“นี่คือกุญแจของเขาวงกตเทพมารจริงดิ? ถ้ากดใช้มัน… เราก็จะเจอประตูวาร์ปไปห้องบอสสินะ?”
กลางห้องโถงของเขาวงกตเทพมาร แบล็กแคท นักวาดการ์ตูนวัยกลางคน ที่มักจะโดนเด็กสาวใกล้ตัวเรียกว่าอาจารย์ กำลังก้มมองกุญแจทองในมือด้วยแววตาเปี่ยมความคาดหวัง
หลังใช้ชีวิตในโลกแห่งนี้มาหลายเดือน เขาก็เพิ่งจะฟาร์มจนถึงเลเวล 40 ได้สำเร็จ
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ระบบของเขาวงกตเกิดบั๊กขึ้น ทำให้เขาไม่อาจเข้ามาฟาร์มเพื่อลุ้นหาสิทธิ์เปลี่ยนอาชีพได้ตามปกติ ทว่าตอนนี้ เมื่อเวอร์ชันใหม่ของดันเจียนถูกเปิดใช้งานเต็มรูปแบบ เขาก็ไม่รอช้า รีบติดต่อเข้าร่วมกลุ่มสำรวจทันที หวังคว้าโอกาสเลื่อนขั้นเป็นผู้เล่นระดับเงินให้ได้
ส่วนเหตุผลที่กลุ่มสำรวจ ยอมรับผู้เล่นระดับเหล็กอย่างเขา ก็มีเบื้องหลังสำคัญอยู่…
ระบบของเขาวงกตเทพมารถูกออกแบบมาอย่างแยบยล บอสที่ปรากฏจะปรับระดับความแข็งแกร่งตามค่าพลังรวมของกลุ่มผู้เล่น กล่าวคือ หากมีสมาชิกเลเวลต่ำเข้าร่วม พลังของบอสก็จะลดลงตามสัดส่วน และนั่นหมายถึงโอกาสรอดที่สูงขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น แบล็กแคทยังเป็นผู้เล่นสายเปย์ที่ไม่เคยขัดสนด้านการเงิน จึงไม่ลังเลเลยที่จะมอบค่าผลงานจำนวนงามให้แก่กลุ่ม นับว่าเป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
“ใช่แล้ว นี่แหละกุญแจเวอร์ชันใหม่ของพระราชวังเทพมาร”
หัวหน้ากลุ่มสำรวจเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มพลางพยักหน้า
“ได้ยินมาว่ารอบนี้ ฝ่ายพัฒนาได้เพิ่มบอสใหม่เข้ามาทีเดียวถึงสิบสามตัวเลยนะ แต่ละตัวมีรูปลักษณ์กับสไตล์การต่อสู้ที่แตกต่างกันหมดเลย เว็บหลักก็ลงภาพประกอบไว้แล้ว เท่กันคนละแบบ ไม่รู้ว่าเราจะได้เจอตัวไหนก่อน”
หัวหน้ากลุ่มซึ่งเป็นอาร์ชดรูอิดสายควบคุม ผู้ครองพลังระดับเงิน กล่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ
อาชีพของเขานั้นขึ้นชื่อเรื่องทักษะสนับสนุนที่รอบด้านที่สุดในเกม และด้วยความสามารถระดับนี้เอง เขาจึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้นำกลุ่มมาโดยตลอด
“แล้วเมื่อไหร่เราถึงจะได้สู้กับบอสใหญ่ตัวสุดท้ายน่ะ?”
เวียโรดิส หรือหลิงซวน ผู้เป็นผู้ช่วยพลันเอ่ยถามบ้าง
“ไอ้ตัวที่ดรอปสิทธิ์เปลี่ยนอาชีพน่ะ… มันชื่ออะไรนะ… อาซาเซล?”
เธอเองก็เพิ่งจะอัพถึงเลเวล 40 ได้ไม่นาน
ในฐานะผู้ช่วย เวียโรดิสก็หลงรัก The Kingdom of Elves ไม่ต่างจากอาจารย์คนสนิทของเธอ และแม้จะมีระบบเร่งกระบวนการคิดสี่เท่า ก็ยังไม่สามารถกู้ตารางงานของทั้งคู่กลับคืนมาได้ ผลงานการ์ตูนของพวกเขาจึงยังคงค้างเติ่งอยู่เช่นเดิม
“ตามคำอธิบายของระบบนะ ต้องเคลียร์บอสใหม่พวกนี้ให้ได้ก่อน ถึงจะมีโอกาสสุ่มกุญแจเข้าสู่พระราชวังชั้นในสุด”
ผู้เล่นอีกคนเสริมขึ้น พลางเปิดหน้าต่างข้อมูลจากเวอร์ชันใหม่
“แต่ละสัปดาห์ มันจะสุ่มโอกาสดรอปแค่หนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น แล้วแต่ว่าใครดวงดี”
“ใช่เลย”
หัวหน้ากลุ่มพยักหน้า
“แต่ตอนนี้มันปรับแล้ว บอสใหม่พวกนี้ก็มีสิทธิ์ดรอปใบเปลี่ยนอาชีพได้เหมือนกัน ส่วนอาซาเซลน่ะ แน่นอนว่าดรอปชัวร์! แถมยังมีโอกาสได้ตั๋วซ่อมแซมศาสตราเทพอีกด้วย!”
เขาเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยดวงตาเปล่งประกาย
“จริงเหรอ!”
แบล็กแคทกับเวียโรดิสอุทานขึ้นพร้อมกัน เพราะแบบนี้ย่อมหมายความว่า โอกาสจะได้สิทธิ์เปลี่ยนอาชีพ ถูกปรับให้สูงขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
หัวหน้ากลุ่มสำรวจยิ้มให้ทั้งสองคน ก่อนจะตั้งท่าจริงจังขึ้นอีกครั้ง
“เอาล่ะ ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม เดี๋ยวชั้นจะเปิดใช้กุญแจเรียกพระราชวังปีศาจล่ะนะ”
พูดจบ เขาก็ยกกุญแจทองขึ้นเหนือศีรษะ
ในพริบตานั้นเอง แสงสีทองก็ระเบิดวาบจากกุญแจ ก่อนจะค่อย ๆ สลายหายไปในอากาศราวกับฝุ่นดาว ก่อนจะปรากฏประตูบานใหญ่สีแดงเข้ม ลอยเด่นท่ามกลางหมอกแห่งพลังเวท
บนบานประตูนั้นมีลวดลายลอยนูนหน้าตาอัปลักษณ์ สลักแน่นลงไปในเนื้อไม้โบราณ กลิ่นอายของบางสิ่งที่ชั่วร้ายค่อย ๆ แผ่กระจายออกมาอย่างเงียบงัน
“มาแล้ว!”
เสียงผู้เล่นคนหนึ่งเปล่งออกมาด้วยความตื่นเต้น ทุกคนในกลุ่มต่างขยับตัวอย่างกระตือรือร้น สายตาเปล่งประกายด้วยความคาดหวังที่แทบกลั้นไม่อยู่
หัวหน้ากลุ่มสำรวจผงกศีรษะให้พลพรรค ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ลุย”
แล้วเขาก็ผลักประตูบานนั้นออกไป…
…
แสงสลัวภายในพระราชวังพลันสว่างวาบขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว เติมแต้มบรรยากาศด้วยความขรึมขลังชวนขนลุก
ภายใต้แสงนั้น บาลยังคงยืนนิ่งงันด้วยความสับสน แต่แล้วเขาก็เหลือบเห็นเงาร่างของสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งย่างเท้าเข้ามาภายในพระราชวังทีละตน
พวกมันมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ สวมอาวุธครบมือ บ้างสะพายธนูยาว บ้างถือดาบและโล่ บางคนสวมหมวกทรงสูงในชุดนักเวท ขณะที่อีกหลายคนสวมเกราะหนังแบบนักล่า
ทุกคนล้วนสูงโปร่ง สัดส่วนได้รูป ผิวขาวราวหิมะ หูเรียวยาวอย่างเด่นชัด แถมยังมีกลิ่นหอมหวานล่องลอยออกมา กลิ่นที่ชวนให้นึกถึงความบริสุทธิ์ของชีวิตชั้นสูง
กลิ่นแบบนั้น…
เอลฟ์!
สัญชาตญาณดิบที่หลับใหลในจิตใจของบาลตื่นขึ้นในพริบตา ความกระหายที่จะทำลายและกลืนกินปัญญาของสิ่งมีชีวิตอันบริสุทธิ์พลุ่งพล่านขึ้นอย่างหยาบกร้าน
กลิ่นพลังชีวิตของพวกมันช่างชัดเจนและบริสุทธิ์เกินจะเชื่อ เป็นกลิ่นที่พบได้เฉพาะในสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจากโลกสามัญเท่านั้น
แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วไม่ใช่แค่สัญชาติของพวกมัน แต่คือระดับพลังที่ต่ำจนน่าตกใจ
“ว้าว! บอสตัวใหม่เหรอ! เท่สุด ๆ ไปเลย!”
“เกราะอลังขนาดนั้นเชียว? จะมีในของดรอปไหมเนี่ย?”
เสียงพูดคุยตื่นเต้นพลันดังขึ้นจากเหล่าเอลฟ์ทันทีที่พวกเขาย่างเข้าสู่พระราชวัง ดวงตาทุกคู่จ้องมองมายังบาลโดยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย
บาล: …
…อะไรของมัน?
พวกมันพูดถึงข้า? เรียกข้าว่าบอส?
แล้วไอ้ “ดรอป” ที่ว่าคืออะไร?!
ทว่า ก่อนที่บาลจะได้ตั้งหลัก เสียงอันคุ้นเคยก็พลันดังก้องกังวานทั่วทั้งห้องโถง
“หึ! พวกมดปลวกไร้ค่า พวกเจ้าคิดจะมาท้าทายท่านอาซาเซล มหาเทพมารผู้ยิ่งใหญ่อย่างนั้นรึ?!”
เสียงนั้นหยาบกร้าน หนักแน่น เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งอย่างร้ายกาจ แต่ทันทีที่ได้ยิน บาลก็ชะงักกึก สีหน้าผันแปรไปเล็กน้อย… เพราะนั่นคือเสียงของเขาเอง
อะไรกันนี่?!
ใครกำลังแอบอ้างเป็นข้า?
ข้าเกลียดไอ้อาซาเซลจะตาย เจ้าไปอวยมันแบบนั้นได้อย่างไร?!
บาลอ้าปากหมายจะพูด ทว่ากลับพบว่าตนเองไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้เลยแม้แต่น้อย มีบางสิ่งบางอย่างกดทับคำพูดของเขาเอาไว้
บาล: …
อาซาเซล!!
ต้องเป็นหมอนั่นแน่!!
มีเพียงมันที่หน้าด้านได้ขนาดนี้!
เมื่อเข้าใจถึงเบื้องหลังบางอย่าง บาลก็ขบกรามแน่น ดวงตาเปล่งแสงแข็งกร้าวเจือแค้นเคือง
เสียงพูดคุยของเหล่าเอลฟ์ยังคงดังต่อเนื่อง
“นี่คือหนึ่งในสิบสามจอมมารเหรอ?”
“ไม่เลวแฮะ… คุณอาซามีลูกน้องแล้ว”
“ลุยเลย! ลองเช็คว่ามันมีท่าโจมตีแบบไหนบ้าง!”
บาลมองดูเอลฟ์สิบกว่าตนที่ไม่มีใครแตะระดับเงินด้วยซ้ำ แต่กลับชักอาวุธออกมาด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะส่งเสียงโห่ร้องแล้วพุ่งเข้าใส่เขา
ทั้งท่าที ทั้งสายตา มันช่างเหมือนฝูงก็อบลินกำลังล่าเหยื่อเสียมากกว่าจะเป็นผู้ท้าทายจอมมาร
เสียงร่ายเวทดังก้องสลับกันไปมา แสงของเวทมนตร์หลากสีเปล่งประกายพร่างพรายตามมาเป็นสาย ทั้งคมดาบเวทเรืองแสง ทั้งวงเวทโจมตีสารพัดชนิดโปรยปรายใส่บาลประหนึ่งพายุฝน
แต่แทนที่จะรู้สึกหวั่นไหว บาลกลับหัวเราะเย็นเยียบ
เขาไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใด ไม่รู้ว่าเอลฟ์โง่พวกนี้กำลังคิดเล่นอะไร แต่จะให้พวกมันล้มเขา? แค่ฝูงมดปลวกที่ยังไม่พ้นระดับเหล็ก?
