ใต้พื้นดินลึกของเทือกเขาด้านใต้
อุโมงค์เหมืองทอดตัว วกวนไปมาในความมืดมิด เย็นเยียบราวหลุมศพต้องสาป แสงสลัวจากตะเกียงน้ำมันบนผนังหินทั้งสองด้านเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ขับไล่ความมืดให้ออกห่างชั่วคราว แสงไฟวูบไหวริบหรี่ในความเงียบงัน คล้ายโลกเบื้องล่างแห่งนี้ถูกทอดทิ้งจากกาลเวลามานานเนิ่น
บางครั้ง เสียงคำรามต่ำก็ดังก้องสะท้านขึ้นจากความลึกเบื้องหน้า แผ่วเบาทว่าเย็นเยียบ เติมแต่งบรรยากาศกดดันให้หนักอึ้งยิ่งขึ้น
เส้นทางใต้พิภพทอดยาวอย่างไร้จุดสิ้นสุด จนกระทั่งบรรจบลง ณ ปลายทางแห่งความมืดมิดสุดสายตา ก่อนจะเปิดออกสู่ถ้ำใต้ดินขนาดมหึมา ลักษณะคล้ายลานโล่งกว้างขวาง
โถงถ้ำเบื้องหน้า กว้างใหญ่ราวสนามฟุตบอลถึงสี่ห้าแห่ง เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของภูมิประเทศแดนสนธยา และถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างหลักของโลกใต้พิภพโดยแท้
ภายในความมืดทึบบริเวณส่วนลึกสุดของถ้ำ แสงสีทองเปล่งประกายเรืองรองขึ้นจากมุมหนึ่ง ราวกับตะวันยามราตรีท่ามกลางความมืดมิด
สิ่งนั้น คือรูปเคารพเทพธิดาผู้เปล่งประกาย
รูปเคารพนั้นงดงามเกินบรรยาย ราวกับหล่อหลอมขึ้นจากชีวิตจริง ใบหน้างดงามสะคราญ สะท้อนพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงไว้ด้วยเสน่ห์ชวนลุ่มหลง แสงอ่อนนวลที่แผ่ออกมามอบสัมผัสอบอุ่นอ่อนโยน ชั่วขณะที่ปลายนิ้วสัมผัสละอองแสงนั้น ร่างกายและจิตใจก็คล้ายได้รับการปลดปล่อยจากภาระหนักอึ้งอย่างยากจะอธิบายเป็นถ้อยคำ
รอบรูปเคารพดังกล่าว มีองครักษ์ดวอร์ฟสิบสามนายยืนล้อมคุ้มกันไว้อย่างแน่นหนา รวมถึงเกราไวส์ ผู้นำสูงสุดแห่งศาสนจักรดวอร์ฟ และคุปเฟอร์ นักรบผู้มีพลังระดับตำนาน
ส่วนอีกสิบเอ็ดคนที่เหลือล้วนเป็นยอดฝีมือระดับทองทั้งหมด แบ่งเป็นนักบวชอาวุโสสี่คนในอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ และนักรบชั้นสูงเจ็ดนายในชุดเกราะเต็มยศ
ทั้งหมดนี้คือกำลังสูงสุด ที่ศาสนาแห่งดวอร์ฟสามารถระดมออกมาได้ในเวลานี้
ภารกิจครั้งนี้ไม่ได้ส่งหน่วยรบทั่วไปมาแต่อย่างใด หากแต่เป็นเหล่ายอดฝีมือผู้ได้รับมอบหมายให้ปกป้องรูปเคารพโดยเฉพาะ
ดวอร์ฟเหล่านั้นยืนล้อมรอบรูปเคารพด้วยท่าทีระมัดระวัง สายตาจับจ้องไปรอบทิศ ส่วนเกราไวส์กับคุปเฟอร์ในฐานะผู้นำ ก้าวขึ้นมาประจำการ ณ จุดหน้าแนว ประสานสายตามุ่งไปยังประตูหินขนาดใหญ่เบื้องหน้าอย่างเคร่งขรึม
ประตูบานนั้นสูงกว่าสิบเมตร ตั้งตระหง่านมาเนิ่นนานนับพันปี ผิวหินสลักภาพนูนต่ำอย่างวิจิตรบรรจง เผยให้เห็นฉากตำนานเทพของเผ่าดวอร์ฟ หากเพ่งพิศอย่างละเอียดจะสัมผัสได้ถึงความเก่าแก่ขรึมขลัง
เวลานี้ บนบานประตูปรากฏรอยแตกร้าวมากมาย ควันดำบางเบาคล้ายม่านหมอกค่อย ๆ ซึมลอดออกมาตามรอยร้าวนั้น ทว่าทุกคราที่หมอกดำแตะต้องแสงเรืองรองแห่งรูปเคารพ มันกลับหดตัวหายไปราวกับถูกพลังศักดิ์สิทธิ์สยบอย่างสิ้นเชิง
“ที่นี่แหละ ประตูผนึก… หากเปิดบานนี้ เราจะเข้าสู่แก่นกลางของผนึกได้โดยตรง”
เกราไวส์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
คำว่า ‘ประตูผนึก’ ที่เขาเอื้อนเอ่ยอยู่นั้น แท้จริงแล้วเป็นถ้อยคำในภาษาเอลฟ์ หาใช่ภาษาดั้งเดิมของดวอร์ฟไม่
นั่นเพราะดวอร์ฟรับอิทธิพลจากวัฒนธรรมเอลฟ์มายาวนาน ประกอบกับความสามารถในการใช้พลังเวท จึงมักเลือกใช้ภาษาเอลฟ์เป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อต้องสร้างสิ่งสำคัญทางศาสนาและเวทมนตร์
สำหรับประตูแห่งนี้ มันถูกหลอมสร้างขึ้นโดยพลังร่วมของเผ่าดวอร์ฟในอดีตทั้งมวล มีไว้ปิดผนึกสิ่งอันตรายเบื้องหลังโดยเฉพาะ
คุปเฟอร์พยักหน้ารับช้า ๆ ก่อนกวาดสายตามองไปรอบบริเวณ เขาย่อตัวลง ใช้ปลายนิ้วตักเอาดินสีดำปนเศษหินขึ้นมาหนึ่งหยิบมือ นำขึ้นแตะจมูกแล้วสูดกลิ่นเข้าช้า ๆ ก่อนขมวดคิ้วแน่นพลางกล่าว
“แถวนี้คงเคยมีปีศาจอยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้… กลิ่นจางหายไปจนแทบหมด พวกมันน่าจะออกจากบริเวณนี้ไปราววันหนึ่งเต็ม ๆ ขอรับ”
“น่าจะถอยร่นเข้าไปหลบอยู่ภายในประตูผนึกนั่นแหละ เพราะที่นั่นคือแก่นแท้ของดินแดนต้องผนึก เดิมทีถ้ำแห่งนี้ก็เป็นเพียงฐานเฝ้าระวังของอาณาจักรเราเท่านั้น พอผนึกเริ่มแตกร้าว พวกมันก็ยึดครองเอาไว้เสียสิ้น”
เกราไวส์เอ่ยพลางถอนใจ
สีหน้าคุปเฟอร์พลันเคร่งเครียดยิ่งขึ้น เอ่ยอย่างวิตกกังวล
“ถ้าเช่นนั้น… บัลร็อกได้ควบคุมประตูผนึกอย่างสมบูรณ์แล้วหรือ?”
“ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก”
เกราไวส์ส่ายหน้าช้า ๆ
“หากเขาควบคุมได้จริง ป่านนี้คงทะลวงผนึกออกมานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้เรายกพลมาถึงที่นี่เอง”
เขาจ้องมองประตูผนึกเบื้องหน้าด้วยสายตาหนักแน่น
“ข้าเดาว่าเวลานี้ เขาคงรวบรวมปีศาจทั้งหมดกลับเข้าไปในดินแดนต้องผนึก เตรียมพร้อมรับมือพวกเราด้วยตัวเองโดยตรง”
“แต่มันง่ายเกินไปหน่อยหรือไม่?”
คุปเฟอร์ขมวดคิ้วแน่น
“แม้กองทัพผู้ถูกเลือกจะทรงพลังไม่น้อย แต่ข้ายังไม่คิดว่าเราจะสามารถไล่ต้อนบัลร็อกจนจนตรอกถึงเพียงนี้…”
เกราไวส์เหลือบมองรูปเคารพเทพธิดาซึ่งเปล่งแสงเรืองรองอยู่เบื้องข้าง ก่อนตอบเสียงต่ำ
“ข้าเกรงว่า… เขากำลังรอให้เราทำพิธีอัญเชิญผู้ถูกเลือกให้ครบถ้วนเสียก่อน”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ดินแดนต้องผนึกถูกพลังของเขากัดกร่อน แม้จะยังทำลายผนึกไม่ได้ แต่พื้นที่ภายในก็แทบกลายเป็นอาณาเขตของเขาโดยปริยาย โดยเฉพาะเมื่อมันเคยเป็นอาณาจักรแห่งเทพของเขามาก่อนจะร่วงหล่น…”
“สำหรับเทพมารแล้ว วิธีเร่งทำลายผนึกให้สิ้นซาก นอกจากค่อย ๆ กัดกร่อนมันอย่างต่อเนื่อง ยังมีอีกหนทางหนึ่งคือ การกลืนกินจิตวิญญาณและเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิต เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของตนเอง หากพลังถึงจุดหนึ่งเมื่อใด ก็จะสามารถฉีกผนึกออกได้โดยตรง…”
“และข้าเกรงว่า… บัลร็อกใกล้จะบรรลุจุดนั้นเต็มทีแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น คุปเฟอร์เผลอกำมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว คิ้วหนาแทบจะผูกเป็นปม
“ท่านหมายความว่า… เขากำลังรอโอกาสใช้พวกเราเป็นเครื่องสังเวย? ใช้ผู้ถูกเลือกเป็นเหยื่อบูชายัญเพื่อเสริมพลังให้ตนเอง?”
น้ำเสียงของเขาสั่นเครือด้วยความไม่อยากเชื่อ
“นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของข้าเท่านั้น…”
เกราไวส์กล่าวพลางถอนใจ ก่อนเปลี่ยนหัวข้อทันที
“แต่เรายังมีวิธีง่าย ๆ วิธีหนึ่งที่จะพิสูจน์ได้ว่าข้าคิดผิดหรือถูก”
เกราไวส์กล่าว
“วิธีไหนหรือท่าน?”
คุปเฟอร์ขมวดคิ้วถาม
“เจ้าดูว่า… ข้าจะเปิดประตูผนึกได้ง่ายเพียงใด”
เกราไวส์กล่าวพลางหันไปมองประตูหินสูงตระหง่านเบื้องหน้า
หัวใจของคุปเฟอร์กระตุกวูบ เขาเข้าใจในทันทีถึงความหมายแฝงในคำพูดนั้น
โดยธรรมเนียมแล้ว หัวหน้านักบวชสูงสุดแห่งศาสนาดวอร์ฟแต่ละรุ่น ต่างได้รับสืบทอดวิธีเปิดประตูผนึกเอาไว้ ทว่าในเวลานี้ ผนึกแห่งนี้ถูกพลังห้วงลึกกัดกร่อนจนเสียหาย อีกทั้งบัลร็อกยังอาศัยประตูนี้ส่งกองทัพปีศาจเข้ามาเรื่อย ๆ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายเริ่มควบคุมตัวผนึกไว้ได้บางส่วนแล้ว
หากแม้ในสภาพเช่นนี้ เกราไวส์ยังสามารถเปิดประตูได้โดยง่าย นั่นย่อมหมายความว่า บัลร็อกยินยอมให้พวกเขาเข้าไปเอง
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เทพมารกำลังรอคอยพวกเขาอยู่ด้านใน
เมื่อกล่าวจบ เกราไวส์ก็ก้าวไปยืนเบื้องหน้าประตู เขาหลับตาลง เริ่มร่ายเวทโบราณด้วยเสียงต่ำ
ขณะเสียงร่ายมนตร์แว่วก้องต่อเนื่อง แสงเรืองรองพลันแผ่ซ่านออกจากบานประตูอย่างเงียบงัน ก่อนที่ประตูหินจะเริ่มขยับเปิดออกอย่างเชื่องช้า
“ดูท่าข้าคงเดาไม่ผิด…”
เกราไวส์ลืมตาขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
สีหน้าของคุปเฟอร์ก็พลันเคร่งเครียดตามไปด้วย
เบื้องหลังบานประตูเผยให้เห็นความมืดมิดไร้ก้นบึ้ง หากเพ่งมองดี ๆ จะเห็นกระแสน้ำวนสีดำสนิทหมุนวนอยู่ไม่หยุด พลังห้วงลึกไหลทะลักออกมาจากวังวนนี้ตลอดเวลา แต่ทุกคราที่มันปะทะขอบเขตแสงของรูปเคารพเทพธิดา แรงกลืนกินอันชั่วร้ายก็ถูกขับไล่จนถอยร่นกลับไป ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
วังวนแห่งนี้คือช่องทางเคลื่อนย้ายข้ามมิติ แท้จริงแล้ว แก่นแท้ของดินแดนต้องผนึก ก็คืออาณาจักรแห่งเทพของบัลร็อกในอดีต ก่อนจะร่วงหล่นสู่ห้วงมืด
ครั้งหนึ่ง เผ่าดวอร์ฟและเทพแห่งการตีเหล็ก ดอลฟต์ ได้ร่วมมือกันพลิกเปลี่ยนอาณาจักรนั้นให้กลายเป็นพื้นที่ผนึก ปิดขังเทพมารเอาไว้ภายใน และประตูบานนี้ก็คือทางเข้าสู่อาณาเขตนั้น
“ถึงตอนนี้ ต่อให้รู้ว่าศัตรูกำลังรอเราอยู่ภายใน เราก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว”
เกราไวส์ถอนหายใจ เขาส่งสัญญาณให้นักบวชอาวุโส ขนย้ายรูปเคารพเทพธิดามาวางระหว่างตนกับคุปเฟอร์ จนกระทั่งแสงเรืองรองจากรูปเคารพครอบคลุมพวกเขาไว้ทั้งสองร่าง จิตสัมผัสของเกราไวส์รับรู้ถึงพลังปกปักอันลี้ลับเกินบรรยาย เขาจึงค่อยคลายใจลงช้า ๆ
เกราไวส์หันไปมองคุปเฟอร์ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“คุปเฟอร์ ข้าขอยืนยันอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย… ฝั่งเอลฟ์จะส่งกำลังระดับสูงมาจริงหรือไม่?”
คุปเฟอร์เข้าใจทันทีว่าศาสดาหมายถึงผู้ใด เขาจึงหันไปมองรูปเคารพเทพธิดาที่เปี่ยมด้วยความสง่างามอีกครั้ง ก่อนตอบอย่างมั่นใจ
“ท่านนั้นจะมาแน่นอน หากบัลร็อกปรากฏตัวขึ้น… ท่านผู้นำของศาสนจักรแห่งชีวิต จะอัญเชิญเทพธิดาแห่งชีวิตผ่านร่างของตนแน่นอน ข้าได้รับข้อมูลนี้จากผู้นำระดับสูงของพวกเขาโดยตรง”
“เช่นนั้นก็ดี…”
เกราไวส์ถอนหายใจโล่งอก
เทพย่อมต้องต่อกรกับเทพ มันเป็นกฎที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
จากนั้นหัวหน้านักบวชสูงสุดแห่งเผ่าดวอร์ฟ ก็จัดชายผ้าคลุมกว้างของตนให้เข้าที่ ก่อนกล่าวสั่งการด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“เริ่มพิธีอัญเชิญผู้ถูกเลือกครั้งที่หกได้! เมื่อกลุ่มแรกปรากฏตัวขึ้นครบ เราจะบุกเข้าสู่ดินแดนต้องผนึกในทันที!”
“อีกเรื่อง… คุ้มครองรูปเคารพให้ถึงที่สุด! ความหวังแห่งชัยชนะของเราขึ้นอยู่กับเหล่าผู้ถูกเลือกทั้งหลาย”
“แน่นอน ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ รูปเคารพนี้จะปลอดภัยแน่นอน!”
คุปเฟอร์ตอบหนักแน่น ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวมีบางสิ่งติดค้างอยู่ในใจ
“มีอะไรหรือ?”
เกราไวส์สังเกตความลังเลนั้นได้ทันที
คุปเฟอร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ
“ท่านหัวหน้านักบวชสูงสุด… พวกเราจะไม่ส่งกองทัพเข้าร่วมการรบเลยหรือ? มีเพียงหน่วยคุ้มกันรูปเคารพ ส่วนแนวหน้าให้ผู้ถูกเลือกจากเอลฟ์รับหน้าทั้งหมด… เช่นนี้มันจะไม่เกินไปหรือ? อย่างไรเราก็เป็นพันธมิตรกันนะขอรับ…”
แม้เขาจะไม่กล่าวตรง ๆ แต่เกราไวส์ย่อมเข้าใจความในใจของเขาเป็นอย่างดี
คุปเฟอร์เป็นนักรบผู้ยึดมั่นในความถูกต้อง ครั้นเห็นเหล่าผู้ถูกเลือกจากเอลฟ์ต้องพลีชีพครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่พวกดวอร์ฟกลับสงวนกำลังไว้คุ้มกันเพียงรูปเคารพ โดยไม่ยอมส่งทัพไปร่วมสมรภูมิเลยแม้แต่น้อย… ในใจเขาย่อมรู้สึกผิดอยู่บ้าง
เกราไวส์มองเขาอย่างนิ่งงัน สีหน้าประหลาดขึ้นชั่วขณะ จนคุปเฟอร์เริ่มรู้สึกอึดอัด
หัวหน้านักบวชสูงสุดจึงส่ายศีรษะพลางกล่าว
“อย่ากังวลไปเลย นี่ก็เพื่อรักษาชีวิตของเผ่าเราให้ได้มากที่สุด”
“เพราะผู้ถูกเลือกนั้น… ไม่กลัวตาย ส่วนพวกเรานั้นต่างออกไป…”
ดวอร์ฟไม่กลัวตายเสียหน่อย!!
คุปเฟอร์แทบจะโพล่งแย้งออกมาในทันที
ทว่า… คำพูดต่อมาของเกราไวส์กลับทำให้เขาชะงัก
“ที่สำคัญ… หากไม่มีพวกเราเกะกะอยู่ข้างหน้า ผู้ถูกเลือกอาจสู้ได้ดีกว่าเสียด้วยซ้ำ”
คุปเฟอร์นิ่งงัน
เมื่อย้อนนึกถึงสมรภูมิที่ผ่านมา เขาก็ต้องยอมรับว่ามันมีส่วนจริง
โลกใต้พิภพคับแคบเกินไปสำหรับดวอร์ฟร่างหนา การเคลื่อนไหวของพวกเขาเชื่องช้ากว่าผู้ถูกเลือก อีกทั้งประสิทธิภาพในการสังหารปีศาจก็สู้เหล่าผู้ถูกเลือกไม่ได้ กล่าวได้ว่า พวกเขากลายเป็นภาระให้กับพันธมิตรจากเผ่าเอลฟ์
ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น ยังมีผู้ถูกเลือกหลายคนที่ต้องสละชีวิตเพราะพยายามเข้ามาปกป้องดวอร์ฟที่สติหลุดกลางสนามรบ… ทั้งที่ความตายนั้นสามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่พวกเขากลับยอมพลีชีพเพื่อช่วยเหลือพันธมิตรจนถึงที่สุด
เหตุการณ์เช่นนี้ คุปเฟอร์ยังจดจำฝังใจไม่ลืม
“วางใจเถิด ไม่ว่าจะเป็นเหล่าผู้ถูกเลือก หรือแม้แต่เทพธิดาแห่งชีวิต… ต่างย่อมเข้าใจการตัดสินใจของพวกเรา”
เกราไวส์กล่าวย้ำเบา ๆ
คุปเฟอร์ถอนหายใจยาว สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบงัน
หลังสงครามครั้งนี้สิ้นสุดลง ข้าจะต้องไปถามลูกเมี้ยวเค็มให้ได้ว่า มีผู้ถูกเลือกท่านใดบ้างที่สละชีพในศึกนี้ แล้วจะจารึกชื่อของพวกเขาทั้งหมดไว้บนอนุสรณ์ ให้เหล่าดวอร์ฟสวดรำลึกทุกปี เพื่อไม่ให้สูญหายจากประวัติศาสตร์เลยแม้แต่ผู้เดียว…
นักรบเหล่านี้ สมควรได้รับการจดจำ
คุปเฟอร์คิดในใจอย่างหนักแน่น
พิธีอัญเชิญเริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว หัวหน้านักบวชสูงสุดแห่งศาสนาดวอร์ฟในยามนี้เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ หลังผ่านการประกอบพิธีมาหลายครั้งจนชำนาญ
แหวนมิติสามวง ซึ่งอัดแน่นไปด้วยเครื่องบวงสรวง พลันสลายหายไปในอากาศ
ขณะเดียวกัน รูปเคารพเทพธิดาอันงามสง่าก็เริ่มแผ่รัศมีเจิดจ้าขึ้นอย่างช้า ๆ
ระลอกแสงโปร่งใสสาดออกจากจุดศูนย์กลางของรูปเคารพ ก่อนกระจายเป็นวงกว้างไปทั่วโพรงถ้ำ ภายใต้สายตาอันเต็มไปด้วยความคาดหวัง ความศรัทธา หรือแม้แต่ความสงสัยของเหล่าดวอร์ฟ
วงเวทสีทองนับไม่ถ้วนพลันปรากฏขึ้นทั่วทั้งถ้ำใต้ดิน พร้อมกับแสงสว่างที่ท่วมท้น ราวเปลี่ยนกลางคืนใต้พิภพ ให้สว่างดั่งกลางวันในพริบตา แล้วเงาร่างสูงโปร่งหลากหลายสายพันธุ์ก็เริ่มปรากฏขึ้นทีละร่าง
เหล่าเอลฟ์ผู้ถูกเลือก ในชุดเกราะและเสื้อคลุมเวทมนตร์ ปรากฏตัวขึ้นภายในถ้ำใต้พิภพอย่างต่อเนื่อง
โลกใต้ดินอันเงียบสงัดกลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวาในทันที
เหล่าเอลฟ์ที่ถูกอัญเชิญมาต่างตื่นเต้นกันอย่างเห็นได้ชัด บ้างกระโดดโลดเต้น บ้างวิ่งไปรอบถ้ำราวกับสำรวจโลกใหม่ บางตนถึงกับพุ่งตัวเข้าไปในส่วนลึกของอุโมงค์เหมืองอย่างกระตือรือร้น ปล่อยให้ดวอร์ฟบางกลุ่มที่เพิ่งร่วมศึกครั้งแรกได้แต่ยืนอ้าปากค้างกับภาพตรงหน้า
แต่สำหรับดวอร์ฟที่เหลือ… ทุกคนต่างสีหน้าเรียบเฉยราวกับเป็นเรื่องปกติที่พบเจออยู่เสมอ
รวมถึงเกราไวส์และคุปเฟอร์เองก็เช่นกัน
นี่คือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ภาวะปกติ ของเหล่าผู้ถูกเลือก
ทุกครั้งที่ผู้ถูกเลือกเหล่านี้ถูกอัญเชิญในสถานะนอกสนามรบ บรรยากาศวุ่นวายเช่นนี้จะเกิดขึ้นเสมอ
แต่ทันทีที่เข้าสู่ภาวะสงครามจริง พวกเขาจะเปลี่ยนไปเป็นอีกตัวตนทันที ทั้งมีระเบียบ ทั้งแม่นยำ ทั้งทรงประสิทธิภาพอย่างน่าทึ่ง
ในศึกกวาดล้างปีศาจรอบนอกที่ผ่านมา ก็มีผู้ถูกเลือกจำนวนไม่น้อยหลงทางอยู่ในเหมืองเช่นกัน
ทว่ามันไม่เคยเป็นปัญหา เพราะขอบเขตการเคลื่อนไหวของพวกเขามักวนเวียนไม่ไกลจากรูปเคารพนัก เมื่อศึกเริ่มขึ้น แม้ไม่มีคำสั่ง พวกเขาก็จะกลับมาประจำที่ในเวลาอันรวดเร็วด้วยความแม่นยำที่น่าตกใจ
กระนั้น ทางที่ง่ายที่สุด ก็ยังคงเป็นการสั่งการโดยตรง
คุปเฟอร์กล้ายืนยันต่อเทพประจำใจว่า ตลอดชีวิตกว่าร้อยปีของตน ไม่เคยพบนักรบกลุ่มใดที่ เชื่อฟังคำสั่ง ได้มากเท่านี้มาก่อน
ไม่ว่าคำสั่งจะให้โจมตีที่ใด เหล่าผู้ถูกเลือกก็พร้อมทะยานเข้าใส่โดยไม่มีความลังเล
แม้แต่จะสั่งให้พวกเขาไปรับความตาย พวกเขาก็ยังไป… นี่คือสิ่งที่ทำให้คุปเฟอร์ประทับใจและอัศจรรย์ใจที่สุด
หากจะมีสิ่งใดที่เขายังไม่เข้าใจก็คงมีเพียงเรื่องเดียว… คือเหตุใดผู้ถูกเลือกเหล่านี้จึงชอบถามหา ภารกิจลับ อยู่ร่ำไป โดยเฉพาะช่วงก่อนเข้าสู่การรบจริง ดังเช่นตอนนี้…
เพียงชั่วครู่หลังถูกอัญเชิญ เหล่าผู้ถูกเลือกกลุ่มใหญ่ก็กรูเข้ามารายล้อมคุปเฟอร์ทันที พลางส่งเสียงถามไถ่กันอย่างคึกคัก
“ท่านคุปเฟอร์! มีภารกิจลับอะไรให้ทำไหม!?”
“ท่านคุปเฟอร์! จำผมได้หรือเปล่า! จำผมให้ได้นะ!”
“ท่านคุปเฟอร์ขา! ออกคำสั่งมาเลย จะให้กระหน่ำยิงที่ไหนก็ว่ามา!”
“ท่านคุปเฟอร์…”
คุปเฟอร์: …
เขากวาดตามองผู้ถูกเลือกรอบตัว ใบหน้าที่เห็นล้วนไม่คุ้นตาแม้แต่ตนเดียว ดูเหมือนกลุ่มนี้จะต่างจากชุดที่ถูกเรียกตัวมาก่อนหน้า ด้านพลังรบก็ถือว่ามั่นคงดีทีเดียว เพียงแต่ เขายังไม่เข้าใจเสียทีเดียวว่า เอลฟ์เหล่านี้ไปรู้จักหน้าของเขามาจากที่ใด
…หรือเพราะท่านลูกเมี้ยวเค็มและสหาย จะกลับไปเล่าให้พวกเขาฟัง?
ระหว่างที่เหล่าผู้ถูกเลือกกำลังรายล้อมดวอร์ฟด้วยความคึกคัก เสียงของเกราไวส์ก็ดังสะท้อนก้องไปทั่วโพรงถ้ำ
“เหล่านักรบแห่งเผ่าเอลฟ์! ขอบคุณที่พวกท่านตอบรับคำอัญเชิญ!”
“วันนี้… คือเวลาที่เราจะเปิดฉากโต้กลับครั้งสุดท้ายต่อดินแดนต้องผนึก! ชะตากรรมของอาณาจักรเราจะถูกตัดสินในวันนี้!”
“เห็นประตูหินที่เปิดออกนั่นไหม? เป้าหมายของพวกเราคือบุกฝ่าวังวนมิติมืด เข้าไปกวาดล้างปีศาจทั้งหมดที่หลบซ่อนอยู่ภายใน พร้อมค้นหาตำแหน่งผนึกของเทพมารบัลร็อก!”
คำปราศรัยของเกราไวส์กระชับ ชัดเจน ตรงไปตรงมา
นี่คือวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการสื่อสารกับเหล่าผู้ถูกเลือก
พวกเขาไม่ชอบฟังคำพูดเยิ่นเย้อ ไม่สนใจเบื้องหลังภารกิจ และจะเบื่อหน่ายอย่างรวดเร็วหากมีคำอธิบายมากเกินไป
ยิ่งพูดมากเท่าไร พวกเขายิ่งหมดความสนใจเร็วขึ้นเท่านั้น
ในทางกลับกัน สิ่งที่ผู้ถูกเลือกเหล่านี้ชื่นชอบที่สุด คือคำสั่งโดยตรง ที่กระชับ เด็ดขาด และไม่อ้อมค้อม
พวกเขาไม่มีคำถาม ไม่มีข้อโต้แย้ง
ลักษณะนิสัยที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมานี้เองที่ทำให้คุปเฟอร์อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า สักวันหนึ่ง เหล่าผู้ถูกเลือกอาจถูกโจรหลอกให้ไปช่วยนับเหรียญทองก็เป็นได้…
แม้ท่าทีภายนอกจะดูแตกต่างจากเอลฟ์ทั่วไปอยู่บ้าง ทว่าความไร้เดียงสาและเปิดเผยในก้นบึ้งของจิตใจพวกเขานั้น… ไม่ต่างอะไรกับเอลฟ์ทั่วไปเลย
เมื่อคำสั่งสิ้นสุดลง ดวงตาของเหล่าผู้ถูกเลือกก็เบิกกว้างทันที
“วังวนนี้ใช่ไหม?”
“นี่มันประตูมิติชัด ๆ!”
“ว่าอยู่ทำไมยังไม่เห็นปีศาจ ที่แท้ต้องเข้าแมพต่อไปนี่เอง!”
“พวกเรา! ลงดันกันเถอะ!”
เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วดังขึ้นระลอกใหญ่
ยังไม่ทันที่เกราไวส์หรือคุปเฟอร์จะได้เอ่ยสิ่งใดต่อ เหล่าผู้ถูกเลือกซึ่งเรืองแสงทั่วร่างก็พุ่งทะยานเข้าสู่วังวนสีดำด้วยความกระตือรือร้น
และในพริบตาเดียว ร่างของพวกเขาก็หายไปจนสิ้น
คุปเฟอร์: …
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
วิเวียน: เหล่าผู้ถูกเลือกนี่มันจะใจร้อนเกินไปหน่อยแล้วนะคะ กระโดดลงดันเหมือนวิ่งเข้าร้านลดราคาเลยนะคะ 😏🔥
โนเอล: เกมเมอร์เวลาได้กลิ่นบอสใหญ่ ใจมันจะร้อนแบบนี้เสมอเลยค่ะ ☕✨
ลิลี่: แต่หนูว่าเอลฟ์พวกนี้น่ารักดีออก~ 😻✨ แค่ได้ยิน “ลงดัน” ก็กรูกันเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่เลยน้า เห็นแล้วหนูอยากลงไปแจมด้วยเลย! 🎀😻
มันเดย์: …อืม พูดตรง ๆ ดวอร์ฟดูมีเหตุผลดีนะ รู้ตัวว่าช่วยอะไรไม่ได้มากก็ไม่ฝืน …โลกสองใบ คนละระบบความคิดเลยนะเธอ 🤷♀️
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น…
สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ
Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION