอนนางอีกหลายครั้ง สุดท้ายจึงถอดใจ “ช่างเถอะ ค่อยมาว่ากันทีหลังเถอะ”
จนกระทั่งครั้งหนึ่ง นางต้องการจะอธิบายว่าของบางอย่างต้องใช้อัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง นางจึงบอกว่าของสองอย่างนี้ใส่ในปริมาณเท่ากัน ถึงได้เริ่มจับทางได้ว่าต้องทำอย่างไรให้พวกนางเข้าใจ ไม่ต้องใส่เท่ากัน อันนี้ใส่หนึ่งส่วน อีกอันใส่สองส่วน (คืออัตราส่วนหนึ่งต่อสอง)
คราวนี้ลูกสะใภ้ทั้งหลายล้วนเข้าใจแล้ว
เย่อวี๋หรานถึงค่อยเข้าใจ ในใต้หล้านี้ไม่มีนักเรียนโง่เขลา มีเพียงครูที่สอนนักเรียนไม่เป็น
พวกนางไม่เข้าใจคำว่าอัตราส่วน แต่แค่บอกว่าอันนี้หนึ่งส่วน อันนั้นใส่สองส่วนในปริมาณเท่ากัน เท่านี้ก็เข้าใจแล้ว
หลังพบวิธีแก้ไขปัญหา ต่อจากนั้นอะไรก็ง่ายขึ้นมาก
“เจ้าดู พวกเราหมักนกกระจอกไว้ก่อนค่อยมาทำของพวกนี้ รอจนทำของพวกนี้เสร็จ นกกระจอกก็หมักได้ที่พอดี สามารถเอาลงกระทะได้แล้ว”
“เทน้ำมันลงไปก่อน ค่อยเอานกกระจอกลงกระทะ ผัดจนมีน้ำมันออกมา”
หลินซื่อปฏิบัติตาม
“อื้ม ได้แล้ว ใส่น้ำเกลือกับต้นหอมสับลงไปแล้วใช้ความร้อนอบต่อไปช้า ๆ ยังจำวิธีแยกแยะว่าสุกหรือไม่สุกได้อยู่ใช่หรือไม่?” เย่อวี๋หรานถาม
หลินซื่อพยักหน้า “จำได้เจ้าค่ะ ท่านแม่เคยบอกแล้ว ใช้ตะเกียบเสียบลงไป ถ้าเสียบทะลุเข้าไปได้จนถึงก้นก็แสดงว่าสุกแล้ว”
“อื้ม เจ้าอบต่อไป ระวังไฟมอดก่อนก็พอ ตอนที่ยกขึ้นมาก็เทน้ำปรุงรสลงไป ใช้วิธีการที่ข้าสอนเจ้าไปก่อนหน้านี้ ผัดต่อไปจนกระทั่งน้ำข้นแล้วก็เอาขึ้นได้”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่”
“เจ้าทำต่อเถอะ ข้าออกไปดูข้างนอกสักหน่อย”
เมื่อเย่อวี๋หรานออกมา แหจับปลาก็สานไปจนถึงช่วงเก็บปลายเชือกแล้ว
“ท่านแม่ สานเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ตรงนี้ต้องทำขอบเพิ่มไหมเจ้าคะ?”
สิ่งที่ทำให้เย่อวี๋หรานคิดไม่ถึงก็คือจูปาเม่ยที่เพิ่งจะเรียนถักสร้อยข้อมือได้ไม่นานกลับเสนอให้เพิ่มขอบแหจับปลาอย่างมีความคิดสร้างสรรค์
เดิมทีเย่อวี๋หรานคิดว่าแหจับปลานี้ทำขึ้นมาใช้งานกันเอง มีขอบหรือไม่ก็ไม่เป็นไร แต่เห็นว่าจูปาเม่ยเสนอความคิดขึ้นมาก็ให้นางทดลองดู จึงพูดให้กำลังใจไปว่า “อื้ม ความคิดนี้ดี! พวกเจ้าลองทำดูก็แล้วกัน”
จูซานกับจูซื่อว่าง ๆ ก็นั่งลงตรงหน้าแหจับปลา เรียนวิธีผูกปมกับพวกผู้หญิง
พวกเขาอยากให้สานเสร็จไว ๆ จะได้เอาไปดักปลาทิ้งไว้ในแม่น้ำ แล้วคอยดูว่าพรุ่งนี้จะจับปลาได้หรือไม่
ถ้าสามารถจับได้จริง ๆ ก็หมายความว่าต่อไปครอบครัวพวกเขาก็จะไม่ขาดแคลนเนื้อให้กินแล้วน่ะสิ?!
เรื่องดีงามเช่นนี้ แค่คิดก็ชวนให้เคลิ้มแล้ว
จูเหล่าโถวพาลูกชายสามคนไปช่วยงานทางนั้น จูเหล่าซานกับจูเหล่าซื่อรั้งพวกเขาให้อยู่กินข้าวด้วยกัน ตอนที่พวกเขาจะกลับมายังยืนกรานอย่างแข็งกร้าวว่า “ถ้าพวกเจ้าไม่อยู่กินข้าว พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาแล้ว”
ประโยคนี้ประโยคเดียวก็ทำให้จูเหล่าโถวและบุตรชายจำเป็นต้องอยู่กินข้าวเย็นกับทางนั้น
“เฮ้อ…งั้นข้าให้เจ้าห้ากลับไปบอกสักหน่อย เกรงว่าที่เรือนคงทำอาหารเย็นเผื่อพวกข้าแล้ว” จูเหล่าโถวทอดถอนใจแล้วตอบกลับไป
“ให้มันได้อย่างนี้สิ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยับย่นของจูเหล่าซาน “พี่ใหญ่ พวกเราสามพี่น้องไม่ได้กินข้าวด้วยกันมานานแล้ว วันนี้มีโอกาสสักครั้งก็ต้องกินดื่มกันให้เต็มที่”
“เจ้าซื้อเหล้ามา?” จูเหล่าโถวจะไม่รู้สถานการณ์ครอบครัวของพี่น้องได้อย่างไร จึงกล่าวเป็นเชิงตำหนิว่า “จะเปลืองเงินเช่นนี้ทำไม? พี่สะใภ้ของเจ้ามักรู้สึกว่าเจ้าสิ่งนี้สิ้นเปลืองเงินทอง ให้ข้าเลิกดื่มตั้งนานแล้ว หลายปีมานี้ไม่เคยให้ข้าดื่มเลยสักครา ข้าเกือบจะลืมรสชาติของมันไปแล้ว…”
MANGA DISCUSSION