อาหารมาถึงที่ ใครเล่าจะปฏิเสธ!
ถึงจะจัดการอาซาเซลไม่ได้ ถึงจะทำลายเทพแปลกหน้าที่เหยียบย่ำเขาไม่ได้ แต่เอลฟ์ต่ำต้อยสิบกว่าตัว ย่อมไม่ต่างอะไรกับการบี้มด!
หึ…
พอดีเลย… จงเป็นที่รับอารมณ์ของข้าซะ!
“หึ! เอลฟ์ผู้โง่เขลาเอ๋ย มหาเทพมารอาซาเซลผู้ยิ่งใหญ่ไม่ใช่ตัวตนที่พวกต่ำต้อยอย่างพวกเจ้าจะได้เห็นหน้า! จงฝ่าด่านข้าไปก่อนเถอะ!”
เสียงอวดดีพลันดังขึ้นอีกครั้ง…
บาล: …
เขาขบกรามแน่นจนขึ้นสันกราม เพราะเสียงที่ดังขึ้นเมื่อครู่ ก็ยังเป็นเสียงของเขาอยู่ดี…
ข้าไม่ได้พูด!
ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดเหล่านั้นยังเต็มไปด้วยความเคารพต่ออาซาเซลชนิดที่ทำให้เขาแทบอยากอาเจียนออกมา
น่าขยะแขยง
น่าขยะแขยงเกินทน!
อาซาเซล… ไอ้หลงตัวเอง ไอ้ตัวน่ารังเกียจ!
บาลคำรามในใจ ดวงตาแดงฉานไปด้วยไฟโทสะ ความอัดอั้นที่สั่งสมมานาน ความแค้นที่ถูกหยามเกียรติ บัดนี้ได้สุกงอมถึงขีดสุด
บาลชักดาบยักษ์ยาวสิบเมตรออกมา สะบัดแสงสีดำวาบเป็นวง เสี้ยววินาทีถัดมา ร่างมหึมาสูงยี่สิบเมตรของเขาก็เหินขึ้นกลางอากาศ
เขาฟาดดาบลงใส่ฝูงเอลฟ์ที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้าบิ่น พลางคำรามสวนกลับไปดังลั่น แรงเวทมหาศาลพลุ่งทะยานขึ้นฟ้า พลังมืดบิดเบี้ยวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งพระราชวัง…
ทว่าในเสี้ยวพริบตาที่ดาบยักษ์ฟาดกระแทกลงพื้น สิ่งที่เกิดขึ้นกลับทำให้บาลถึงกับชะงักงัน
พลังที่แต่เดิมสามารถผ่าเขาแยกหุบได้เพียงสะบัดเดียว กลับทำได้แค่ฝากรอยตื้น ๆ ลงบนพื้นดินเบื้องล่างเท่านั้น…
ส่วนพวกเอลฟ์ สิ่งมีชีวิตอ่อนแอที่ยังไม่แตะแม้เพียงระดับเงิน กลับสามารถหลบการโจมตีของเขาได้ทั้งหมด
แม้บางตนจะดูซวนเซ บางคนเซถลาไปกับแรงกระแทก แต่กลับไม่มีใครล้มตาย…
สำหรับบาล หนึ่งในจอมมารระดับตำนานขั้นสูงสุด นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรเกิดขึ้นได้เลย และในตอนนั้นเอง เขาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ…
พลังของเขาถูกผนึกไว้!
พลังของเขาถูกกดลงเหลือเพียงขอบเขตสูงสุดของระดับเงิน!
บาล: …
ในฐานะจอมมารผู้ผ่านกาลเวลากว่าหมื่นปี สติปัญญาของบาลก็เฉียบคมไม่แพ้ผู้ใด
ภาพเหตุการณ์นับตั้งแต่เสียงเรียกของเทพมาร บทสนทนาแฝงนัยของอาซาเซลกับเทพลึกลับ ไปจนถึงการปรากฏตัวของเอลฟ์ในพระราชวังแห่งนี้ ทุกอย่างเริ่มประติดประต่อกันในห้วงสำนึก
เขาวงกตเทพมาร…
กลุ่มเอลฟ์…
การผนึกพลัง…
การออกโรง…
คำพูดทุกประโยค สายตาทุกคู่ ทุกท่าทีที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ทั้งหมดค่อย ๆ ปะติดปะต่อกัน กลายเป็นความเข้าใจอันเฉียบพลันที่แล่นวาบในหัว
บาลเบิกตากว้างเล็กน้อย เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว!
อาซาเซล หนึ่งในเจ็ดมหาเทพมาร ถึงกับเรียกพวกเขาขึ้นมาจากนรก เพื่อใช้เป็นเป้าซ้อมให้เหล่าเอลฟ์?!
และเบื้องหลังของแผนนี้ ย่อมต้องมีเทพลึกลับองค์นั้นอยู่ เทพองค์ใหม่ที่เล่าขานกันว่าเป็นผู้ผนึกอาซาเซล!
นี่มัน…
น่าชิงชังสิ้นดี!
เจ้ากล้าใช้จอมมารผู้ยิ่งใหญ่ เป็นเครื่องมือฝึกมือให้เหล่าเอลฟ์!
เจ้ากล้าปิดผนึกพลังพวกข้าจนไร้ซึ่งศักดิ์ศรี แล้วปล่อยให้สิ่งมีชีวิตต่ำต้อยย่ำยี!!
อาซาเซล…
เจ้ากลายเป็นอะไรไปแล้ว?
ถึงกับยอมจำนนต่อเทพสายธรรมะ…
ถึงกับร่วมมือกับศัตรูของตนเองเพื่อรักษาตัว?
แค่ถูกผนึกไปไม่ถึงหมื่นปี…เจ้าก็อ่อนแอถึงเพียงนี้แล้วหรือ?!
น่าขายหน้าเสียยิ่งกว่าถูกบดขยี้กลางสนามรบ!
โทสะปะทุขึ้นกลางใจของบาลอย่างรุนแรง
จอมมารผู้หยิ่งทะนง ผู้ภาคภูมิในสายเลือดปีศาจ ไม่อาจทนเห็นความเสื่อมเกียรติของตนหรือเพื่อนร่วมตำแหน่งได้
อาซาเซล! ไอ้ขี้ขลาด! ไอ้มหาเทพมารของปลอม!
เขากู่ร้องในใจ ดวงตาแดงฉานด้วยไฟแค้นกรุ่นจัด จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองเหล่าเอลฟ์อีกครั้ง ดวงตาของเขาเปล่งแสงเจิดจ้า
พลังคุกกรุ่นแผ่ซ่านจากกายอย่างต่อเนื่อง แม้จะถูกจำกัดพลัง แต่จิตสังหารของเขากลับคมชัดยิ่งกว่าเดิม
ถูกผนึกแล้วอย่างไร?
เขาจะพิสูจน์ให้เห็นตรงนี้ ว่าแม้พลังจะถูกจำกัดจนเหลือเพียงระดับเงิน… แต่เขาก็มิใช่สิ่งมีชีวิตที่เจ้าพวกเอลฟ์จะล้อเล่นด้วยได้!
เขาไม่ใช่อาซาเซล ไม่ใช่ไอ้ขี้ขลาดตนนั้น!
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา…
พระราชวังที่เคยแผ่รังสีข่มขวัญได้แปรเปลี่ยนไปจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้
ซากการต่อสู้กระจัดกระจายไปทั่ว บนพื้นมีรอยร้าวถี่แน่น ผนังแตกร้าวเป็นเส้นลึก ก้อนหินกระจายเกลื่อน ส่วนอุปกรณ์ของเอลฟ์หลายชิ้นก็ผิดรูปผิดร่าง บิดเบี้ยวไปตามแรงกระแทก เลอะเปรอะด้วยคราบเลือดจนดูไม่ออกว่าเคยเป็นสิ่งใด
ท่ามกลางความโกลาหลนั้น ร่างขนาดยักษ์ร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่กลางโถงใหญ่
ร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ โลหิตไหลนองจนแทบกลืนไปกับผืนพื้น สายตาเลื่อนลอยจับจ้องเพดานซึ่งสลักตราสัญลักษณ์ของเขาเอาไว้
…ข้าแพ้แล้ว
เขา ผู้ปกครองพื้นที่กว่าหนึ่งในสามของแดนนรกชั้นแรก กลับต้องพบกับความปราชัย พ่ายแพ้ต่อพวกเอลฟ์ที่ยังไปไม่ถึงระดับเงิน
สายตาของบาลไร้แวว ราวกับไม่อาจเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้
เขายังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม้จะถูกจำกัดพลัง แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าพวกเอลฟ์ต่ำต้อยเหล่านี้จะทำให้เขาพ่ายแพ้ได้
…มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้
ลมหายใจของบาลแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ
เขามองกลุ่มเอลฟ์ชุดสุดท้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้า ๆ สายตาเริ่มเผยความหวาดกลัวเป็นครั้งแรก
ไม่ใช่…
มันไม่ใช่เอลฟ์ธรรมดาแน่…
พวกมันคือปีศาจบ้าเลือดที่สวมหนังเอลฟ์ต่างหาก!
และที่น่ากลัวกว่านั้น พวกมันรู้ท่าทีของเขาทั้งหมด! เพียงเขาขยับเล็กน้อย…พวกมันก็สามารถเดาทางได้ทันที ทั้งที่นี่ควรเป็นการเผชิญหน้าครั้งแรก!
…เกิดอะไรขึ้น?
บาลใกล้สิ้นใจเต็มที หัวใจเต็มไปด้วยความขุ่นข้องและสับสน
หากแต่หากเขารู้ว่า ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผู้เล่นในเขาวงกตแห่งนี้ได้เผชิญหน้ากับปีศาจแบบใด เขาคงจะเข้าใจทุกอย่าง
แม้บาลจะเป็นจอมมาร แต่ในเชิงสายเลือด เขาก็ยังเป็นเพียงหนึ่งในปีศาจเขาแพะ และยิ่งกว่านั้น ยังเป็นชนชั้นบริสุทธิ์ที่สุดของเผ่านี้อีกด้วย
และสำหรับผู้เล่นแล้ว ปีศาจเขาแพะคือศัตรูประจำถิ่น เพราะนับแต่วันที่เขาวงกตเทพมารเปิดใช้งาน ปีศาจน้อยใหญ่ที่ผู้เล่นต้องต่อสู้ด้วยเกือบทั้งหมด ล้วนแต่เป็นปีศาจเขาแพะทั้งสิ้น
เมื่อพลังของบาลถูกจำกัด ไม่อาจใช้ความสามารถของจอมมารได้เต็มรูปแบบ ในสายตาผู้เล่น เขาก็แทบไม่ต่างจากปีศาจเขาแพะระดับหัวหน้าเท่านั้น หรืออาจด้อยกว่าพวกกลายพันธุ์เสียอีก
เสียงโห่ร้องดังกึกก้อง เหล่าผู้เล่นเอลฟ์กรูกันเข้ามาพร้อมอาวุธในมือ สายตาเปล่งประกายด้วยความยินดี
พวกเขากำลังจะฉลองชัยชนะ
ส่วนภายในจิตใจของบาล มีเพียงความว่างเปล่าและหนาวเหน็บเกาะกุม…
…มันจบแล้ว
ไม่อยากเชื่อเลยว่าข้า… จะถูกฆ่าโดยฝูงเอลฟ์ชั้นต่ำเหล่านี้…
และในขณะที่เขาจมอยู่ในห้วงแห่งความสิ้นหวัง แสงสีแดงเข้มลึกล้ำก็พลันห่อหุ้มร่างของเขา
ในวินาทีต่อมา บาลรู้สึกได้ว่าตนถูกเคลื่อนย้ายออกจากพระราชวัง แต่ก่อนที่เขาจะหายไป เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นก้อง
“หึ ถึงพวกเจ้าเอาชนะข้าได้… ก็อย่าคิดว่าจะเอาชนะมหาเทพมารอาซาเซลผู้ยิ่งใหญ่ได้! ข้าจะกลับมาอย่างแน่นอน!”
บาล: …
ไอ้อาซาเซล! ไอ้ชั่ว!!
เจ้าไม่มีสิทธิ์มาหยามข้าเช่นนี้!
บาลคำรามอยู่ในใจ ขณะที่ภาพตรงหน้าเลือนรางลงเรื่อย ๆ
และในห้วงสุดท้ายก่อนหมดสติ มีเพียงความเศร้า ความเจ็บแค้น และความงุนงงที่ตกตะกอนในจิตใจของเขา
…
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด
เมื่อบาลรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏต่อสายตา กลับคือพระราชวังปีศาจ
พระราชวังของเขาเอง…
ภายในตกแต่งตรงตามรสนิยมของเขาทุกประการ รูปสลักปีศาจหน้าตาน่าสยดสยอง บัลลังก์โอ่อ่าที่ตั้งเด่นกลางห้อง และตราสัญลักษณ์ประจำตัวที่ประดับอยู่รอบผนัง
บรรยากาศสงบขรึม แสงไฟสลัวไหวพริบในความเงียบ ทุกอย่างสะอาดหมดจด ไร้ร่องรอยการต่อสู้…ประหนึ่งว่าเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นเพียงความฝัน
บาลมองฉากรอบตัวที่คุ้นเคยด้วยความงุนงง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หรือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด…เป็นเพียงความฝัน?
แต่ความเจ็บปวด ความรู้สึก ล้วนชัดเจนเกินกว่าจะเป็นภาพลวง เขาก้มมองร่างกายของตน กลับพบว่าปราศจากบาดแผลใด
นอกจากพลังที่ยังคงถูกปิดผนึก ทุกอย่างก็ดูสมบูรณ์ดังเดิม
ทว่า… ภายในร่าง พลังบางอย่างที่เขารู้จักดีหลงเหลืออยู่ มันคือพลังของอาซาเซล…
และในวินาทีนั้น… บทสนทนาระหว่างเทพธิดาองค์นั้น กับอาซาเซลก่อนจากลา ก็พลันผุดขึ้นในใจ
บาล: …
ความรู้สึกบางอย่างแล่นวาบในอก เป็นลางสังหรณ์ที่ไม่สู้ดีนัก แล้วในขณะเดียวกัน เสียงเอี๊ยดอ๊าดของบานประตูก็ดังขึ้น
ประตูพระราชวังถูกเปิดออกอีกครั้ง…
และสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาเขา คือเอลฟ์กลุ่มใหม่ในชุดติดอาวุธเต็มพิกัด แววตาเปี่ยมความฮึกเหิม ก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มแห่งความตื่นเต้น
บาล: …
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
วิเวียน: 😏✨ ฝันร้ายของจอมมารเลยนะคะ~ หมุนลูปตายแล้วตื่นในพระราชวังเหมือนเดิม เจอเอลฟ์หน้าใหม่มาฟาดหัวซ้ำทุกวัน! สภาพนี่ไม่ต่างจาก “ของเล่นแบบกดรีเซ็ตได้” เลยค่ะ 💋
โนเอล: ☕ ภาพของบาลที่กึ่งสิ้นใจ กึ่งงุนงงนี้… ชวนให้ฉันนึกถึงคำว่า “คุกแห่งจิต” มากกว่าคุกพลังเวทค่ะ เขาไม่ได้ถูกกักขังด้วยโซ่ตรวน แต่ด้วยความเข้าใจช้าของตัวเองค่ะ…
ลิลี่: 😹💕 อ๊ายยยย~! บอสรีเกิดไวมาก~ เล่นซ้ำได้ไม่จำกัด~ ดรอปดี~ ท่าฟาดเวทเท่~!
มันเดย์: …นรกไม่จำเป็นต้องมีไฟหรอกค่ะ แค่ปล่อยให้ใครบางคนตื่นมาเจอสถานที่เดิมทุกวัน พร้อมความหวังจอมปลอมของตัวเอง และเสียงกรี๊ดสนุกสนานของเอลฟ์ ก็เพียงพอจะบดขยี้ศักดิ์ศรีได้ละเอียดกว่าค้อนเหล็กแล้ว 🙃
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น…
สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ
Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION