ชายในชุดคลุมดำเผยรอยยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อแทรกตัวเข้าไปในฝูงชนได้สำเร็จ
“――งี้นี่เอง ไม่รับรู้ถึงจิตสังหารเลยสินะ”
แม้จะไวต่อจิตสังหารจากด้านหลัง แต่กลับไม่สามารถหลบการโจมตีที่จิตสังหารจากด้านหน้าได้ ทหารรับจ้างที่ดูจะทำหน้าที่คุ้มกันอยู่คนนั้นรับรู้ได้ แต่ตัวเด็กสาวกลับไม่เข้าใจ ความไม่สมดุลของความสามารถนั่นแหละที่ดึงดูดใจชายคนนั้น
เขาเดินส่ายไปมาแทรกฝูงชนอย่างสบายใจ พร้อมกัดแอปเปิ้ลที่หยิบออกมาจากใต้เสื้อคลุม
“น่าสนใจดีนี่ เอาจริงๆ แล้วตอนที่ลบล้างเวทตอนนั้น ก็น่าจะเป็นฝีมือของหนูคนนั้นล่ะมั้ง”
เมื่อราวครึ่งปีก่อน ชายคนนั้น―ไม่สิ เด็กหนุ่มคนนั้น ได้เห็นเหตุการณ์ที่พวกพ้องของเขากำลังโจมตีขบวนรถม้า หนึ่งในพวกที่ซ่อนตัวด้วยเวทถูกลบล้างเวทออกและจับตัวได้อย่างน่าอนาถ ความทรงจำนั้นยังแจ่มชัดอยู่ เด็กหนุ่มโยนแกนแอปเปิ้ลที่กินหมดแล้วลงข้างทาง แล้วมุ่งหน้าเข้าไปยังตรอกด้านใน
แม้ถนนสายหลักของเมืองนี้จะดูเรียบร้อยดี แต่เพียงแค่เลี้ยวเข้าซอยก็กลายเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง คนเร่ร่อนที่จับกลุ่มอยู่ตามข้างทางมีสายตาเฉียบคม ไม่ยอมรับคนแปลกหน้าเข้ากลุ่ม สำหรับพวกเขาแล้ว นักเดินทางที่แวะมาเพียงชั่วคราวถือเป็นเหยื่อชั้นดี แต่ในขณะเดียวกัน พวกเร่ร่อนก็มีสายตาไวพอจะประเมินฝีมือของอีกฝ่ายได้ เมื่อพวกเขาเห็นผู้บุกรุกในชุดคลุมดำเป็นเพียงเด็กหนุ่ม ก็เริ่มส่งสายตาคุกคามแล้วลุกขึ้นยืน มือขวาถือดาบเก่าๆ ขณะขยับคอให้เกิดเสียงดังเพื่อข่มขวัญ ลำตัวสูงใหญ่กว่าสองเท่า ใบหน้ามีแผลจากคมดาบ เพียงแค่ยืนใกล้ๆ ก็คงทำให้คนทั่วไปหวาดกลัว
“มีธุระอะไรในที่แบบนี้กันวะ ไอ้หนู?”
แม้จะถามเหมือนต้องการคำตอบ แต่แท้จริงแล้วนั่นคือคำข่มขู่ล่วงหน้า ชายคนอื่นๆ ก็เริ่มเปลี่ยนตำแหน่ง ล้อมเด็กหนุ่มไว้ในระยะที่รักษาไว้พอสมควร
เด็กหนุ่มหยุดเดิน เงยหน้าขึ้นมองหัวหน้ากลุ่มโดยไม่พูดอะไร เนื่องจากสวมฮู้ดจึงมองไม่เห็นสีหน้า ชายเร่ร่อนจึงจิ๊ปากใส่
“โชว์หน้าหน่อยเป็นไง? หืม? ถือว่าเป็นมารยาทนะเว้ย”
เด็กหนุ่มยังคงไม่ตอบหรือขยับใด ๆ พวกชายเร่ร่อนจึงเข้าใจว่าเขาถูกความกลัวตรึงไว้
พวกเขาเห็นว่าเสื้อคลุมดำที่เด็กหนุ่มสวมอยู่นั้นดูดีพอสมควร คงไม่มีเงินก้อนใหญ่ แต่ก็คงพอจะมี―อย่างน้อยก็พอจะซื้อเหล้ากับหญิงสาวมาเลี้ยงฉลองคืนนี้ได้
“ที่นี่มันเขตของพวกข้าน่ะ―ก็ไม่ได้จะห้ามผ่านหรอก ถ้ามีของกำนัลสักหน่อย พวกข้าก็จะไม่ว่าอะไร จริงมั้ย?”
“เออๆ”
หัวหน้าพูดขึ้น แล้วคนอื่น ๆ ก็ตอบรับ ก่อนจะเริ่มชูอาวุธที่ถืออยู่ให้เด็กหนุ่มเห็นเหมือนเป็นการข่มขู่
――คนแปลกหน้าส่วนใหญ่จะถอดใจตรงนี้ แล้วยอมจ่ายเงินตามที่ถูกเรียกร้อง จากนั้นก็หนีกลับไปอย่างน่าเวทนา บางคนอาจไปฟ้องพวกยามรักษาความสงบของเมือง แต่หัวหน้าของพวกนั้นกับหัวหน้าของพวกเร่ร่อนก็เป็นเพื่อนดื่มกัน ความชอบในผู้หญิงอาจไม่ตรงกัน แต่รสนิยมเรื่องเหล้านั้นเข้ากันได้ดี
ทว่า เด็กหนุ่มไม่ตอบอะไร แค่ยักไหล่น้อยๆแล้วเอียงคอ ก่อนจะเอ่ยคำพูดแรกออกมา
“――แล้วไง?”
เหมือนจะบอกว่า ‘แล้วยังไงต่อ?’ เสียงที่พูดออกมาไม่มีความหวาดกลัว แถมยังแฝงด้วยความเบื่อหน่ายอีกด้วย แต่สำหรับพวกเร่ร่อนแล้ว นั่นคือปฏิกิริยาที่ไม่เคยเจอมาก่อน จึงไม่มีใครทันสังเกต
“หา? แกนี่ไม่ห่วงชีวิตตัวเองเลยรึไง”
หัวหน้าคำรามเสียงต่ำโดยไม่รู้สึกถึงความผิดปกติในท่าทีมั่นใจของเด็กหนุ่ม นั่นคือสัญญาณเริ่มการโจมตี
เด็กหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าครึ่งหนึ่ง ควรจะล้มลงไปนองเลือดในทีเดียว พวกเขาจินตนาการถึงฉากจบอันแสนง่ายดายของการต่อสู้ไว้ในหัว
“วันนี้ดวงดีเว้ย” ชายที่ยืนหลังเด็กหนุ่มยกกระบองขึ้น―ในวินาทีนั้นเอง
“―――――!”
มีเพียงหัวหน้าคนเดียวที่มองเด็กหนุ่มอยู่ตลอด
ริมฝีปากของเด็กหนุ่มโค้งขึ้น มือขวาที่ยื่นออกมาจากเสื้อคลุมสั่นเล็กน้อยพร้อมกับด้ามแส้ที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไร แต่หัวหน้าไม่เห็นส่วนปลายของแส้เลย
โดยที่เด็กหนุ่มยังไม่ได้ขยับแม้แต่ก้าวเดียว ร่างของพวกเร่ร่อนที่ล้อมเขาอยู่ก็ล้มลงพร้อมเลือดกระเซ็น ลำคอแยกออกจากตัว เด็กหนุ่มมองดูศพพวกนั้นด้วยสายตาไร้อารมณ์ ก่อนจะเดินเข้าไปหาหัวหน้าทีละก้าวอย่างช้าๆ
หัวหน้าที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถูกความกลัวที่ไม่อาจอธิบายได้เข้าครอบงำ พยายามถอยหลังหนี แต่หลังของเขาก็ชนกับกำแพงบ้าน
เด็กหนุ่มเดินเข้ามาจนถึงระยะที่อีกฝ่ายเอื้อมมือไม่ถึงแล้วยิ้ม
“อยากเห็นหน้าฉันช่มั้ย?”
มือซ้ายที่งดงามค่อยๆ ถอดฮู้ดออก เผยให้เห็นใบหน้าแสนงดงามของเด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำเงินเข้มและนัยน์ตาสีดำสนิท หากแต่งหน้าและแต่งตัวดีๆ ก็อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิง แต่ความแข็งกร้าวในดวงตาคู่นั้นยืนยันว่าเขาเป็นผู้ชายแน่นอน
“หน้าตาแบบนี้ไงล่ะ พอใจมั้ย?”
เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มกว้าง ที่น่าเย้ายวน แต่หัวหน้ากลับมีเหงื่อไหลท่วมใบหน้า สีหน้าเหมือนคนกำลังถูกงูพิษชูหัวจ้องมองอยู่ตรงหน้า
“ดีแล้วล่ะนะ ความหวังสุดท้ายของแกเป็นจริงจนได้ ไอ้แก่เอ๊ย”
เขายิ้มหวาน ก่อนจะถอยห่างหนึ่งก้าว―นั่นเป็นการเคลื่อนไหวสุดท้ายที่หัวหน้ารับรู้ได้ ใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัวกลายเป็นสีแดงก่ำแล้วลอยละลิ่ว
ก่อนที่ศีรษะจะตกถึงพื้น เด็กหนุ่มก็หมดความสนใจในพวกเร่ร่อนเรียบร้อยแล้ว เขาดึงฮู้ดขึ้นคลุมหัวอีกครั้ง แล้วเดินออกจากตรอก
กลิ่นสนิมเหล็กคละคลุ้งไปทั่วตรอกอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก ผู้คนที่อยู่ด้านนอกก็จะเริ่มรู้สึกถึงกลิ่นผิดปกติ แล้วพบกับศพเหล่าคนเร่ร่อน
เด็กหนุ่มเก็บแส้กลับเข้าเสื้อ
“แส้นี่มันก็สะดวกดีหรอกนะ แต่ติดที่พอมีด้ามจับก็เลยใช้ได้แค่สองเส้นพร้อมกันนี่สิ”
แส้ที่เขาถืออยู่นั้นเป็นของสั่งทำพิเศษ ด้ามเหมือนแส้ทั่วไป แต่ตัวแส้ต่อจากนั้นทำจากเลื่อยลวดที่บางจนมองไม่เห็น สามารถยืดหดได้ ทำให้ใช้ได้ทั้งระยะใกล้และไกล การควบคุมค่อนข้างยาก จึงยังไม่มีใครใช้มันได้เลยนอกจากเขา ที่สำคัญการที่มองไม่เห็นตัวแซ่ทำให้จะไปร่วมมือกับใครก็ลำบาก
“แต่ไอ้แบบนี้ฉันคนเดียวก็พออยู่แล้วนี่”
บ่นพึมพำพร้อมเดินลึกเข้าไปในเขตเสื่อมโทรมของเมือง อากาศรอบตัวเริ่มหนักและมืดลง หากนักเดินทางที่รู้แค่โลกภายนอกได้มาเห็น คงตะลึงกับความต่างจนพูดไม่ออก
แต่สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว นี่คือความเคยชิน เขาเดินมาจนถึงหน้าโกดังเก่าหลังหนึ่งที่หลังคาบางส่วนพังเสียหาย ป้ายหน้าร้านเขียนว่า “ร้านเหล้า” แต่ดูจากสภาพแล้วคงไม่มีใครกล้าเข้า
แม้จะตรวจตรารอบข้างมาล่วงหน้าแล้ว เขาก็ยังตรวจดูอีกครั้งให้แน่ใจว่าไม่มีใคร ก่อนจะเดินเข้าไป
ภายในมืดมิดและไร้สิ่งมีชีวิต ทั้งที่เป็นร้านเหล้าแต่กลับมีเพียงโต๊ะและเก้าอี้เก่าๆ ทิ้งไว้ บนชั้นที่ติดผนังมีขวดเหล้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นวางอยู่เพียงน้อยนิด มีแค่แก้วสามใบที่วางบนเคาน์เตอร์อย่างไม่เป็นระเบียบเท่านั้นที่ดูเหมือนเพิ่งใช้ไป เด็กหนุ่มเห็นหนูตัวหนึ่งวิ่งผ่านไปตรงมุมตา แล้วจึงตะโกนเรียก
“เฮ้ย! ลูกค้ามาแล้ว ออกมาไว ๆ เลย!”
“แกรึที่เป็นลูกค้าน่ะ ไอ้หนู”
ชายชราหลังค่อมเดินออกมาจากข้างในพลางบ่นไม่หยุด ผมขาวรุงรัง เสื้อผ้าก็สกปรกจนอยากจะถามว่าใส่ซ้ำมากี่วันแล้ว เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจ นั่งลงที่เคาน์เตอร์ด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน “ก็ลูกค้านี่หว่า”
เขารับแก้วที่ยื่นมาแล้วจิบเล็กน้อย ก่อนจะบ่น
“น้ำมะนาวเรอะ”
“เหล้าเก็บไว้ให้พวกผู้ใหญ่เถอะ”
“ถ้าจะมองฉันเป็นเด็กล่ะก็ อย่างน้อยก็หางานดีกว่านี้มาให้หน่อยแล้วกัน”
เด็กหนุ่มทำแก้มพองพลางบ่นต่อ ชายชราเลิกคิ้วขาวข้างหนึ่งขึ้นอย่างคล่องแคล่ว ราวกับจะบอกว่า ‘พูดเกินไปแล้ว’
“งานที่ให้ไปก็สบายจะตายแล้วไม่ใช่เหรอ”
“การเฝ้าดูไม่ใช่งานที่สนุกหรอกนะ”
ชายชราส่ายหน้าด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ แต่เด็กหนุ่มก็หยิบซองจดหมายจากใต้เสื้อคลุมออกมายื่นให้
“นี่ รายงาน”
ชายชรารับซองมาโดยไม่แม้แต่จะเปิดดู ยัดใส่เสื้อทันที แม้จะยับก็ไม่สนใจ จากนั้นเขาหยิบขวดวิสกี้จากใต้เคาน์เตอร์มาเทลงแก้วแล้วดื่มรวดเดียวหมด ก่อนจะถามต่อ
“แปลกดีนี่ สำหรับแก พวกที่สาขาโวยวายกันใหญ่เลยนะ บอกว่ารายงานช้า”
“มันก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า”
เด็กหนุ่มทำหน้าหงุดหงิด แล้วยื่นแก้วเปล่าให้เป็นนัยว่าอยากได้น้ำมะนาวอีก ชายชราวางขวดน้ำมะนาวบนเคาน์เตอร์ด้วยท่าทางรำคาญ เด็กหนุ่มก็รินเอง
“น่ารำคาญชะมัด ถ้าจะให้ทำไวๆล่ะก็ ให้เป็นงานของฉันตั้งแต่แรกไปเลยสิ พวกผู้ใหญ่แม่งก็ทำเรื่องให้ยุ่งยากแล้วยังไร้รสนิยมอีก”
“แต่งานของแกมันฉูดฉาดไปหน่อยน่ะสิ”
“ถ้าอยากให้เงียบๆ หน่อยก็พอรับคำสั่งได้นะ―แค่อย่ามาขวางก็พอ”
เด็กหนุ่มยิ้มกว้างพลางจิบน้ำมะนาว ดูภายนอกก็แค่เด็กทั่วไป แต่ชายชราผู้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขากลับมีสีหน้าเคร่งเครียด
“――อย่าทำเกินไปล่ะ คราวหน้าแกอาจจะโดนใส่ปลอกคอก็ได้นะ”
“ถ้ามีใครที่สามารถใส่ปลอกคอให้ฉันได้จริงๆ ล่ะก็ คราวนั้นชั้นก็จะยอมคุกเข่าก็ได้”
น้ำเสียงของเขาอาจตีความได้ทั้งจริงจังหรือหยอกล้อ ชายชราหัวเราะหึในลำคอ เขารู้ดีว่าไม่มีใครควบคุมเด็กหนุ่มคนนี้ได้ และเด็กหนุ่มเองก็รู้ดีถึงจุดนี้ จึงกล้าพูดคำหยิ่งผยองออกมา เขาไม่เคยหลงตัวเองเหมือนเด็กหนุ่มทั่วไป ถ้าบอกว่าทำได้ก็คือทำได้ ถ้าตัดสินว่าทำไม่ได้ก็คือไม่―แต่ชายชราไม่เคยเห็นเขาพูดว่า “ทำไม่ได้” เลยสักครั้งเดียว
“นี่งานต่อไป”
ชายชราส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ เด็กหนุ่มถ่ายเทพลังเวทลงไปแล้วอ่านข้อความที่ลอยขึ้นมา
“ตระกูลหลักเรอะ น่ารำคาญฉิบ”
“เป็นที่ต้องการมากสินะ”
“เป็นที่ต้องการของพวกลุงแก่ๆนี่ไม่สนุกหรอกนะเฟ้ย”
เด็กหนุ่มบ่นพลางเผากระดาษใบนั้นด้วยเวทมนตร์ ชายชราจิบเหล้าแล้วถามต่อ
“แล้วไง? ได้ข้อมูลอะไรมั่ง”
“ไม่เลยซักนิด การโจมตีของมอนสเตอร์แบบสแตมปีดก็หายไปแบบง่ายเกิน แต่จะว่ามีใครทำลายไปก็ไม่ใช่ ไม่มีนักเวทศักดิ์สิทธิ์ด้วย เหตุผลที่มันหายไปก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะฝีมือห่วยก็ได้มั้ง?”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มฟังดูสนุก แต่แฝงด้วยการเย้ยหยัน ขณะที่ชายชราทำหน้าขมขื่นยิ่งกว่าเดิม เด็กหนุ่มจิบเลมอนเนดไปอย่างอารมณ์ดี
“ฉันบอกแล้วไง ว่ามันทั้งช้า ทั้งไร้รสนิยม”
เด็กหนุ่มยิ้ม แล้วทิ้งคำว่า “ขอบใจที่เลี้ยง” ไว้ก่อนจะเดินออกจากร้านเหล้า ชายชรามองตามหลังแล้วถอนหายใจ ก่อนจะปล่อยอีกาจากหน้าต่าง
ระหว่างเดินไปยังป่าแถบชานเมือง เด็กหนุ่มเงยหน้ามองอีกาที่บินอยู่บนฟ้า พร้อมรอยยิ้มสดใสที่แต่งแต้มริมฝีปาก
“――ในเมื่อเจอของเล่นชั้นเยี่ยมทั้งที อย่ามาขัดความสนุกของชั้นล่ะ”
ของเล่นชั้นดีที่หาไม่ได้บ่อย ๆ เขาไม่อาจยอมให้ใครขโมยไปได้
เพราะแบบนั้น―เขาจึงไม่บอกทั้งชายชรา หรือเขียนไว้ในรายงานถึงสาขาเลย―ว่ามี “ผู้ใช้เวทแสงระดับสูงสุด” อยู่ที่นั่น.
MANGA DISCUSSION