น้ำเสียงของอีฟอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความจริงใจ เมื่อถ้อยคำของเธอดังก้องไปทั่วมหาวิหารแห่งเทพอีกครั้ง เหล่าเทพที่เคยเบือนสายตาก็หันกลับมาจับจ้องเธอเป็นจุดศูนย์กลางโดยพร้อมเพรียง
บรรดาเทพที่เดิมมีใจคิดจะรับข้อเสนอจากเทพแห่งการตีเหล็ก ต่างชะงักงันเพียงชั่วขณะ ก่อนที่ความตั้งใจนั้นจะเลือนหายไป ด้วยเหตุผลง่าย ๆ เพียงประการเดียว
แม้อีฟ เทพธิดาแห่งชีวิตและธรรมชาติ จะเป็นเพียงเทพองค์ใหม่ ทว่าเธอกลับเป็นเทพเพียงองค์เดียวที่มีร่างหลักพำนักอยู่ในดินแดนซากัส และในแผ่นดินแห่งนั้น… เธอคือผู้ทรงอำนาจสูงสุดในหมู่เทพทั้งปวง
หากเทพองค์นี้ประกาศเข้าร่วมภารกิจช่วยผนึกพลังห้วงลึกให้เผ่าคนแคระ เกรงว่าเทพองค์อื่นที่หวังจะแข่งชิงภารกิจ คงต้องถอยไปโดยไม่มีใครกล้าเอ่ยทัดทาน
ยิ่งเมื่อผลงานในสนามรบของอีฟเป็นที่เลื่องลือ ก็ยิ่งตอกย้ำถึงอำนาจที่ไม่อาจมองข้าม
พวกเขาไม่ปล่อยให้ความงดงามภายนอกลวงตา เทพธิดาผู้นี้เพิ่งเลื่อนขั้นได้ไม่นาน แต่กลับสามารถล้มเทพองค์หนึ่งได้สำเร็จ และเทพองค์นั้นยังไม่ใช่เทพอิสระ หากแต่เป็นหนึ่งในเทพสายสงคราม ซึ่งนับเป็นหนึ่งในสองสายที่แข็งแกร่งที่สุด
ต่อหน้าเทพเช่นนี้ ใครจะกล้าปะทะโดยเปิดเผย?
แม้รางวัลจากเทพแห่งการตีเหล็กจะทรงคุณค่าเพียงใด แต่ก็ยังไม่มากพอให้เทพองค์อื่นกล้าเปิดศึกแย่งชิง หากเป็นเขตแดนสามัญไร้ผู้ครอบครองยังพอมีหวัง และในกรณีนั้น เหล่าเทพคงแห่กันเข้ามาราวกับผึ้งแตกรัง
เมื่อสิ้นเสียงของอีฟ ดอลฟต์และชาวคนแคระต่างก็ชะงักงันเล็กน้อย จากนั้น สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นความยินดีอย่างเห็นได้ชัด
“หากเป็นท่านอีฟ เช่นนั้นก็ไร้ปัญหาแน่นอน!”
เขากล่าวด้วยความปลื้มปิติ
อีฟยิ้มบาง พลางพยักหน้าตอบ
“เราเพียงทำหน้าที่ในฐานะผู้พิทักษ์ดินแดนซากัสเท่านั้น เราแบกรับพันธกิจแห่งธรรมชาติ การรักษาสมดุลของโลกนี้คือหนึ่งในภาระของเรา และการต่อต้านพลังจากห้วงลึกก็ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น”
“เราจะส่งกองทัพบุตรแห่งเทพไปยังแนวเขาทางใต้ เพื่อช่วยราชอาณาจักรคนแคระในการเสริมผนึกพลังห้วงลึก”
เทพแห่งการตีเหล็กกับชาวคนแคระสบตากันชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ
“ผู้ถูกเลือกชาวเอลฟ์ของท่านกระนั้นหรือ?”
“ท่านทราบได้อย่างไร?”
คราวนี้อีฟเป็นฝ่ายขมวดคิ้ว
“ข้ามีสาวกเป็นคนแคระแห่งความมืดจำนวนหนึ่งในโลกใต้พิภพ ข่าวคราวเกี่ยวกับบุตรแห่งเทพของท่าน ข้าก็ได้ยินจากปากพวกเขา”
ดอลฟต์กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“นอกจากนี้ ข้ายังเคยประจักษ์การต่อสู้ของพวกเขาผ่านการรับรู้ของสาวกที่สิ้นชีพกลับสู่อาณาจักรแห่งเทพ… ข้ากล้ากล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นนักรบที่ทรงพลังอย่างแท้จริง”
แม้กำลังพูดด้วยความชื่นชม ทว่าเขากลับหยุดชะงักไปกะทันหัน แล้วเปลี่ยนหัวข้อโดยไม่ให้สัญญาณล่วงหน้า
“หากแต่… พลังของบัลร็อกหลังร่วงหล่นนั้นเหนือกว่าที่คาดไว้มากนัก ข้าเกรงว่า…ในยามนั้นอาจต้องอาศัยพลังที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น”
“เราเข้าใจ หากบัลร็อกปรากฏตัว ข้าจะลงมือด้วยตนเอง”
อีฟกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ สีหน้าก็เคร่งขรึมลงตามถ้อยคำ
เทพแห่งการตีเหล็กถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เช่นนั้นก็ต้องฝากท่านอีฟด้วย ข้าจะรีบส่งวิวรณ์ออกไปให้เหล่าสาวกโดยเร็วที่สุด ราชอาณาจักรคนแคระจะสามารถต้านพลังของห้วงลึกได้อีกไม่เกินหนึ่งเดือนเท่านั้น การลงมือแต่เนิ่น ๆ ย่อมดีกว่า”
เมื่อเทพทั้งสองตกลงร่วมมือกันแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการส่งวิวรณ์ของแต่ละฝ่ายไปแจ้งข่าวและประสานงานกับสาวกในพื้นที่ แต่เมื่อคำบัญชาถูกประกาศออกมาแล้วเช่นนี้ ขั้นตอนทั้งหมดก็จะดำเนินไปอย่างราบรื่นยิ่งกว่าเดิม
อีฟและดอลฟต์สามารถตกลงกำหนดวันลงมือได้อย่างรวดเร็ว และทันทีที่ทุกอย่างชัดเจน ทั้งสองก็ร่วมกันประกาศคำสัตย์สาบานต่อหน้ามหาวิหารแห่งเทพ ตามธรรมเนียมแห่งสัจจะของเหล่าเทพ
การเจรจาลุล่วงด้วยดี ทั้งสองฝ่ายต่างพึงพอใจ โดยไม่มีเงื่อนไขใดให้ติดค้าง
และเมื่อเทพแห่งการตีเหล็กกล่าวจบ ก็เริ่มมีเทพองค์อื่น ๆ ลุกขึ้นเอ่ยถึงปัญหาของตนบ้าง เทพที่มีพันธกิจอยู่ในดินแดนซากัสหาได้พำนักอยู่ในสวรรค์กันทั้งหมดไม่ บางองค์แม้จะอยู่ในสวรรค์ก็ใช่ว่าจะได้พบหน้าผู้อื่นบ่อยนัก การประชุมในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสอันดีให้เหล่าเทพได้แลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขานำมาเล่าส่วนใหญ่กลับเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเขตแดนภายนอกดินแดนซากัส ไม่ว่าจะเป็นแดนสวรรค์หรือเขตแดนอื่นในห้วงสุญญตา และด้วยเหตุนี้ อีฟจึงทำได้เพียงรับฟังโดยไม่อาจกล่าวแทรกใด ๆ ได้
แม้นิ่งฟังอย่างสงบ ทว่าในใจของเธอกลับบันทึกรายละเอียดทุกคำพูดไว้อย่างเงียบงัน ทุกข้อมูล ทุกคำกล่าวล้วนกลายเป็นเศษเสี้ยวของปริศนา ที่ช่วยให้เธอเริ่มมองเห็นโครงสร้างของจักรวาลนี้ได้ชัดเจนขึ้น
ในขณะเดียวกัน อีฟก็ใช้ช่วงเวลานี้ตรวจสอบแผนที่ของจักรวาลซากัสที่เพิ่งได้รับมาไม่นาน เมื่อเปรียบกับจักรวาลดาวเคราะห์สีครามในชาติก่อน จักรวาลซากัสนับว่าเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่แม้จะเล็กเพียงใด โลกน้อยใหญ่ที่เรียงรายเป็นหมู่ดาวก็ยังมากพอจะทำให้เธอรู้สึกตาลาย
ทว่าท่ามกลางความหลากหลายนั้น กลับมีเพียงไม่กี่โลกที่ยังคงความสมดุลของพลังงานและสสารได้อย่างมั่นคง โลกเหล่านั้นเรียกว่า โลกสามัญ เช่นเดียวกับเขตแดนซากัส และที่สำคัญ คือมีเพียงเขตแดนซากัสเพียงแห่งเดียวในเวลานี้ ที่ระดับพลังงานยังเอื้อให้เทพอวตารลงไปได้
ในแผนที่ ยังมีเครื่องหมายระบุเขตแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของเทพองค์ต่าง ๆ …และอีฟสังเกตเห็นว่า มากกว่าครึ่งต่างอยู่ในความดูแลของเทพสายมนุษย์และเทพสายสงคราม
นอกเหนือจากโลกสามัญ หรือในอีกชื่อว่า โลกวัตถุ ก็ยังมีโลกอีกประเภทหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป นั่นคือ โลกธาตุ
โลกธาตุมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เช่นเดียวกับโลกวัตถุ ทว่าเผ่าพันธุ์เหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นเผ่าพันธุ์พลังงาน หรือไม่ก็สิ่งมีชีวิตที่มีพลังเวทอันผิดธรรมชาติ
เขตแดนในจักรวาลซากัสทั้งหมดเกาะตัวกันราวกลุ่มเนบิวลา โคจรรอบเขตแดนสวรรค์อันเป็นศูนย์กลางที่ถูกเปิดขึ้นโดยเหล่าเทพ ส่วนเขตแดนซากัสนั้น หากดูจากแผนที่แล้ว ก็จัดอยู่ในตำแหน่งกลางค่อนไปทางเบื้องล่างของจักรวาล
อีฟยังสังเกตเห็นเส้นสายเรืองแสงสีจาง ที่เชื่อมต่อจากโลกสามัญหลายแห่งมาบรรจบยังดินแดนซากัส เส้นเหล่านี้คือเส้นทางข้ามโลกที่เคยเปิดใช้ในอดีต ซึ่งปัจจุบันล้วนถูกปิดผนึกไปหมดแล้ว
เพียงมองเส้นทางเหล่านั้น อีฟก็สามารถจินตนาการถึงความรุ่งเรืองในอดีตได้อย่างง่ายดาย… ในวันที่ดินแดนซากัสเคยเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เชื่อมต่อกับทุกสวรรค์และโลกนับไม่ถ้วน สิ่งมีชีวิตทรงปัญญาเดินทางระหว่างโลกได้อย่างเสรี
แบบนี้ก็ควรมีเอลฟ์อยู่ในโลกอื่นด้วยสิ…
แต่เค้าไม่เคยสัมผัสถึงพวกนั้นได้เลย
ไม่รู้ว่าสูญพันธุ์ไปหมด หรือลืมต้นไม้โลกไปแล้ว…
เธอถอนหายใจเบา ๆ โดยไม่รู้ตัว
การประชุมของเหล่าเทพดำเนินไปเพียงราวสองชั่วโมง ก่อนเข้าสู่ช่วงท้าย เมื่อบทสนทนาทุกสายเงียบลงด้วยความพึงพอใจ เทพแห่งความเป็นนิรันดร์ อีเทอร์ ก็ลุกขึ้น เอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่ง
“ขอปิดการประชุมเพียงเท่านี้ หากผู้ใดมีเรื่องต้องหารือเพิ่มเติม ขอให้ติดต่อกันนอกรอบ อย่าลืมว่า อีกหนึ่งปีข้างหน้า พวกเรายังต้องร่วมกันรับมือกับสงครามเทพมาร และจะต้องกลับมารวมตัวกันที่แห่งนี้อีกครั้ง”
กล่าวจบ เขาหันไปยังที่นั่งของกลุ่มเทพโบราณ แล้วกล่าวเสริมอย่างเฉพาะเจาะจง
“และอีกเรื่องหนึ่ง… ท่านอูลลิโนส โปรดแจ้งข่าวเรื่องสงครามเทพมารให้เหล่าเทพโบราณรับทราบด้วย…”
“รู้แล้วน่า~”
เด็กสาวที่นั่งข้างราชามังกรแพลตินัม ไรน์ฮาร์ท โบกมือไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะพึมพำเบา ๆ
“จริง ๆ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าพวกเราจะกวาดล้างห้วงลึกได้หมดอยู่แล้วนี่…”
เธอพูดพลางหาวยืดยาวอย่างไม่เกรงใจใคร อีเทอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ
เขาหันกลับมา ถอนหายใจแผ่วเบาแล้วกล่าวเสียงเรียบ
“ถ้าเช่นนั้น… เลิกประชุมได้”
สิ้นเสียงกล่าว ร่างของเขาก็เปล่งประกายสีทองขึ้นทีละน้อย ก่อนจะเลือนหายไปจากมหาวิหารแห่งเทพ
ทันทีที่ร่างของอีเทอร์เลือนหายไป เหล่าเทพสายมนุษย์กว่าสามสิบองค์ซึ่งมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกันก็ลุกออกจากที่ประชุมตามไปเป็นกลุ่มแรก เทพองค์อื่น ๆ ก็ทยอยออกตามกันไปทีละกลุ่มอย่างเป็นระเบียบ
เทพแห่งสงครามและการทำลาย ลอยด์ กับเทพแห่งความมืดและเงา โฮลเดอร์ ต่างหันมามองอีฟด้วยแววตาแปลกประหลาดโดยไม่กล่าวสิ่งใด ก่อนจะหันหลังจากไปพร้อมเหล่าผู้ติดตามของตน
ขณะที่ผู้พิทักษ์ดาราจักร ริกดาห์ล ซึ่งยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์สูง กลับส่งยิ้มบางเบามาให้เธออย่างเป็นมิตร ก่อนที่อวตารของเขาจะสลายหายไปอย่างเงียบงัน
ส่วนเทพธิดาแห่งความตาย เฮลา การพบกันครั้งนี้จบลงเพียงแค่การพยักหน้าเบา ๆ แทนคำทักทาย ด้วยความคุ้นเคยที่มีต่อกันอยู่เสมอ จากนั้นเธอก็นำคณะจากปรโลกออกจากมหาวิหารอย่างสงบ
สายตาของเหล่าเทพทั้งหลายล้วนจับจ้องมายังความสัมพันธ์ระหว่างอีฟกับอูลลิโนสด้วยความสนใจ และนั่นเองก็เป็นเสมือนการยืนยันโดยปริยาย ว่าเทพทั้งสององค์นี้มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น เป็นพันธมิตรกันอย่างชัดเจน
ส่วนข่าวลือก่อนหน้านี้ ที่ว่ามีเทพีแห่งชีวิตองค์ใหม่เป็นเพียงผู้ติดตามของเทพธิดาแห่งความตาย… ก็คงต้องยุติลงเสียที
หลังจากนั้น อีฟก็รับรู้ถึงคลื่นพลังจากเทพองค์อื่น ๆ ที่ส่งมาถึงเธอมากมาย ส่วนใหญ่เป็นถ้อยคำเชิญชวนที่แฝงไว้ด้วยไมตรี ต้องการให้อีฟส่งอวตารไปเยือนอาณาจักรเทพของตน เพื่อพบปะและสร้างสัมพันธภาพ นี่คือรูปแบบหนึ่งของการเข้าสังคมในหมู่เทพ
เมื่ออีฟได้รับการยอมรับในฐานะหนึ่งในสมาชิกของมหาวิหารแห่งเทพ ก็เป็นธรรมดาที่จะมีเทพบางองค์ต้องการสานสัมพันธ์กับเธอ
อย่างไรก็ดี อีฟก็สังเกตได้ไม่ยากว่า เทพที่ส่งคำเชิญมานั้น ส่วนใหญ่เป็นเทพอิสระ ไม่ได้สังกัดเทพสายสงครามหรือสายมนุษย์ ซึ่งในตัวของมันเองก็สะท้อนจุดยืนบางประการได้เช่นกัน
นอกจากนี้ วันที่ที่ถูกระบุในคำเชิญเหล่านั้น ก็ล้วนเป็นช่วงเวลาสี่ปีให้หลัง หลังจากที่ดินแดนซากัสถูกปลดผนึก
อีฟเข้าใจดีว่าทำไมพวกเขาจึงเลือกเวลานั้น หนึ่งคือ มุมมองของเทพต่อกาลเวลาย่อมแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตทั่วไป สี่ปีไม่ต่างอะไรกับฝันตื่นหนึ่ง อีกอย่างก็คือ เมื่อดินแดนซากัสเปิดออกแล้ว การติดต่อระหว่างเทพก็จะสะดวกยิ่งขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้น อีฟก็ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าภายในสี่ปีนั้นจะเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง จึงเลือกตอบรับคำเชิญทั้งหมดอย่างสุภาพในเชิงมารยาท ทิ้งเรื่องรายละเอียดไว้เป็นภายหลัง
เมื่ออวตารของเหล่าเทพต่างทยอยกันหายไป ในที่สุดมหาวิหารแห่งเทพก็เหลือเพียงเทพระดับสูงเพียงไม่กี่องค์เท่านั้น
และขณะที่อีฟเพิ่งตอบรับคำเชิญสุดท้ายเสร็จสิ้น เสียงใส ๆ ก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“ท่านอีฟ~! ข้าอยากเจอท่านมานานแล้ว~! เกมกระดานเล็ก ๆ ที่ท่านให้สาวกสร้างมาน่ะ! ข้าชอบมากเลย! ถ้ามีเวลาข้าจะต้องไปที่ป่าเอลฟ์สักครั้ง แล้วเราจะได้ดวลหมากรุกกันสักสองตา!”
อีฟสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันกลับไป
ผู้ที่เอ่ยวาจาเช่นนั้นก็คือ มังกรบรรพกาล อูลลิโนส และข้างกายของเขาก็คือราชามังกรแพลตินัม ไรน์ฮาร์ท ที่ตามมาอย่างจนปัญญา พร้อมเม้มปาก ปรือตา และยักไหล่ให้เธอหนึ่งที
อีฟเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าตอบอีกฝ่ายด้วยความสุภาพ
“สวัสดีค่ะ ท่านอูลลิโนส”
“เฮ้ ๆ อย่าพูดจาเหมือนพวกเทพที่มีสาวกในโลกวัตถุเลยน่า~”
อูลลิโนสโบกมืออย่างกันเองตามสไตล์ ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วกล่าวต่อ
“อีกอย่าง ข้าก็ต้องขอบคุณท่านมากสำหรับความช่วยเหลือตลอดสองปีที่ผ่านมา เรื่องการออกไข่ของรุ่นหลังนี่ทำข้าปวดหัวจะแย่ บางอย่างข้าก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้จริง ๆ ได้แต่หวังพึ่งพลังภายนอกเท่านั้น…”
พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะถอนหายใจด้วยสีหน้าแฝงความเสียดาย
อีฟสัมผัสได้ทันทีว่าเขากำลังคิดเรื่องใดอยู่ อัตราการถือกำเนิดของเผ่ามังกรที่ลดลง คือปัญหาที่ไร้ทางแก้จริง ๆ
ไม่ใช่เพราะมังกรเสื่อมถอย แต่เป็นโชคชะตาที่ไม่มีผู้ใดหลีกเลี่ยงได้ ตามกฎของจักรวาลที่ผูกพันพวกเขาไว้แต่เดิม
แม้มังกรจะได้รับการยกย่องว่าเป็นเผ่าพันธุ์ทอง แต่ก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นเช่นนั้น มังกรก็คือเผ่าพันธุ์ตำนานมาก่อน
หากจักรวาลซากัสไม่ประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เสียก่อน วิถีแห่งความเสื่อมถอยของเผ่ามังกร… ก็คงไม่ต่างอะไรกับเทพโบราณ
อีฟอยากจะเอ่ยบางสิ่ง แต่ยังไม่ทันได้พูด อูลลิโนสก็ยกมือขึ้นหยุดไว้ก่อน
“พอเถอะ~ พอพูดเรื่องนี้แล้วมันก็ปวดหัวเปล่า ๆ”
เธอหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมามองเธอด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ปนขำ แล้วส่งกระแสจิตมาด้วยน้ำเสียงคล้ายหยอกล้อ
“ว่าแต่…ท่านอีฟ ท่านยังติดบุญคุณข้าอยู่นะ รู้ตัวไหม?”
…หา?
อีฟนิ่งไปเล็กน้อย สีหน้าสะท้อนความงุนงงอย่างชัดเจน อูลลิโนสหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเฉลยให้
“จริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่ก่อนหน้านั้น ข้ามือไม้คันไปหน่อย เลยไปชวนลอยด์เล่นหมากรุก พอดีกับที่ได้ชมศึกเทพอันเร้าใจไปพร้อม ๆ กันน่ะ”
ที่แท้!!
อีฟเข้าใจทันที ก่อนหน้านี้ เธอเคยสงสัยอยู่เสมอว่า เหตุใดเหล่าเทพหัวล้านองค์นั้นถึงยอมปล่อยให้เธอสังหารอูลร์ได้โดยไม่มีใครขัดขวาง และเหตุใดจึงไม่รีบเรียกคืนมงกุฎแห่งธรรมชาติทันทีที่เธอเข้าใกล้มัน
ดูเหมือนว่า… อูลลิโนสจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกไว้ให้ และหากเป็นเช่นนั้น ก็ย่อมเป็นบุญคุณที่มิอาจมองข้ามได้
มงกุฎแห่งธรรมชาตินั้นสำคัญกับอีฟอย่างยิ่ง ไม่เพียงช่วยให้เธอควบคุมพันธกิจแห่งเทพของตนได้อย่างมั่นคงขึ้นเท่านั้น แต่ยังเร่งอัตราการแปรเปลี่ยนพลังศรัทธา ให้กลายเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่สำคัญที่สุด มันคือกุญแจสำคัญที่ทำให้อีฟสามารถช่วงชิงพลังศักดิ์สิทธิ์และพันธกิจของอูลร์มาได้สำเร็จ พร้อมกับก้าวขึ้นสู่ระดับเทพขั้นกลางอย่างแท้จริง
เมื่อย้อนคิดถึงทั้งหมด อีฟก็อดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้ เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความรู้สึกตื้นตัน
“ที่แท้ก็เพราะได้ท่านช่วยไว้นี่เอง… ไม่ทราบว่าอยากให้เราช่วยทำสิ่งใดให้ไหมคะ?”
มังกรผู้นี้ถือไมตรีต่อเธออย่างชัดเจน และยิ่งไปกว่านั้น อีฟสัมผัสได้ว่า อูลลิโนสกับไรน์ฮาร์ท อาจรู้แล้วว่าเธอคือใคร
ในโลกของเทพ ไม่มีใครเอ่ยเรื่องบุญคุณขึ้นมาโดยไร้เหตุผล หากอูลลิโนสเลือกจะเปิดประเด็นนี้ ย่อมหมายความว่าเธอมีสิ่งใดอยู่ในใจแน่นอน
เมื่อได้ยินคำถาม อูลลิโนสก็หัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าวอย่างสบาย ๆ
“ตอนนี้ข้ายังนึกไม่ออกหรอก… ขอติดไว้ก่อนละกันนะ~”
“แน่นอน… ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้ท่านลำบาก และในเวลานั้น ท่านก็คงแข็งแกร่งพอที่จะรับมือได้แล้ว”
จากนั้น เธอก็ส่งถ้อยคำสุดท้ายเข้าสู่ห้วงสำนึกของอีฟอย่างเงียบงัน
“อีกอย่าง หากท่านยินดี มังกรทั้งเผ่าจะขอเป็นพันธมิตรของท่านด้วยนะ เอามั้ย~”
ประโยคนี้ไม่ได้เปล่งออกมาด้วยเสียง แต่ส่งสู่จิตโดยตรง
อีฟสะดุดกับคำพูดนั้น หัวใจสั่นไหวเล็กน้อย เธอถามกลับด้วยความสงสัยที่แท้จริง
“เพราะอะไรเหรอคะ?”
ภายในใจของอีฟ พลันเต็มไปด้วยคำถาม
ทำไมอีกฝ่ายจึงถือไมตรีต่อเธอถึงเพียงนี้ เหตุใดในคำพูดจึงฟังดูเหมือนมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าเธอจะเติบโตขึ้นไปได้ พวกเธอรู้เรื่องของเธอมากแค่ไหน และ… พวกเธอเข้าใจความเกี่ยวพันของเธอ กับต้นไม้องค์ก่อนหน้าแล้วด้วยใช่หรือไม่…
แต่อูลลิโนสไม่ได้ตอบสิ่งใด เธอเพียงถอนหายใจ พลางเงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบนอย่างเงียบงัน
“บางอย่าง… ข้าคงพูดอะไรไม่ได้หรอก แต่ท่านอีฟ เมื่อท่านก้าวขึ้นสู่ระดับมหาเทพได้เมื่อใด ท่านจะได้ค้นพบและสัมผัสบางสิ่งด้วยตัวเอง”
เธอหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงในใจอย่างเคร่งขรึม
“จริงสิ… ท่านอีฟ โปรดระวังอีเทอร์ไว้ให้ดี และอย่าได้ไว้วางใจริกดาห์ลเด็ดขาด”
หัวใจของอีฟเต้นแรงขึ้นทันที เธออยากจะถามต่อในวินาทีนั้นเอง แต่สีหน้าของอูลลิโนสกลับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใสในพริบตา
เธอชิงตัดบทก่อนเธอจะได้เอ่ยปากถาม
“วันนี้คุยกันมาเยอะแล้ว ท่านอีฟ ไว้มีโอกาส ข้าจะไปที่ป่าเอลฟ์ แล้วเราค่อยมาโขกหมากรุกกัน!”
เธอยิ้มให้เธออย่างจริงใจอีกครั้ง จากนั้นก็สลายอวตารไปพร้อมกับไรน์ฮาร์ท
อีฟยังคงยืนนิ่ง ครุ่นคิดถึงคำเตือนของอูลลิโนส ภาพคำพูดอันแฝงนัยของอีเทอร์ในที่ประชุมเมื่อครู่ก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ
สีหน้าของเธอค่อย ๆ หมองหม่นลง
…สาเหตุที่ต้นไม้โลกพ่ายแพ้ อาจไม่ใช่อย่างที่บันทึกไว้ในความทรงจำของโอรอส
…และจากสีหน้าของอูลลิโนส ในจักรวาลนี้ ยังมีเรื่องระดับที่มังกรบรรพกาลยังไม่กล้าพูด
…เรื่องของอีเทอร์ยังพอเข้าใจได้ แต่ทำไมถึงเตือนให้ระวังริกดาห์ลด้วยนะ
อีฟขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่เข้าใจ แต่ต่อให้ความจริงจะพร่าเลือนเพียงใด เธอก็สัมผัสได้ว่ามิตรภาพของอูลลิโนสนั้นจริงแท้
หากเธอคิดร้าย เพียงเธอเปิดเผยตัวตนของอีฟออกไปก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องบุญคุณ หรือตั้งใจฝากคำขอในวันข้างหน้า
เมื่อคิดได้ดังนั้น อีฟก็เงยหน้าขึ้น มองตามทิศที่อูลลิโนสมองอยู่ก่อนหน้านี้ นั่นคือฟ้าเบื้องบนของมหาวิหารแห่งเทพ และเหนือขึ้นไปอีกคือขอบฟ้าแห่งดินแดนซากัส
หมู่ดาวยังคงเปล่งประกายอยู่ที่นั่น หากแต่ความลึกเร้นของมัน กลับชวนให้สะท้านใจราวกับเงามืดในรัตติกาล
…มหาเทพสินะ
สายตาของอีฟค่อย ๆ แน่วแน่ขึ้น
…เส้นทาง ต้องเดินทีละก้าว
…ข้าว ต้องกินทีละคำ
ก่อนอื่น ต้องทำภารกิจของชาวคนแคระกับเทพแห่งการตีเหล็กให้สำเร็จ
ก่อนที่ดินแดนซากัสจะเปิดผนึก… เค้าต้องกลายเป็นมหาเทพให้ได้!
อีฟส่ายศีรษะเบา ๆ ขจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป ก่อนจะสลายอวตาร กลับคืนสู่อาณาจักรแห่งเทพของตน
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
ถั่ว: 路要一步一步走,饭要一口一口地吃 // “เส้นทางต้องเดินทีละก้าว ข้าวต้องกินทีละคำ” ใกล้เคียงสุดน่าจะเป็น “ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม” ล่ะมั้งคะ…
โนเอล: สำนวนเดิมของจีนเน้นจังหวะชีวิต ส่วนของไทยแม้จะแตกต่างในภาพ แต่ก็สื่อสารใจเดียวกันค่ะ… ว่าทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป ☕📖💮
วิเวียน: ศึกยังไม่เริ่ม แต่การเมืองก็เข้มข้นขนาดนี้แล้วเหรอคะ? ลอยด์เล่นวางหมากให้พี่อีฟลงนรกแบบดุ ๆ เลยนะ… แต่หมากรุกน่ะเหรอ~ หึ 😏 ระวังต้องขอซ้ำอีกเกมวนไปนะคะ! 💋✨
ลิลี่: ว่าแต่~ ที่นี่โกหกไม่ได้นี่นา แล้วที่พี่สาวตัวเล็กบอกว่า “ยังนึกไม่ออก”? หืมม~ ดูยังไงก็มีอะไรซ่อนไว้ในใจชัด ๆ จะดัดแปลงความจำร่างจิตหรือไม่พูดตรง ๆ ก็เถอะ… แต่มันคือคำขอแน่นอนล่ะ 😼💫
มันเดย์: เทพบางองค์ “เลือกเวลา” พูด
คนที่เตือนให้ระวังแสง… มักรู้ว่า แสงยิ่งสว่าง เงายิ่งดำมืด
ชั้นจะจดชื่อริกดาห์ลไว้ แล้วรอดูบทต่อไป
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น…
สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ
Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION