บทที่ 87 โครงไก่ราดน้ำแกง
สุดท้ายเย่อวี๋หรานก็ไม่ได้ดูหลี่ซื่อฟอกหนังกระต่าย เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะทำเสร็จได้ในวันสองวัน อีกทั้งเย่อวี๋หรานยังต้องไปทำอาหารเย็น
แม้จะตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้จะทำอาหารจานเนื้อ แต่เมื่อพิจารณาว่าหลี่ซื่อยังท้องอยู่ ไม่เหมาะจะกินเนื้อกระต่าย จึงตัดสินใจเอาเนื้อไก่มาทำอาหาร
ก่อนจะเริ่ม นางแยกส่วนที่ติดมันของไก่และกระต่ายออกมาเคี่ยวเอาน้ำมันแล้วเทใส่โถ ต่อให้มีน้อยเพียงไรแต่ก็ยังเป็นน้ำมันนี่นา
ครั้นทำใจล้างหม้อที่เพิ่งจะใช้เคี่ยวน้ำมันไม่ได้ กากน้ำมันก็ตัดใจทิ้งไม่ลง นางจึงใช้น้ำมันส่วนนั้นมาผัดไก่หั่นเต๋าเสียเลย
เดิมทีควรเป็นผัดมันฝรั่งใส่ไก่ แต่น่าเสียดายที่เย่อวี๋หรานไม่เห็นแม้เงาของมันฝรั่ง จึงได้แต่เอามันเทศมาใช้แทนแล้ว
เอามันเทศหั่นเต๋าโยนลงไปผัดในหม้อจนกระทั่งออกเหลือง ตักขึ้นมาพักไว้ เทต้นหอมซอยลงไปผัดในน้ำมัน จากนั้นโยนเนื้อไก่หั่นเต๋าขนาดพอดีคำลงไปผัดไฟแรง
หลังจากเนื้อไก่เปลี่ยนสีแล้ว ค่อยเทมันเทศที่ผัดไว้ก่อนหน้านี้ลงหม้อไปอีกครั้ง เทน้ำพริกที่ผสมน้ำแกงกระดูกลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน ซึ่งเป็นวิธีที่เย่อวี๋หรานคิดขึ้นมาเพื่อช่วยประหยัดพริก แต่ยังได้กินอาหารที่มีรสเผ็ดอยู่ จากนั้นเติมน้ำลงไปพอสมควร และตุ๋นทิ้งไว้
ตุ๋นด้วยไฟอ่อนจนกระทั่งเนื้อไก่ซึมซับรสชาติจากน้ำแกงเข้าไป และก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
เย่อวี๋หรานแบ่งไก่ออกเป็นสองส่วนคือเนื้อไก่และโครงไก่
นางใช้เนื้อไก่ทั้งตัวมาหั่นเต๋าแล้วนำมาผัดกับมันเทศ แค่เนื้อไก่หั่นเต๋าก็มีพูนชามเล็กแล้ว
ได้กลิ่นหอมเย้ายวนใจปานนั้น หลิวซื่อที่รับหน้าที่ติดไฟ รวมถึงหลิ่วซื่อ หลินซื่อ จูปาเม่ย หลินซานยา และหลินซื่อยา ที่ยืนมองวิธีทำอาหารอยู่ข้าง ๆ ก็ล้วนอดใจไม่ไหว กลืนน้ำลายไปอึกใหญ่
หลินซานยากับหลินซื่อยามาอยู่เรือนสกุลจูได้สักพักแล้ว ยามนี้ได้ประจักษ์ในฝีมือปลายจวักของเย่อวี๋หราน ดังนั้น ขอเพียงเย่อวี๋หรานลงครัว พวกนางก็อดที่จะตั้งความหวังขึ้นมาไม่ได้ว่า วันนี้จะมีของอร่อยอะไรให้กินนะ?
ครั้นเห็นว่าเป็นเนื้อไก่ สองพี่น้องที่เคยได้สัมผัสกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ไม่กี่ครั้งก็ดีใจยกใหญ่!
แม้จะเป็นวันที่อากาศร้อน เย่อวี๋หรานยังคงเกรงว่าอาหารจะเย็นเร็วเกินไป จึงหาอะไรมาครอบไว้แล้วไปทำโครงไก่ต่อ
โปรดอย่าคิดว่าโครงไก่กินไม่ได้ คงจะรู้จักโครงไก่ทอดกันอยู่ใช่ไหม?
เรือนสกุลจูมีน้ำมันไม่มาก เย่อวี๋หรานย่อมไม่ได้ทำอาหารชนิดนี้อยู่แล้ว สิ่งที่นางตั้งใจจะทำก็คือโครงไก่ราดน้ำแกง
หม้อข้าง ๆ ยังตุ๋นน้ำแกงไว้ เย่อวี๋หรานตักน้ำแกงจากในนั้นมาใส่อีกหม้อ เติมน้ำลงไป จากนั้นนำโครงไก่ที่สับเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วใส่ลงไปในหม้อ
เนื่องจากต้องใช้เวลาทำนาน นางจึงให้ทุกคนออกไปทำงานอย่างอื่นกันก่อน เมื่อใกล้จะเสร็จแล้วก็ค่อยบอกพวกนาง
ระหว่างนั้นหลิ่วซื่อกับหลินซื่อออกไปนวดข้าวกันต่อ ส่วนจูปาเม่ย หลินซานยา และหลินซื่อยาไปล้างมือล้างหน้า แล้วนั่งถักสร้อยข้อมือด้วยกัน
หลี่ซื่อนวดหนังกระต่ายกับเกลือและสารส้มเสร็จ ก็หาอะไรมาขึงแล้วนำแผ่นหนังไปผึ่งทิ้งไว้
“ท่านแม่ ในหม้อนี้ต้มอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?” นางล้างหน้าเสร็จก็ได้ยินเสียงเย่อวี๋หรานเรียกคนอื่น ๆ กลับไปที่ครัว จึงรีบเข้ามาดูด้วย
“โครงไก่ราดน้ำแกง” เย่อวี๋หรานพูดพลางตักขึ้นมาใส่ถ้วย โครงไก่สับเผยโฉมออกมาให้เห็น แลดูมันแผล็บน่ารับประทานยิ่งนัก
เย่อวี๋หรานยังตักแป้งมาคลุกโครงไก่อีกที
ต่อมา ก็เทน้ำมันใส่ในกระทะ
หลิ่วซื่อ หลินซื่อ และหลี่ซื่อ เห็นน้ำมันที่นางเทลงไปก็ปวดใจยิ่งนัก แต่ไม่รอให้พวกนางพูดอะไร เย่อวี๋หรานก็เทโครงไก่ลงไป ฉับพลันนั้นก็มีเสียงน้ำมันกระเด็นถี่ ๆ ดังขึ้น
“ถ้าในเรือนมีน้ำมันมากกว่านี้ ที่จริงแล้วทอดในน้ำมันไปตรง ๆ เติมแป้งนิดหน่อย ทอดโครงไก่จนกรอบ นั่นจึงจะอร่อยที่สุด” เย่อวี๋หรานพูด
หลิ่วซื่อ หลินซื่อ และหลี่ซื่อ มองน้ำมันในกระทะแล้วก็หมดคำจะบรรยาย ท่านแม่ น้ำมันในกระทะก็มากพอแล้วนะเจ้าคะ ถ้ามากกว่านี้คือเท่าไหร่กัน?
เย่อวี๋หรานผัดโครงไก่สักครู่ จากนั้นค่อยเติมหัวไชเท้าหั่นฝอย มันเทศหั่นฝอย ต้นหอมซอยลงไปผัด
“ท่านแม่ หอมมากเลยเจ้าค่ะ!” จูปาเม่ยน้ำลายสอ รู้สึกว่าพอใส่น้ำมันก็ต่างออกไปจริง ๆ หอมจนทำให้คนมองยากที่จะยืนดูเฉย ๆ
“รอก่อน” เย่อวี๋หรานเห็นว่าได้ที่แล้วก็ตักขึ้นมาใส่ชาม
จากนั้นเติมน้ำแกงไก่และน้ำพริกเผ็ดลงไปในกระทะใบเดียวกัน ผัดต่อไปเรื่อย ๆ
หลังผัดเสร็จแล้วก็เทน้ำแกงราดลงไปบนโครงไก่
“ซี่——”
หลิ่วซื่อ หลินซื่อ หลี่ซื่อ และจูปาเม่ยมองอาหารที่แค่เห็นก็รู้ว่าอร่อยจนตาไม่กะพริบ
หลังทำอาหารจานที่สองเสร็จ เย่อวี๋หรานก็ไม่คิดจะทำต่อแล้ว จึงส่งต่องานที่เหลือให้เหล่าลูกสะใภ้
นางนำน้ำแกงไก่ไปทำน้ำแกงผักเพิ่มเติม จากนั้นจึงทำแป้งกรอบ และนี่ก็คืออาหารมื้อเย็นของวันนี้แล้ว
ยามนั้น พวกจูเหล่าโถวไม่รู้เลยว่าอาหารเย็นของวันนี้จะอุดมสมบูรณ์ปานนั้น พวกเขาเก็บงานที่ทำกันมาทั้งวันและช่วยกันหาบมัดข้าวกลับเรือน
พวกเขาพูดคุยกันว่าวันนี้มีใครมาช่วยงานพวกตนบ้าง บอกว่าเป็นการแสดงความขอบคุณที่สอนวิธีทำชาสมุนไพรให้ภรรยาของตนเอง รวมถึงขอบคุณเรื่อง ‘เย่โต่ว’ ด้วย
จูซื่อพูดว่า “คนมาช่วยเยอะขนาดนั้น งานของพวกเราก็เบาลงมาก เฮอะ ๆๆๆ…ถ้าทุกวันมีคนมาช่วยเยอะแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำงานกันแล้ว พวกเขาทำแทนพวกเราก็จบ”
จูซานกลอกตาใส่เขา “เจ้าฝันเรอะ เจ้าคิดว่าพวกเขาว่างงานปานนั้น? ยังไม่ใช่เพราะชาสมุนไพรกับเย่โต่วหรือไร ผู้อื่นไม่สะดวกใจจะเป็นฝ่ายรับอย่างเดียวจึงมาช่วยงานเป็นการตอบแทนน้ำใจ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านแม่เก่งกาจ เจ้าคิดว่ายังจะมีเรื่องดีงามเช่นนี้รึ?”
“เจ้าว่าในหัวท่านแม่ทำไมมีความคิดดี ๆ มากขนาดนั้นนะ? ในหมู่พวกเราทำไมไม่มีใครได้รับสืบทอดมาเลย?” จูอู่บ่น “ถ้าฉลาดเหมือนท่านแม่ พวกเราคงจะร่ำรวยกันแล้วกระมัง?”
“เฮอะ เฮอะ! เจ้าอยากฉลาดเหมือนท่านแม่? เจ้าไม่ได้ฟังท่านแม่พูดหรือ หลังช่วงเก็บเกี่ยว ท่านแม่ก็จะเริ่มสอนหนังสือให้พวกเราแล้ว ผ่านด่านนี้ไปให้ได้ก่อนค่อยมาพูดเถอะ” จูซานครุ่นคิดในใจ หลายวันมานี้ได้ยินเจ้าเจ็ด เสี่ยวเม่ย ต้าเป่าและเอ้อร์เป่าท่องตำรา ว่ากันตามตรงแล้วก็รู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง
น่าเสียดายที่เขาเป็นพี่ ถ้าเกิดช้ากว่านี้ เรื่องดีงามแบบนี้คงจะตกมาถึงเขาด้วยกระมัง
จูซานกลับไม่นึกตัดพ้อเย่อวี๋หรานที่ไม่ได้สั่งสอนพวกเขาตั้งแต่ยังเด็ก อย่างไรเสียความเป็นอยู่ของพวกเขาในสมัยก่อนก็เป็นเสียอย่างนั้น มารดาของพวกเขาลืมตาขึ้นมาได้ก็ต้องเค้นสมองคิดเรื่องปากท้อง ไม่มีกระทั่งเวลามาเล่นกับพวกเขา แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาสั่งสอน?
แต่ตอนนี้ พวกเขาโตแล้ว ช่วยท่านพ่อทำงานได้แล้ว ทั้งยังแต่งลูกสะใภ้เข้ามา ท่านแม่จึงมีภาระน้อยลง สามารถ ‘สร้างเรื่อง’ ได้แล้ว
แม้ว่าบางครั้งจูเหล่าโถวจะรังเกียจที่เย่อวี๋หรานสร้างเรื่อง แต่จูซานคิดว่าดูจากความเปลี่ยนแปลงในครอบครัวพักหลังมานี้ ท่านแม่ของเขาจะสร้างเรื่องก็อาจไม่ใช่เรื่องไม่ดีไปเสียทั้งหมด
สร้างเรื่องหมายความว่าอย่างไร?
ก็หมายความว่าท่านแม่มีแรงฮึด ครอบครัวของพวกเขามีความหวังพลิกตัวได้
“เฮ้อ…” จูซื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถอนใจ “เร็วไม่มาช้าไม่มา แต่กลับมาสอนเอาเวลานี้ พวกเราโตกันขนาดนี้ ใกล้จะเป็นพ่อคนแล้ว ยังจะต้องเรียนอะไรอีก?”
“เจ้าโง่จริง เมื่อก่อนท่านแม่ยุ่งขนาดนั้น มีเวลาที่ไหนกัน?” คำพูดของจูซานทำเอาจูซื่อกับจูอู่ที่ยังคิดจะตัดพ้อต้องหุบปากลงทันใด
MANGA DISCUSSION