บทที่ 102 ยังไร้เดียงสาเกินไปจริง ๆ ด้วย
“เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าข้าจะเต็มใจสอนวิธีสานแหจับปลาให้คนอื่นโดยไม่คิดเงิน?” เย่อวี๋หรานพบว่ากานอี้เซียนผู้นี้คล้ายจะอายุน้อยเกินไป จึงคิดว่าเรื่องราวต่าง ๆ จะเป็นไปอย่างที่ตนคิดไว้
ความสำเร็จของฟางโต่วทำให้เขาลืมตัว นึกว่าเรื่องราวทุกอย่างล้วนสามารถดำเนินการเช่นนั้นได้
“เหตุใดจะไม่เต็มใจ?” กานอี้เซียนเหมือนจะไม่เข้าใจเท่าไหร่ “นี่เป็นเรื่องดีนี่นา”
“ถ้าใคร ๆ ก็จับปลาเองได้ แล้วใครยังจะมาซื้อปลากับข้า?”
กานอี้เซียนถูกถามจนสะอึก
“ข้าถามเจ้าอีกครั้ง ตั้งแต่ปลาฟักตัวออกมาจากไข่เป็นปลาเล็ก กระทั่งโตเป็นปลาตัวใหญ่พอให้คนกินได้ ต้องใช้เวลาเท่าไหร่?”
“เรื่องนี้ข้าทราบ”
ไม่รอให้กานอี้เซียนพูดต่อ เย่อวี๋หรานก็ถามอีกว่า “เจ้ารู้ก็จริง แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าแม่น้ำในใต้หล้านี้มีอยู่กี่สาย ส่วนคนบนโลกมีจำนวนเท่าไหร่? เจ้าว่าถ้าใคร ๆ ก็จับปลาได้ ทุกคนล้วนไปจับปลาในแม่น้ำ แล้วจะมีปลามากสักเท่าไหร่ให้ทุกคนจับ?”
กานอี้เซียนถูกถามจนเงียบไปอีกครั้ง แต่เขาก็ชี้แจงว่า “น่าจะไม่…ลงน้ำจับปลากันทุกวันหรอกกระมัง?”
เย่อวี๋หรานส่ายหน้า “ในสภาพแวดล้อมที่ยากจนข้นแค้น ใจคนยากแท้หยั่งถึง นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ในยามหิวโหย เพื่ออาหารมื้อเดียวแล้ว คนสามารถทำสิ่งชั่วร้ายได้ทุกอย่าง แม้แต่ในปีที่เกิดภัยแล้ง คนจากสองหมู่บ้านยังถึงขั้นต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงสิทธิ์ในการใช้งานแม่น้ำสายเดียว แล้วเจ้าคิดว่าคนจะไม่ขัดแย้งกันเพราะเรื่องจับปลาเลยหรือ?”
“เอ่อ…”
“ตอนนี้มีเพียงครอบครัวข้าที่รู้วิธีหาปลาเช่นนี้ก็มีคนเริ่มอิจฉาตาร้อนเสียแล้ว พูดจากระทบกระทั่งไปทั่ว เจ้าคงไม่ได้คิดว่ามนุษย์ทุกคนจะเปี่ยมความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีจิตใจดีงามใสสะอาดถึงขั้นยอมเสียสละทุกอย่างให้ผู้อื่นด้วยความเต็มใจกระมัง?”
กานอี้เซียนแสดงชัดว่าตระหนักได้แล้ว จึงถามขึ้นอย่างห่อเหี่ยวว่า “เช่นนั้น…ก็ไม่ทำแล้ว?”
เป็นเรื่องดีงามที่เอื้อประโยชน์ต่อมหาชนชัด ๆ เขาไม่เข้าใจเลยว่าสุดท้ายจะกลายเป็นแบบที่จูต้าเหนียงพูดถึงได้อย่างไร?
ใครบางคนที่อาศัยอยู่ในศาลเจ้ามาจนชินรู้สึกว่าโลกมนุษย์ช่างซับซ้อนยิ่งนัก!
“เจ้าอยากมอบผลประโยชน์ให้ส่วนรวม เรื่องนี้ข้าเห็นด้วย แต่ไม่ใช่วิธีการของเจ้า มีคำกล่าวไว้ว่า ‘ข้าวสารหนึ่งเซิงก่อเกิดบุญคุณ ข้าวสารหนึ่งโต่วบ่มเพาะความแค้น’ [1] ก็คือหลักการนี้เอง พวกเราสามารถสอนอะไรบางอย่างให้พวกเขาได้ แต่ไม่อาจให้เปล่า ๆ ไปเสียทุกอย่าง ถ้าให้เปล่าไปเสียทั้งหมด ทุกคนไม่เพียงจะไม่รู้สึกว่าของสิ่งนั้นมีค่า แต่ยังคิดว่ามันสมควรเป็นเช่นนั้นอีกด้วย จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าไม่อาจให้ผู้อื่นได้อีกแล้ว คนอื่นก็จะตำหนิเจ้า เมื่อก่อนเจ้าก็ให้ข้ามาตลอดนี่นา แล้วทำไมตอนนี้ถึงให้ไม่ได้?”
เย่อวี๋หรานเกรงว่าเรื่องนี้จะทำลายต้นกล้าขุนนางน้ำดีไปเสีย จึงอธิบายหลักการบางอย่างให้เขาฟังอย่างใจเย็น
มอบปลาให้คน มิสู้สอนคนจับปลา คำกล่าวนี้กล่าวได้ถูกต้อง แต่ยังต้องพิจารณาตามสถานการณ์ด้วย
ฟางโต่วกับแหจับปลาเป็นคนละเรื่องกัน ฟางโต่วนำไปใช้กับที่นาและต้นข้าวของตนเอง ดังนั้นให้พวกเขาร่วมมือกันย่อมไม่มีปัญหา แต่แหจับปลานั้นไม่เหมือนกัน มันเกี่ยวพันถึงแม่น้ำและสระน้ำที่ทุกคนใช้ร่วมกัน เกี่ยวพันถึงสมบัติสาธารณะที่ใคร ๆ ก็สามารถหาประโยชน์ได้
ไม่มีใครเต็มใจให้คนอื่นได้เปรียบ เจ้าจับปลามาจากแม่น้ำหรือสระน้ำสาธารณะ ผู้อื่นไม่มีทางปล่อยไปทั้งอย่างนั้น แต่พวกเขาก็จะเอาอย่างเหมือนกัน ทั้งยังจะแข่งขันกับเจ้าด้วยว่าใครจับได้มากกว่ากัน?
เมื่อต่างคนต่างก็อยากจับให้ได้มากกว่าอีกฝ่าย ปลาในแม่น้ำหรือสระน้ำแห่งนั้นยังจะมีชีวิตต่อไปได้หรือ?
“นอกจากนี้ ถ้าทุกคนผันตัวไปเป็นคนหาปลากันหมด แล้วใครจะทำนา ทอผ้า ค้าขาย…ไม่ว่าเสื้อผ้า อาหาร ที่พักหรือการเดินทาง ในสามร้อยหกสิบอาชีพย่อมต้องมีคนไปทำ แต่ละคนทำหน้าที่ของตนเอง โลกนี้จึงจะดำเนินไปได้” เย่อวี๋หรานยิ้มถาม “เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
“แต่ละคนทำหน้าที่ของตนเอง…” กานอี้เซียนราวกับตกอยู่ในภวังค์
เย่อวี๋หรานพยักหน้า “ใช่แล้ว ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน ข้าเข้าใจเจตนาของเจ้า เจ้าอยากให้ผู้คนเหนือแผ่นดินผืนนี้มีชีวิตที่ดี ทว่าแต่ละคนต่างก็มีวิถีชีวิตในรูปแบบของตัวเอง แทนที่เจ้าจะสอนทักษะเดียวกันให้ทุกคน ไม่สู้สนับสนุนให้ผู้คนได้แสดงความสามารถในการสร้างสรรค์ของตนเองออกมา ร้อยมาลีบานสะพรั่ง นั่นจึงจะเป็นโชควาสนาของปวงชนอย่างแท้จริง”
ทันใดนั้น กานอี้เซียนพลันรู้สึกว่า จูต้าเหนียงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้เป็นสตรีชนบทธรรมดาทั่วไปที่ไหนกัน นางเป็นผู้ทรงภูมิปัญญาคนหนึ่งต่างหากเล่า
แลดูเหมือนนางหยั่งเท้าอยู่บนพื้นพสุธา หากแท้จริงแล้วยืนอยู่เหนือมหาบรรพต สายตามองไกล ราวกับว่าสามารถมองไปเห็นจุดสิ้นสุดของโลก
“จูต้าเหนียง ผู้น้อยได้รับการชี้แนะแล้ว!” กานอี้เซียนแสดงคารวะต่อนางจากใจจริง
เขาคิดมาตลอดว่าตนเองเป็นเทพเซียน และเทพเซียนก็คือ ‘ผู้มาโปรด’ เพียงยืนอยู่บนที่สูงให้คนมาขอความช่วยเหลือ ยามนี้จึงตระหนักว่า ที่จริงแล้วถึงจะเป็นเพียงคนเดินดินธรรมดา บางครั้งยังเข้าใจหลักเหตุผลบางอย่างมากกว่าเทพเซียนอย่างพวกเขาเสียอีก
เพียงแต่บรรดาเทพเซียนอยู่ในที่สูงมาจนเคยชิน นาน ๆ ทีจึงจะลงมายังโลกมนุษย์เพื่อสดับฟังเสียงของมวลมนุษย์อย่างจริงจัง
เย่อวี๋หรานยิ้มพลางเบี่ยงกายหลบอีกครั้ง “เกรงใจไปแล้ว ข้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง พูดมากสักหน่อย เจ้าอย่ารำคาญข้าก็พอ จะมีหรือไม่มีธุระก็มาคุยสัพเพเหระกับข้าได้ ข้าชอบเสวนาเรื่อยเปื่อยกับคนอื่นยิ่งนัก”
นางไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถช่วยคนหนุ่มผู้นี้ได้สักกี่มากน้อย แต่เย่อวี๋หรานคิดว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางก็นับว่ามาจากโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร สิ่งที่นางรู้จะมากกว่าเขาบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา
ไม่แน่ว่าเรื่องเหล่านั้นอาจช่วยจุดประกายความคิดให้เขาบ้างก็เป็นได้
ถ้าสามารถช่วยให้คนในโลกนี้สลัดความยากจนทิ้งและมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมได้เร็วขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ก็ถือว่านางไม่ได้มาโลกนี้เสียเที่ยวแล้ว
แม้ว่าพุ่มไม้บริเวณนี้จะขึ้นหนาแน่นยิ่งนัก แต่ดูเหมือนว่าจะมีต้นถั่วเหลืองไม่น้อยเลยทีเดียว
ภายใต้ความช่วยเหลือของกานอี้เซียน เย่อวี๋หรานเก็บฝักถั่วเหลืองได้เต็มตะกร้าใบเล็กอย่างรวดเร็ว นางยังทิ้งสัญลักษณ์ไว้ เตรียมการสำหรับพาลูกชายและลูกสะใภ้มาเก็บคราวหน้า
“จูต้าเหนียง ข้าไปส่งท่านลงเขาดีกว่า ช่วงบ่าย เดี๋ยวข้าไปรอพวกท่านตรงจุดที่พบท่านก่อนหน้านี้ก็แล้วกัน ถึงเวลาจะได้พาพวกท่านมาใหม่” กานอี้เซียนกล่าว “ที่นี่ค่อนข้างหายาก ข้ากลัวว่าพวกท่านจะหาไม่เจอ”
เย่อวี๋หรานหันกลับไปมองพุ่มไม้รกชัฏด้านหลังแล้วผงกศีรษะ “เช่นนั้นคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
“ไม่รบกวน ไม่รบกวน”
ถั่วเหลืองเป็นของดี นอกจากนำมาทำอาหารกับซีอิ๊ว ยังสามารถใช้ทำผลิตภัณฑ์จากถั่วอื่น ๆ ได้อีกด้วย
เย่อวี๋หรานพลันนึกถึงของกินจำพวกเต้าหู้ เต้าหู้แห้ง และเต้าหู้เหม็นขึ้นมา เติมซีอิ๊วกับพริกลงไปหรือนำไปผัด รสชาตินั้นยอดเยี่ยมเชียวล่ะ
นางยังคิดว่า ถึงตอนนั้นถ้าทำอาหารที่ไม่เลวนักออกมาได้จะต้องเชิญกานอี้เซียนไปชิมด้วยสักครั้งแน่นอน
“ท่านแม่ ท่านไปจับไก่ป่ามาจากที่ไหนหรือเจ้าคะ?”
เมื่อเย่อวี๋หรานถือตะกร้าและหิ้วไก่ป่าสองตัวกลับไปถึงเรือน หลินซื่อที่อยู่ในลานเรือนเห็นก็รีบวิ่งออกมารับ
“เจ้าอยู่คนเดียว?” เย่อวี๋หรานประหลาดใจ คราวนี้หลี่ซื่อกลับไม่อยู่เรือนด้วย
“พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองออกไปซักผ้าเจ้าค่ะ มีคนมาหาพี่สะใภ้สี่ นางจึงออกไปแล้ว เสี่ยวเม่ยกับซานเม่ยและซื่อเม่ยอยู่ท้ายเรือน ข้ารับหน้าที่เฝ้าบ้าน…” หลินซื่อรับไก่ป่าสองตัวนั้นไป แล้วถามอย่างกระตือรือร้นว่าจะต้องจัดการอย่างไร
เย่อวี๋หรานบอกนางว่าให้ถอนขน ผ่าท้อง นอกจากครึ่งตัวเก็บเอาไว้สำหรับทำอาหารเย็น ส่วนอื่น ๆ ให้หมักแล้วนำไปผึ่งลมทิ้งไว้
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” หลินซื่อดีใจยิ่งนัก
เนื้อของที่เรือนในสมัยก่อน นอกจากนำมาทำน้ำพริกใส่เนื้อแล้วยังมีเหลือให้ตุนไว้ที่ไหนกัน? มีเพียงตอนที่ในเรือนมีปลาแล้ว จึงเริ่มเรียนรู้วิธี ‘ผึ่งลม’ ค่อย ๆ มีเสบียงกักตุนเอาไว้
กักตุนเสบียงหมายความว่าอย่างไร?
ก็หมายความว่าความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคตก็จะยิ่งดีกว่านี้
สิ่งที่คนเราแสวงหาในชีวิตก็คือสิ่งนี้ไม่ใช่หรือไร?
[1] ข้าวสารหนึ่งเซิงก่อเกิดบุญคุณ ข้าวสารหนึ่งโต่วบ่มเพาะความแค้น(升米恩,斗米仇) หมายความว่า ช่วยเหลือคนอื่นเล็กน้อยในยามลำบาก คนอื่นก็จะรู้สึกซาบซึ้งเห็นเป็นบุญคุณ แต่เมื่อช่วยเหลือบ่อยครั้งเข้าคนอื่นก็จะชินชาและเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ภายหลัง ถ้าไม่ช่วยต่อไปอีกแล้ว คนที่ได้รับความช่วยเหลือแต่แรกแทนที่จะจดจำน้ำใจ กลับนึกแค้นใจที่อีกฝ่ายไม่ช่วยตนเองเหมือนที่ผ่านมา (เซิง 升 และ โต่ว斗 เป็นหน่วยตวงข้าวสาร โดย 10 เซิง = 1 โต่ว)
MANGA DISCUSSION