บทที่ 144 นั่นมันเจ้าสามลูกชายหญิงเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่นา
“เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว พวกเจ้ายุ่งมาทั้งวันแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ” เย่อวี๋หรานบอกให้พวกนางไม่ต้องพูดอะไรแล้วและสั่งให้กลับไป
จับโจรต้องมีของกลาง ตอนนี้ยังจับคนไม่ได้ พวกนางแน่ใจได้อย่างไรว่ามีคนขโมยไป?
อาจจำผิดหรือถูกหนูแอบกินก็ได้ ใครจะรู้?
“ท่านแม่จะปล่อยไปแบบนี้หรือเจ้าคะ?” รอจนพี่สะใภ้ทั้งสองจากไปแล้ว จูปาเม่ยก็กระเถิบเข้ามากระซิบว่า “มีคนขโมยของในบ้านไปแล้วนะเจ้าคะ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนขโมยไป?” เย่อวี๋หรานถาม
“ถ้าไม่ใช่คนแล้วจะเป็นอะไรได้อีก? นี่เป็นเรื่องที่ชัดเจนออกนี่นา? จะว่าไปแล้ว พวกนางก็ไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้กันครั้งแรกเสียหน่อย…” ประโยคสุดท้ายจูปาเม่ยยิ่งพูดเสียงเบากว่าเดิม
“เจ้าเห็นกับตาตัวเอง?”
“เปล่า ข้าได้ยินคนอื่นพูดมาอีกทีเจ้าค่ะ”
เย่อวี๋หรานหมดคำจะกล่าว “เจ้าฟังพี่สะใภ้คนหนึ่งว่าร้ายพี่สะใภ้อีกคน เช่นนั้นก็ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองเลยรึ?”
“ความคิดอะไรเจ้าคะ?” จูปาเม่ยเผยสีหน้าเลิ่กลั่ก
“เจ้าคิดว่าคนประเภทใดจึงจะนินทาคนอื่นลับหลัง?” เย่อวี๋หรานถาม
“อึก” จูปาเม่ยเข้าใจความหมายของมารดาแล้ว จึงมีท่าทางพิพักพิพ่วน “ท่านแม่ ข้าไม่ได้นินทาพวกนางนะเจ้าคะ ข้าพูดเรื่องจริงนี่นา ข้าได้ยินพวกนางพูดกันแบบนี้จริง ๆ”
“พูดตอนไหน?”
จูปาเม่ยย้อนนึกเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวว่า “ช่วงก่อนเกี่ยวข้าวกระมัง ตอนนั้นที่เรือนเพิ่งขุดมันเทศจากบนเขามาได้ พวกนางก็ขโมยกันไปแล้วรอบหนึ่ง”
“หลังจากนั้นเล่า?” เย่อวี๋หรานถามชี้นำต่อไป
“หลังจากนั้น? หลังจากนั้นเหมือนจะไม่มีแล้วเจ้าค่ะ” จูปาเม่ยถามอย่างไม่ใคร่เข้าใจ “หลังจากนั้นท่านแม่อนุญาตให้พวกนางมีเงินส่วนตัวได้แล้ว หากในเรือนมีอะไร ท่านแม่ก็จะบอกให้พวกนางส่งกลับบ้านเดิมได้ ของก็ส่งไปแล้ว พวกนางยังจะขโมยอะไร?”
“แล้วเจ้าเคยคิดมาก่อนไหมว่าเหตุใดเมื่อก่อนพวกนางขโมย แต่ต่อมากลับไม่ขโมยแล้ว?” เย่อวี๋หรานถามพลางมองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง
จูปาเม่ยกะพริบตาปริบ ๆ “ข้าก็พูดไปแล้วนี่เจ้าคะ หลังจากนั้นท่านแม่ให้พวกนางส่งของกลับบ้านเดิมได้ ท่านแม่พูดแล้ว พวกนางจะขโมยอะไร ส่งของไปตรง ๆ ก็ได้นี่นา”
“แล้วต่อจากนั้น?”
“ยังมีอะไรอีกหรือเจ้าคะ?”
เย่อวี๋หรานยอมนางแล้ว พูดมาขนาดนี้ยังไม่เข้าใจอีก “งั้นข้าถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้าคิดว่าพวกพี่สะใภ้ขโมยของดีหรือไม่ขโมยของดี?”
“ไม่ขโมยต้องดีกว่าอยู่แล้วสิเจ้าคะ” จูปาเม่ยตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ใช่แล้ว พวกนางก็แค่อยากส่งของเล็กน้อยกลับไปช่วยเหลือครอบครัว ข้าช่วยพวกนางแก้ไขปัญหานี้แล้ว พวกนางจึงไม่ขโมยอีก ดังนั้นจากเรื่องนี้เจ้าสามารถมองออกว่าที่จริงแล้วพวกพี่สะใภ้ของเจ้านับว่าเป็นคนดี พวกนางไม่ได้อยากขโมยจริง ๆ แต่ถูกบีบคั้นจนไร้หนทางก็เท่านั้นเอง”
จูปาเม่ยมีท่าทางครุ่นคิด นางคล้ายจะเข้าใจแล้วว่ามารดาต้องการจะบอกอะไร เพียงแต่นางยังไม่อาจเข้าใจแจ่มแจ้งได้ในทันที
“ไม่ต้องรีบร้อน ตอนนี้เจ้ายังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เพียงแค่จำไว้ในใจก็พอ”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่”
……
หลังจากจูซานออกมาจากเรือนก็เลี่ยงสายตาผู้คน เขาวกไปตามทางสายน้อยตรงไปยังกระท่อมร้างหลังนั้น
ครั้นไปถึงครึ่งทาง เขาค่อยนึกได้ว่าตนเองลืมเอาน้ำมาด้วย!
“ข้าลืมเอาน้ำมา เจ้ากินปลาแห้งรองท้องไปก่อน ข้าย่างมันเทศสุกแล้ว เจ้าค่อยกิน” จูซานส่งปลาแห้งที่ใช้ใบไม้ห่อไว้อย่างดีไปให้จางเยียน จากนั้นก็เริ่มเตรียมพื้นที่จุดไฟ
“โห! มีปลาด้วยหรือ!” แววตาของจางเยียนเป็นประกาย
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ตามลำพังมาครึ่งค่อนวัน นางยังรู้สึกเสียใจอยู่เลยที่มาหาจูซานอย่างหุนหันพลันแล่น แต่เมื่อได้ยินว่ามีเนื้อมีปลาให้กินก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก
ควรทราบว่าตอนอยู่เรือนแม่เฒ่าเหมย ต่อให้แม่เฒ่าเหมยจะปรนนิบัติเรื่องอาหารการกินของนางดีแค่ไหน ทว่าแม้แต่เนื้อก็คงซื้อไม่ไหว แล้วจะเอาเนื้อจากไหนมาให้กิน?
นางรับปลามาแล้วยัดใส่ปาก รีบกัดกินทันที
“มันแข็ง เจ้ากินช้าหน่อย” จูซานเอ่ยเตือน
จางเยียนหิวจนตาลาย พูดเสียงอู้อี้ “อื้อ ข้ารู้แล้ว ง่ำ ๆๆ…อร่อย”
ต้องอร่อยอยู่แล้วสิ นั่นเป็นอาหารฝีมือมารดาของเขาเชียวนะ จูซานคิดในใจ พร้อมกันนั้นก็จัดการพื้นที่ใกล้ ๆ เก็บฟืนมากองแล้วเริ่มจุดไฟ
จางเยียนเห็นเขาเอาของบางอย่างฝังไว้ในกองไฟก็รีบกลืนอาหารลงคอ แล้วถามด้วยสีหน้าประหลาดใจว่า “เจ้าทำอะไรน่ะ? ทำไมต้องเอาฝังดินไว้ด้วย?”
“นี่คือมันเทศ ย่างไฟตรง ๆ จะเกรียมเอาได้ ฝีมือข้าไม่ถึง ฝังไว้ในดินจึงจะไม่ไหม้” จูซานตอบ
“มันเทศคืออะไร?”
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” จูซานไม่รู้จะอธิบายของสิ่งนี้ให้นางฟังว่าอย่างไร
แท้จริงแล้วหลังจากที่พวกเขาขนมันเทศชุดนั้นกลับมา มารดาของเขาก็ไม่ให้พวกเขาแตะต้องมันเทศอีก บอกว่าเตรียมจะเอาไว้สำหรับปลูกปีหน้า
ของกินที่เก็บมาได้จากบนเขา มารดาของเขาเก็บเอาไว้สำหรับปลูกเสียเป็นส่วนใหญ่
จางเยียนกินปลาชิ้นนั้นเสร็จแล้วก็พูดว่า “ข้าหิว”
“เจ้ารอก่อน ข้าไปตักน้ำสักครู่” จูซานบอกให้นางเฝ้ากองไฟเอาไว้ จากนั้นก็เด็ดใบไม้มาใบหนึ่งแล้วไปตักน้ำที่ริมแม่น้ำกลับมา
หญิงปากสว่างผูกใจเจ็บเย่อวี๋หรานเพราะคว้าน้ำเหลวเรื่องรับย้อมผ้าหาเงิน นางโทษว่าอีกฝ่ายเป็นตัวต้นเหตุ ไม่อย่างนั้นนางรับผ้าผู้อื่นมาให้สกุลจูย้อมให้สักหลายครั้งก็คงจะหาเงินไปช่วยเหลือบ้านมารดาได้แล้ว
ทุกครั้งที่มารดามาขอร้องนางทั้งน้ำตา นางเองก็จนปัญญา อายุขนาดนั้นแล้วยังต้องมาขอร้องลูกสาวที่ออกเรือนไปแล้วอยู่อีก ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน
น่าเสียดายที่นางไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจในบ้านแม่สามี เหนือเกล้ายังมีแม่สามีอยู่ และด้านข้างยังมีสามีคอยจับตามอง นางไม่สะดวกจะขโมยสิ่งของจากในเรือนจริง ๆ
สามีบอกนางแล้วว่าถ้านางกล้าขโมยของจากในบ้านไปจุนเจือทางนั้น เขาจะหย่าขาดจากนางทันที
มารดามันเถอะ! นางเป็นย่าคนแล้ว ถ้าถูกสามีหย่าเอาเวลานี้ นางยังจะมีหน้าไปพบผู้คนอีกหรือ?
หญิงปากสว่างทะเลาะกับสามี นางอารมณ์ไม่ดีจึงฉวยตะกร้าออกไปเก็บใบสะระแหน่แทน
ถึงฟ้าจะมืดแล้ว แต่นางก็รู้ว่าจะไปเก็บใบสะระแหน่ได้ที่ไหน หากจะให้หลับตาก็ยังสามารถเก็บกลับมาได้เต็มตะกร้า
ขณะกำลังเก็บใบสะระแหน่อยู่นั้น นางเห็นคนหนุ่มผู้หนึ่งมาตักน้ำด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ
ครั้นเพ่งมองแล้วก็พลันร้องเอ๊ะ นั่นมันเจ้าสามลูกชายของหญิงเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่นา? ป่านนี้แล้วเขาไม่อยู่ที่เรือน ออกมาทำอะไรข้างนอก?
นางตามหลังอีกฝ่ายไปทันทีราวกับมีอะไรมาดลใจ
“รีบดื่มเร็วเข้า ใบไม้มันรั่ว” จูซานกลับมาที่กระท่อมหลังนั้นแล้วส่งน้ำไปให้
จางเยียนกินปลาแห้งจนกระหาย จึงรับน้ำมาดื่มรวดเดียว “ติดคอจะตายแล้ว!”
“ข้าก็บอกแล้วนี่ ปลาแห้งมันแข็ง ให้เจ้ากินช้า ๆ” เขาพูดอยู่ก็เห็นว่ากองไฟบนพื้นใกล้จะมอดแล้วจึงรีบใส่ฟืนเพิ่ม “ให้เจ้าดูไฟไว้ไม่ใช่หรือ ทำไมไม่เติมฟืน?”
“ข้าหิวนี่นา พอได้กินก็ลืมหมดแล้ว” จางเยียนน้อยใจ
จูซานตรวจสอบมันเทศที่ฝังอยู่ข้างล่าง ดูว่าไหม้หรือยัง โชคดีที่เขาไม่ได้ไปนาน พวกมันจึงยังมีสภาพดีอยู่
“ข้าเอามาแค่สองหัว ถ้าไหม้หมดก็ไม่มีข้าวเย็นให้เจ้ากินแล้ว”
“แค่สองหัว ข้าจะอิ่มหรือ?”
“เจ้านี่กินแล้วอยู่ท้อง”
……
หญิงปากสว่างรีบตามไปอย่างใจเย็น ในที่สุดก็มาถึงกระท่อมหลังนั้น
เนื่องจากฟ้ามืดเกินไป นางจึงไม่สังเกตเห็นควันไฟที่ลอยขึ้นฟ้า แต่เมื่อเข้าไปใกล้ก็สามารถมองเห็นแสงสว่างจากกองไฟได้รำไร
แล่นมาจุดไฟกันตรงนี้ดึก ๆ ดื่น ๆ จะต้องมีพิรุธแน่นอน!
หญิงปากสว่างค่อย ๆ คืบเข้าไปใกล้ด้วยความใคร่รู้
MANGA DISCUSSION