บทที่ 143 เสบียงหายไป
จวบจนพวกเขาไปหยุดอยู่หน้ากระท่อมร้างหลังหนึ่ง จางเยียนก็แทบไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้าคงไม่ได้จะให้ข้าอยู่ที่นี่หรอกใช่หรือไม่?!” นางชี้กระท่อมที่ไม่ทนฟ้าทนฝนพลางกล่าวว่า “ข้าท้องลูกของเจ้าอยู่นะ ถ้าอยู่ที่นี่ เจ้าแน่ใจนะว่าลูกเจ้าจะไม่เกิดเรื่อง?”
“งั้นเจ้าอยากอยู่ที่ไหน?” จูซานถาม “เจ้าอยากตามข้ากลับบ้าน? ได้ ถ้าเจ้าไม่กลัวแม่ข้า ข้าจะพาเจ้ากลับไปก็ได้ เจ้ากล้าหรือเปล่า?”
เขาเดิมพันไว้ว่าจางเยียนไม่กล้า
นางทำตัวอวดดีต่อหน้าเขา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ามารดาของเขากลับเหมือนมุสิกเผชิญแมว คนงานที่ต้องคอยสังเกตสีหน้าคนอื่นยังคล่องแคล่วกว่านางเสียอีก
จางเยียนได้แต่หดคอ “แต่…แต่ก็อยู่ที่นี่ไม่ได้ ข้าอุ้มท้องแก่อยู่ที่นี่คนเดียว ข้ากลัว”
“ตอนเย็นข้าจะหาโอกาสหลบคนอื่น ๆ มาหาที่นี่”
เมื่อได้ยินว่าเขาจะมาอยู่เป็นเพื่อนตนเอง จางเยียนก็โล่งอก “งั้น…ก็ได้ เจ้าจะพาข้ากลับบ้านตอนไหน?”
จูซานมองท้องของนางแล้วพูดว่า “ตอนที่เจ้าคลอดเด็กออกมาแล้ว”
“หา? นานเพียงนั้นเชียว ยังเหลืออีกเป็นเดือนเลยนะ” เจ็ดเดือนรอด แปดเดือนลูกผีลูกคน[1] จางเยียนคิดว่าครรภ์ของนางจะต้องคลอดเมื่อครบแปดเดือนไปแล้วแน่นอน ถึงตอนนั้นก็เป็นช่วงปลายเดือนสิบเอ็ดต้นเดือนสิบสอง อากาศเริ่มหนาวเย็นแล้ว
นางไม่มั่นใจว่าตนเองจะทานทนรับความลำบากเช่นนั้นไหว
อย่าเห็นว่าครอบครัวแม่เฒ่าเหมยไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีอะไร แต่แม่เฒ่าเหมยไม่เคยปล่อยให้นางลำบาก ไม่กี่เดือนมานี้ นอกจากเรื่องการกินการอยู่ที่แย่ไปหน่อย แม่เฒ่าเหมยแทบจะยกย่องนางเป็นบรรพบุรุษปรนนิบัติพัดวีแล้ว แม้แต่ลูกชายโง่งมของแม่เฒ่าเหมยยังได้แต่ยืนมองอยู่ข้าง ๆ
นึกถึงลูกชายปัญญาอ่อนของแม่เฒ่าเหมย จางเยียนก็มีสีหน้ารังเกียจ
ก่อนหน้านั้น คนปัญญาอ่อนที่นางเคยสัมผัสมาก่อนก็มีแต่จูชีของครอบครัวสกุลจู แม้เขาจะโง่เหมือนกัน แต่หาได้น้ำลายยืด ปากเบี้ยวตาเหล่ แค่มองก็ชวนให้ขนพองสยองเกล้า
ขอเพียงจูชีไม่เคลื่อนไหวไม่หัวเราะ ดูไปก็เหมือนคนปกติคนหนึ่ง
หลังกินอาหารเย็นวันเดียวกันนั้น จูซานก็แอบเข้าไปในห้องครัว
แม้ปกติในเรือนไม่ขาดแคลนของให้เขากิน แต่ว่ากันตามจริงแล้ว เขายังไม่เคยกระทำเรื่องทำนองนี้มาก่อน
แต่เมื่อนึกถึงว่าเด็กในครรภ์ของจางเยียนอาจเป็นลูกเขา เขาก็ไม่อาจปฏิบัติต่อลูกของตนเองอย่างไม่เป็นธรรมได้ จึงได้แต่ทำเช่นนี้
เขาเอาน้ำพริกใส่เนื้อ ปลาแห้งกับมันเทศไปอย่างละเล็กละน้อย มารดาของเขาคงไม่สังเกตหรอกกระมัง?
จากนั้นยัดทั้งหมดนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อ จูซานอาศัยช่วงที่ฟ้าเริ่มมืดแล้วลอบออกไปจากเรือน
ตอนที่จูซานแอบเข้าไปในครัว หลินซื่อไม่ทันสังเกต นางเก็บโต๊ะกินข้าว ล้างชามแล้วทำความสะอาดไปรอบหนึ่ง
จนกระทั่งนางทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ตระเตรียมจะเก็บของกลับพบว่าจำนวนไม่ถูกต้อง
“หรือข้าจะจำผิด?” หลินซื่อไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ นางนับดูอีกรอบแล้วค่อยออกไปยืนยันจำนวนกับสะใภ้รองที่ทำงานด้วยกันเมื่อเช้านี้
หากแต่หลิวซื่อกลับพูดว่า “ไม่ถูกต้อง ตอนที่นับจำนวนเสบียงเมื่อเช้าไม่ได้เหลือเท่านี้ เจ้านับผิดหรือเปล่า?”
“เป็นไปไม่ได้ ข้านับหลายรอบแล้ว”
“ข้าไปนับกับเจ้าด้วย”
หลิวซื่อตามหลินซื่อกลับไปยังห้องครัว นับจำนวนปลาแห้งที่แขวนไว้ใหม่อีกครั้ง แล้วนับจำนวนมันเทศ สุดท้ายจึงค่อยตรวจดูน้ำพริกใส่เนื้อ
น้ำพริกนี้ใช่ว่าจะตรวจสอบไม่ได้ พวกนางอาจไม่รู้ปริมาณที่แน่นอน แต่เพราะไม่ได้มีเพียงคนเดียวที่แตะต้อง ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้คนแอบกิน แต่ละคนจึงทำเครื่องหมายเอาไว้ในใจ
“น้อยลงทุกอย่าง เมียเจ้าสี่มาเอาน้ำพริกใส่เนื้อไปหลังตอนกินข้าวเย็นหรือเปล่า?” หลิวซื่อถาม
หลินซื่อส่ายศีรษะ “เปล่านะเจ้าคะ วันนี้พี่สะใภ้สี่รู้สึกไม่สบายท้อง ออกมาแค่ตอนกินข้าวเย็น นอกจากนั้นล้วนนอนในห้องมาตลอด ไม่ได้ออกมาเลย”
“ข้าไปถามสักหน่อย”
ทั้งสองคนไปห้องของหลี่ซื่อเพื่อถามเรื่องน้ำพริกใส่เนื้อ
มันเทศกับปลาแห้งล้วนไม่เป็นไร แต่ว่าน้ำพริกใส่เนื้อบรรจุอยู่ในโถ ปิดผนึกเอาไว้ดิบดี หนูไม่สามารถแอบกินได้ นอกจากฝีมือคนในครอบครัวแล้ว พวกนางคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะเป็นอะไรได้อีก
เดิมทีเสบียงเหล่านี้จะเก็บไว้ในห้องแม่สามี เวลาจะทำอาหารแต่ละมื้อ แม่สามีค่อยนำออกมา แต่เมื่อความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้นเรื่อย ๆ แม่สามีคิดว่าทำเช่นนี้ยุ่งยากเกินไป จึงนำออกมาปริมาณเท่ากับที่จำเป็นต้องใช้ประกอบอาหารในหนึ่งวัน ทั้งยังกลัวว่าจะไม่พอใช้ จึงเอาออกมาเผื่อไว้ด้วย
ดังนั้นหลายครั้งจึงมีเสบียงเหลือ ส่วนที่เหลือนี้จะถูกนำไปคืนที่ห้องแม่สามีเพื่อเก็บรักษาเอาไว้หลังกินอาหารเย็นภายในวันเดียวกัน
และเพื่อป้องกันคนขโมย ระหว่างทำอาหารอยู่นั้นทุกคนจึงล้วนผลัดกันสอดส่อง เป็นต้นว่าเมื่อถึงเวรหลินซื่อทำอาหาร หลิวซื่อก็จะมาช่วยเป็นลูกมือ พร้อมกับจับตามองหลินซื่อ ป้องกันไม่ให้นางยักยอกเสบียง
เนื่องจากหลี่ซื่อมักก่อเหตุบ่อย ๆ ทั้งยังชอบขโมยน้ำพริกใส่เนื้อ แต่ของสิ่งนี้เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของสะใภ้คนอื่น ๆ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหลิวซื่อหรือหลินซื่อล้วนช่วยกันจับตามอง กลัวว่าหลี่ซื่อจะแอบขโมยน้ำพริกส่งกลับบ้านมารดาลับหลังพวกนาง
“เปล่านี่ ข้าออกไปแค่ตอนกินข้าว วันนี้ไม่ใช่เวรข้าล้างจาน กินข้าวเสร็จก็กลับมาแล้ว” หลี่ซื่อสะดุ้งน้อย ๆ รู้สึกเจ็บท้องแปลบปลาบ
นางเสียใจทีหลังเสียแล้ว วันนี้ควรฟังคำของแม่สามี ไม่น่าออกไปเดินเล่นข้างนอกเลย
ดูเอาเถอะ วันนี้ไม่ได้เดินเยอะเท่าปกติด้วยซ้ำ แต่ท้องกลับเริ่มเจ็บขึ้นมาแล้ว
แต่หลี่ซื่อไม่กล้าบอกเย่อวี๋หราน กลัวว่าแม่สามีรู้เข้าจะ ‘สวด’ นางเอาได้
“พวกเจ้านับดีแล้วหรือ? ไม่อย่างนั้นก็ลองไปถามพี่สะใภ้ใหญ่ดูสิ ตอนเที่ยงนางก็ช่วยงานในครัวไม่ใช่หรือไร?” หลี่ซื่อเสนอแนะเพื่อให้พวกนางออกไปเร็ว ๆ
หลิวซื่อกับหลินซื่อได้แต่ถอยทัพออกมาแล้วไปหาหลิ่วซื่อ
หลิ่วซื่อกินข้าวเย็นเสร็จแล้วก็ตักน้ำร้อนในหม้อมาผสมน้ำเย็น จากนั้นก็อาบน้ำให้ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่า
ครั้นนางได้ยินคำถามก็เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ข้าไม่ได้เอาไป”
“พวกข้าก็ไม่ได้พูดว่าพี่สะใภ้ใหญ่เอาไป แค่อยากจะถามว่าพี่สะใภ้ใหญ่ยังจำปริมาณได้หรือไม่ ลองบอกมาเทียบกับของพวกข้าสักหน่อย” หลินซื่อเกรงว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะเข้าใจผิดจึงรีบบอกกล่าวให้ชัดเจน
หลิ่วซื่อบอกจำนวนออกมานิ่ง ๆ
“เจ้าเห็นหรือไม่ เท่ากันเลยไม่ใช่หรือ พวกเราสองคนไม่ได้จำผิดเสียหน่อย เสบียงหายไปจริง ๆ ด้วย” หลินซื่อกล่าวจบก็รีบปรึกษาพวกนางสองคนว่าสมควรแจ้งเรื่องนี้ต่อแม่สามีหรือไม่
ที่จริงนางเริ่มระแวงขึ้นมาแล้ว เรื่องนี้นางไม่ได้เป็นคนทำ เป็นไปได้หรือไม่ที่คนทำจะเป็นพี่สะใภ้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สะใภ้รอง?
อย่างไรเสียวันนี้คนทั้งคู่ก็มาช่วยนางทำงาน ส่วนพี่สะใภ้สี่เพิ่งส่งของกลับบ้านมารดาไปวานนี้ ไม่น่าจะก่อเรื่องขึ้นมาเอาเวลานี้
เรื่องนี้หลิ่วซื่อกับหลิวซื่อก็ไม่ได้เป็นคนทำเช่นกัน ครั้นได้ยินหลินซื่อจงใจเสนอขึ้นมาเช่นนี้จึงพยักหน้า “บอกท่านแม่ให้รู้ไว้สักหน่อยก็ดี”
เย่อวี๋หรานฟังวาจาของลูกสะใภ้ทั้งสองคนแล้วก็เลิกคิ้วสูง “พวกเจ้าถามมาดีแล้วหรือ?”
หลินซื่อพยักหน้า “เจ้าค่ะ ท่านแม่ ถามมาหมดแล้ว ทั้งพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รองกับพี่สะใภ้สี่ ตัวเลขไม่ตรงกันเลย ก่อนข้าทำข้าวเย็นก็นับไปแล้ว แต่ถึงตอนกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว เตรียมจะเอาเสบียงมาเก็บจึงรู้ว่าจำนวนพร่องไป”
“ปลาแห้งสี่ชิ้น มันเทศสองหัว น้ำพริกใส่เนื้อหนึ่งช้อน…มีใครเอาไปหรือเปล่า?” เย่อวี๋หรานพูดพลางจับพิรุธจากสีหน้าของหลิวซื่อกับหลินซื่อ
สีหน้าพวกนางต่างก็ปกติดี ไร้ทีท่ากินปูนร้อนท้อง
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ ท่านแม่ ท่านว่าเรียกทุกคนมาถามดีหรือไม่เจ้าคะ?” หลินซื่อเสนอขึ้นอย่างระมัดระวัง “เรื่องไม่ดีแบบนี้ พวกเราสมควรตัดทิ้งตั้งแต่ตอนยังเป็นหน่ออ่อน ถ้าปล่อยไว้บ่มเพาะเป็นนิสัยลักขโมยจนเคยตัว เช่นนั้นครอบครัวเราก็คงจะแย่แล้ว”
[1] เจ็ดเดือนรอด แปดเดือนลูกผีลูกคน 七活八不活 เป็นความเชื่อพื้นบ้านของจีนโบราณ สมัยก่อนคนจีนเชื่อว่าถ้าคลอดก่อนกำหนดหลังจากครรภ์ครบเจ็ดเดือน ทารกมีอวัยวะต่าง ๆ ครบแล้วยังมีโอกาสรอดชีวิต อีกทั้งเด็กตัวเล็ก คลอดง่าย แต่ถ้าคลอดเมื่ออายุครรภ์แปดเดือนไปแล้ว เด็กตัวโตเกินไป คนสมัยก่อนคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ เด็กตัวโตจะทำให้คลอดยาก แม่มีโอกาสเสียชีวิตสูง อย่างไรก็ตาม ความเชื่อนี้ไม่มีหลักฐานอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์
MANGA DISCUSSION