ฉันคิดว่านี่คือทางตันอย่างแท้จริง และเตรียมใจไว้แล้วว่านี่คือจุดจบของชีวิต
สิ่งรอบตัวคือภาพนรกโดยแท้ ถึงจะเคยคิดว่าเคยเห็นนรกมาแล้ว แต่มันเทียบกันไม่ได้เลย
“ที่สุดท้าย…ต้องเห็นหน้าแกเป็นครั้งสุดท้ายเนี่ยนะ…ช่างน่าขยะแขยงจริงๆ”
“…พูดบ้าอะไรของแก”
ออลก้าบ่นออกมาอย่างหอบเหนื่อย ส่วนกิลด์ก็ตอบกลับด้วยความเกลียดชัง แต่ทั้งคู่แทบจะพูดไม่ออก รอบตัวพวกเขามีซากมอนสเตอร์เกือบสองร้อยตัวกองกันเป็นภูเขา ถึงแม้จะมีเลือดไหลจากร่างจนเจ็บปวดแสนสาหัส ถ้าไม่มีหมอกพิษ พวกเขาก็ยังพอจะสู้ต่อได้ ทว่าหมอกพิษที่ปกคลุมเมืองได้กัดกร่อนทั้งพละกำลังและจิตใจของพวกเขาอย่างหนัก
―ถ้าจะต้องตายละก็ อย่างน้อย…
ขอให้ลากมอนสเตอร์ไปด้วยสักตัวสองตัวก็ยังดี ทั้งสองกัดฟันแน่น ตั้งใจไว้ในใจ แล้วในวินาทีนั้นเอง――
―แสงวาบเจิดจ้าแทบทำให้ตาบอดก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
“อะ…ไรนะ!?”
กิลด์ถึงกับพูดไม่ออก พวกเขาเคยเห็นแสงนั้นแค่ครั้งเดียว ครั้งนั้นมีนักเวทศักดิ์สิทธิ์สามคนอยู่ใกล้ๆ พวกเขา ใช้เวทแสงระดับสูงสุดทำให้มอนสเตอร์ที่ยังมีชีวิตหายไป ถึงแม้ซากศพของมอนสเตอร์จะสามารถชำระล้างได้ด้วยคำสวดของนักบวชหรือเวทของนักเวททั่วไป หรืออย่างแย่ก็แค่จุดไฟเผาก็พอ แต่ทำให้มอนสเตอร์ที่ยังมีชีวิตอยู่หายไปนั่นเป็นไปไม่ได้สำหรับคนทั่วไป พวกเขาเพิ่งเคยเห็นพลังเวทมหาศาลแบบนั้นเป็นครั้งแรก และในบริเวณนี้ไม่น่าจะมีนักเวทศักดิ์สิทธิ์อยู่
【―กี๊ยยย!!】
เสียงกรีดร้องสุดท้ายของมอนสเตอร์ที่ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์แผดเผาดังระงม เป็นเสียงบาดลึกถึงอวัยวะภายในที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนขนลุก มอนสเตอร์บางตัวที่หลบแสงมาได้ยังคำรามอย่างดุร้าย จ้องเขม็งไปยังทิศทางหนึ่งและแยกเขี้ยวใส่ บางตัวปล่อยน้ำลายที่ละลายทุกสิ่งที่สัมผัส บางตัวพ่นไฟสีม่วงดำที่มีกลิ่นกำมะถัน และบางตัวก็พ่นหมอกแห่งความตายที่ทำให้ทุกอย่างสลาย
ออลก้ารีบสร้างเขตแดนน้ำแข็งล้อมรอบตัวเองกับกิลด์อย่างเฉียบพลัน เปลวไฟสีดำม่วงเปลี่ยนทิศทางก่อนจะถึงตัวทั้งคู่
แสงอ่อนลงเพียงชั่วครู่ มอนสเตอร์พุ่งออกไปยังจุดที่พวกมันอยู่ไว้ทันที พื้นดินที่ถูกทำลายจนราบแบนก็ยกตัวสูงขึ้น มอนสเตอร์ที่เสียจังหวะถูกเหยียบซ้ำ โดยมอนสเตอร์ประหลาดที่ปรากฏขึ้นพร้อมคำรามที่เยือกเย็นถึงกระดูก
“―มันเรียกพวกมาช่วยอีกแล้วเรอะ―!”
กิลด์ตะโกน จากที่ไหนสักแห่ง มอนสเตอร์จำนวนมากก็เพิ่มขึ้น หมอกพิษลอยฟุ้งขึ้นไปบนฟ้าราวกับพายุและก่อเป็นวงกลม มอนสเตอร์ตัวใหม่ที่ปรากฏออกมาจากศูนย์กลางนั้นมีร่างกายที่ใหญ่กว่าเดิมมาก เส้นเลือดสีม่วงหม่นที่ดูเหมือนจะเต้นตุบๆ พันรอบร่างอย่างชั่วร้าย
―แสง…ดับลง
มอนสเตอร์ตัวนั้นเหมือนจะยิ้ม มองดูคล้ายว่ามันกำลังยิ้มเยาะ กิลด์กับออลก้าเหงื่อเย็นไหลอาบแก้ม ความกดดันที่รู้สึกได้ทางผิวหนังรุนแรงยิ่งกว่ามอนสเตอร์ทุกตัวที่เคยเผชิญ
ช่องว่างที่เปิดอยู่ใจกลางหมอกพิษปิดลง มอนสเตอร์จะไม่เพิ่มขึ้นอีกแล้ว ทว่า…แสงที่ใช้ชำระล้างพวกมันก็ไม่มีอีกแล้ว ความสิ้นหวังที่เคยสัมผัสหลายต่อหลายครั้งนับแต่เริ่มการจู่โจมของมอนสเตอร์ กลับถูกบดขยี้อีกด้วยการดับลงของความหวัง ความสิ้นหวังเมื่อหวังเพียงเล็กน้อยถูกทำลายนั้น…ยากจะบรรยาย
มันจบแล้ว…อย่างน้อยขอให้ได้เห็นหน้าศัตรูที่จะฆ่าชีวิตของตนเป็นครั้งสุดท้ายก็ยังดี ทั้งสองจ้องเขม็งไปยังเบื้องหน้า――
――แล้ว…ในวินาทีนั้นเอง
พื้นดินที่ถูกทำลายรอบตัวมอนสเตอร์ก็พุ่งสูงขึ้นเป็นรูปคล้ายหม้อ มอนสเตอร์เสียการทรงตัวแล้วไถลลงไปยังกลางหลุม ออลก้าลืมตาค้างกับเวทมนตร์ที่ทรงพลังและแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ พื้นดินที่พุ่งขึ้นก็ถล่มลงทันที กลายเป็นพื้นราบอีกครั้ง
แต่พวกมอนสเตอร์ไม่สามารถขยับได้ ดินใต้เท้าพวกมันดูเหมือนจะยึดติดขาของพวกมันไว้แน่น พวกมันดิ้นพล่านแต่ลุกขึ้นไม่ได้ มอนสเตอร์ที่บินได้ก็บินออกไปไม่ได้และกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
จากนั้น…แสงที่หายไปก่อนหน้านี้ก็กลับมาอีกครั้ง ล้อมรอบมอนสเตอร์ที่ขยับตัวไม่ได้ พร้อมปล่อยแสงที่รุนแรงยิ่งขึ้น วิสัยทัศน์ถูกย้อมเป็นสีขาว กิลด์กับออลก้ารีบยกแขนขึ้นบังตา ถึงจะหลับตาไปแล้วแต่ในหัวก็ยังเห็นเป็นสีขาว
ทั้งสองกลั้นหายใจพยายามมองหาเบาะแสว่าเกิดอะไรขึ้น และเมื่อแสงจางลงจนเริ่มมองเห็นได้อีกครั้ง ออลก้าก็กลืนน้ำลายเฮือก
“มอนสเตอร์…หายไปหมดเลย…?”
รอบตัวทั้งคู่หลงเหลือเพียงศพของผู้คนที่ถูกมอนสเตอร์ฉีกทึ้ง เศษซากสิ่งปลูกสร้าง และพื้นหินที่ถูกรื้อทำลาย กับทะเลเลือดเท่านั้น มอนสเตอร์ทั้งหมด――ไม่ว่าจะเป็นตัวที่เคลื่อนไหวอยู่หรือศพที่นอนกลิ้ง――ก็หายไปหมดสิ้น
ทั้งสองไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย พลังที่เพิ่งได้เห็นนี้แม้แต่นักเวทศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเห็นมาก่อนยังเทียบไม่ได้ ไม่ใช่แค่เวทแสง แต่เวทที่ใช้กำจัดมอนสเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพก็ร้ายกาจเกินขอบเขตปกติไปมาก
“ทำไม…”
“เฮ้ ดูนั่นสิ”
กิลด์เรียกออลก้าให้ดูบางสิ่ง เมื่อหันไปตาม เขาก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน เด็กสาวสวมเสื้อผ้าคุณภาพดีแม้จะเรียบง่าย ผมสีเงินนุ่มสลวยของเธอเปื้อนเลือดและสยายอยู่บนพื้น เธอล้มอยู่ในกองซากปรักหักพัง
ออลก้าฝืนร่างกายที่เจ็บปวดเข้าไปหาเธอ กิลด์ตามมาช้าไปก้าวหนึ่ง
“เธอตายแล้วรึเปล่า?”
“ดูไม่มีบาดแผลนะ…” กิลด์พึมพำ
ออลก้าเอามือแตะคอเพื่อตรวจชีพจร แล้วส่ายหน้า
“ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่แค่หลับธรรมดา แต่คงสลบไปมากกว่า”
“จริงดิ แล้วเด็กคนนี้โผล่มาจากไหนเนี่ย?”
“ไม่รู้สิ อย่างน้อยตอนที่แสงสว่างปรากฏก่อนหน้านี้ก็ยังไม่เห็นเธอแน่นอน”
ทั้งสองสบตากันโดยไม่พูดอะไร นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกันในงานก่อนหน้า ถึงจะไม่ค่อยเข้ากันแต่ก็เชื่อมั่นในฝีมือของกันและกัน และยิ่งกว่านั้น ตอนนี้คือสถานการณ์ฉุกเฉิน
“ปล่อยไว้ไม่ได้แน่”
“―งั้นพาไปโบสถ์ก่อนเถอะ”
“นั่นล่ะทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด”
ออลก้าพยักหน้าแล้วบอกเสียงเรียบ “นายอุ้มเธอซ่ะ”
กิลด์ขมวดคิ้วนิดหน่อยแต่ไม่เถียง อุ้มเด็กสาวขึ้นในอ้อมแขน ถึงจะโซเซเล็กน้อยแต่เพราะหมอกพิษจางลง ทำให้ร่างกายรู้สึกเบากว่าก่อนหน้านี้
ทั้งสองเดินผ่านถนนที่เต็มไปด้วยเลือดและซากปรักหักพัง มุ่งหน้าไปยังโบสถ์ที่ตั้งอยู่กลางเมือง
*****
เด็กหนุ่มปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในป่า แล้วนั่งแทะแอปเปิ้ลอย่างสบายอารมณ์ ดวงตาสีดำสนิทของเขาส่องแสงระยิบระยับดั่งดวงดาว จ้องมองไปยังที่แห่งหนึ่งที่ไม่ใช่ที่นี่ แม้ในป่าที่เต็มไปด้วยหมอกพิษ เขาก็ไม่ได้แสดงอาการป่วยหรืออ่อนแอเลยแม้แต่น้อย
“ดูจากสภาพแบบนี้แล้ว…จะจบเร็วจนน่าเบื่อเลยล่ะมั้ง?”
แต่เด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ลงมือ เขาได้รับคำสั่งให้เฝ้าดูทุกอย่างจนจบเท่านั้น
“ให้ตายสิ คนพวกนั้นนี่มันใช้แรงงานกันโหดชะมัด ถ้าจะฆ่าก็ฆ่าให้มันจบๆไปซะสิ ยังจะมาทำอะไรอ้อมค้อมอีก ความคิดของพวกหัวสูงนี่เข้าใจยากจริงๆ”
เขาขว้างแกนแอปเปิ้ลที่กินหมดแล้วทิ้งไป มอนสเตอร์รูปร่างนกส่งเสียงกระพือปีกแล้วแย่งกันจิกกินแกนแอปเปิ้ลนั้น หากเป็นคนทั่วไปคงรู้สึกขนลุกกับบรรยากาศชวนสยองเช่นนี้ แต่เด็กหนุ่มกลับนั่งมองสถานการณ์ของเมืองอย่างสงบนิ่ง
เมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อน เมืองนี้ยังคงมีความสงบสุข แต่เมื่อมอนสเตอร์จำนวนมหาศาลบุกเข้ามา ทุกอย่างก็พังพินาศในพริบตา เมืองนี้ไม่มีอัศวินฝีมือดีที่ได้รับการฝึกมาอย่างเข้มงวด ไม่มีนักเวทผู้เชี่ยวชาญด้านการปราบมอนสเตอร์ จึงล่มสลายอย่างง่ายดาย
ม้าถูกหมอกพิษทำให้คลุ้มคลั่งและไม่สามารถใช้งานได้ สุดท้ายก็ถูกมอนสเตอร์ฉีกกระชากจนตาย
มนุษย์ไม่มีทางหนีจากมอนสเตอร์ด้วยขาสองข้างได้
แม้จะมีผู้ที่ใช้เวทย้ายมิติได้ ก็สามารถพาคนหนีไปได้เพียงไม่กี่คน และจำนวนคนที่ใช้เวทประเภทนั้นได้ก็มีน้อยมาก
จะถือดาบต่อสู้ก็ไม่ไหว เพราะจำนวนของมอนสเตอร์มันมากเกินไป
“งานแบบนี้มันช่างไร้รสนิยมจริงๆ ไม่มีศิลปะเอาซ่ะเลย”
สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว งานครั้งนี้ขัดกับความงามตามแนวทางของเขาโดยสิ้นเชิง การใช้พลังท่วมท้นกวาดล้างไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบ การใช้ไหวพริบเล็กน้อยบดขยี้ศัตรูต่างหากที่ให้ความรู้สึกสนุก แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์จะเลือกมากนัก
เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย แต่ในวินาทีถัดมาก็ต้องเบิกตากว้าง
“หือ?”
“อะไรน่ะ…?”
เขาพึมพำ ขณะนั้นสายตาของเขาถูกย้อมด้วยสีขาวเพียงชั่วขณะ และเมื่อตามองเห็นอีกครั้ง มอนสเตอร์ก็หายไปหมดแล้ว หมอกพิษที่ลอยอบอวลอยู่ในป่าก็เบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด
“มีนักเวทศักดิ์สิทธิ์อยู่รึไง?―ไม่สิ ไม่มีทาง เพราะพวกนั้นบอกว่ารอช่วงที่ไม่มีนักเวทศักดิ์สิทธิ์แน่นอน พวกนั้นไม่ใช่พวกโง่ที่พลาดง่ายๆ หรอก”
เขาไม่ลังเลเลยในการปฏิเสธความเป็นไปได้นี้ เด็กหนุ่มรู้เรื่องนั้นดี
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า…ในเมืองตอนนี้มีตัวแปรที่พวกเขาไม่ได้คาดการณ์เอาไว้
แต่ก่อนและหลังที่แสงถูกปล่อยออกมา ก็ไม่มีเงาของใครแปลกปลอมให้เห็นเลย มีเพียงผู้คนที่หลบหนี มอนสเตอร์ที่ไล่ตาม และเหยื่อที่กลายเป็นก้อนเนื้อภายในเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น
ทว่า…เวทที่ปกติแล้วใช้ได้แค่กับนักเวทศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกใช้ออกมา และมอนสเตอร์ก็หายไป จากนั้น…ฟากฝั่งตรงข้ามของเมืองก็เกิดปรากฏการณ์เดียวกัน
“เฮ้ยๆ…เอาจริงดิ”
เด็กหนุ่มถึงกับยิ้มค้าง เขาเปลี่ยนมุมมองของตนเองเพื่อตรวจสอบสถานการณ์อีกครั้ง ที่บริเวณที่มีแสงสว่างพุ่งออกมา มอนสเตอร์หายไปทั้งหมด ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือเป็นซากศพก็ไม่มีแม้แต่เศษชิ้นเนื้อ เลือดที่ไหลนองอยู่บนพื้นก็เป็นของมนุษย์เท่านั้น
เขาเปลี่ยนมุมมองไปยังจุดอื่น
บางที่ยังมีซากมอนสเตอร์หลงเหลืออยู่ แต่อยู่ไกลจากบริเวณที่แสงสว่างถูกปล่อยออกมา ดูเหมือนพลังชำระล้างจะไปไม่ถึงตรงนั้น
“ใครกันแน่เนี่ย…ที่ทำแบบนี้?”
ในสถานการณ์แบบนี้ เขาจำเป็นต้องตามหาต้นตอของเรื่องนี้ให้ได้ แม้จะระบุไม่ได้ชัดเจนแต่ก็ต้องมีข้อมูลบ้าง มิฉะนั้นเขาเองก็จะถูกตีตราว่าล้มเหลว
เขาเปลี่ยนมุมมองไปยังจุดที่เกิดแสงรอบสอง เห็นร่างคนสามคนอยู่ที่นั่น
ทหารรับจ้างที่สะบักสะบอมสองคน และเด็กสาวที่หมดสติหนึ่งคน―แล้วเด็กหนุ่มก็ยิ้มขึ้นที่มุมปาก
MANGA DISCUSSION