– โอโตเมะ อามายะ –
ผ่านพ้นไปด้วยดีสำหรับสนามรบแรกของการเป็นนักเรียนชั้นปี 2
สำหรับฉันแล้วสนามรบคราวนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คาดการณ์ไว้ บรรดาอาจารย์หน้าใหม่ไม่ได้ออกข้อสอบแปลกแหวกแนวหรือพิสดารจนการเก็งข้อสอบเกิดความผิดพลาด
แม้จะไม่ถูกทั้งหมด แต่มั่นใจมากว่าตัวเองทำได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ
ไม่ใช่แค่ฉัน แต่เพื่อนๆ คนอื่นก็เช่นกัน พวกเรานั่งคคุยกันถึงเรื่องนี้แต่เช้าเนื่องจากวันนี้เป็นวันที่จะมีการประกาศผลสอบ
“ตื่นเต้นดีเนาะ ถ้าครั้งนี้ฉันสอบได้ 50 ลำดับแรกอีก แม่บอกจะขึ้นเงินค่าขนมให้แหละ”
เมกุมิผู้ที่ปกติแล้วมักจะมีลำดับต่ำที่สุดในกลุ่มเอ่ยขึ้นด้วยความหวังอันล้นปรี่ว่าคราวนี้ตัวเองต้องได้ค่าขนมเพิ่มขึ้นแน่ๆ ท่าทางตั้งความหวังนั้นดูน่ารักน่าชังซะจนพวกเราที่เหลืออดยิ้มตามไม่ได้
“แต่ฉันกังวลอยู่หน่อยๆ นะคะ ครั้งนี้เซริจังไม่ได้มาติวให้เหมือนครั้งก่อน ถึงจะอ่านเองได้เข้าใจแต่ก็รู้สึกไม่มั่นใจยังไงไม่รู้”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันไม่ได้ไปพวกเธอก็ติวกันเองได้ ใช่ว่าฉันจะเป็นคนสอนพวกเธอทุกครั้งเสียเมื่อไหร่ล่ะ”
เซริปลอบอาโอะจังที่ทำหน้ากังวลต่างจากเมกุมิเป็นคนละขั้ว มองดูแล้วให้ความรู้สึกว่าตรงหน้าฉันมีโลกอยู่สองใบ
“อามายะเองก็ไม่มีปัญหาใช่มั้ย?”
ปลอบใจอาโอะจังเสร็จแล้วยังมีอารมณ์มาห่วงฉันต่อ เซริ… เธอเนี่ยแม่พระชัดๆ
“คิดว่าไม่พลาดนะ ว่าแต่เธอเถอะ ได้มีเวลาอ่านหนังสือบ้างหรือเปล่า”
ฉันถามเซริกลับไปบ้าง เพราะรู้ว่าเพื่อนรักของตัวเองวุ่นวายอยู่กับการทำงานพิเศษ
เซริ : “อ่านเท่าที่อ่านได้ ยังไงก็ไม่ติดตัวแดงหรอก”
อามายะ : “แต่เธอต้องรักษาอันดับนะ”
เซริ : “ฉันก็พยายามเต็มที่นั่นแหละ ผลไม่น่าจะออกมาแย่นักหรอก”
อามายะ : “งั้นเหรอ…”
เซริ : “ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ห่วงพ่อหนุ่มของเธอเถอะ วันนี้ได้คุยกันยัง?”
อามายะ : “จะให้เข้าไปคุยตอนไหน แค่หมอนั่นมาถึงก็โดนล้อมเหมือนทุกที ไม่มีจังหวะให้คุยกันที่โรงเรียนเลย”
เซริ : “แล้วที่บ้านล่ะ?”
อามายะ : “โทรคุยกันแล้ว เขาบอกว่าทำได้ แต่ไม่รู้ได้ขนาดไหน”
เซริ : “ไม่ได้มาติวด้วยกันหรอกเหรอ?”
อามายะ : “เปล่า เขาติดติวให้อันนะจังน่ะ”
เมกุมิ : “เห… แบบนี้อันตรายนะเนี่ย”
อามายะ : “อันตรายอะไร?”
เมกุมิ : “ไม่ใช่ว่าเขาเห็นคุณมานามิสำคัญกว่าเธอหรอกเหรอแบบนี้”
อามายะ : “ก็พวกเราเลื่อนวันนัดกันเองนิ แล้วทางนั้นนัดวันไว้ก่อนแล้วด้วย ถ้าเอาตามกำหนดการเดิมเขาก็มาได้แหละ”
อาโอะ : “แต่อาคิยามะเนี่ยเรียนเก่งมากจริงๆ เหรอคะ? อามายะจังบอกว่าเขาติวให้พวกอันนะจังได้เนี่ย”
อามายะ : “รุ่นพี่คาวากุจิบอกว่าอยู่ระดับเดียวกับรุ่นพี่เลยแหละ อันนะจังกับเพื่อนเธออีกสามคนที่สอบเข้าที่นี่ได้ก็ได้อาคิยามะช่วยติวให้น่ะ”
เมกุมิ : “เห… เสียดายเลยนะเนี่ยที่หมอนี่ไม่ได้มาติวด้วยกันน่ะ”
เซริ : “เธอพูดแบบนี้แล้วชักอยากรู้แล้วซิว่าเจ้าหมอนของเธอจะไปได้สูงขนาดไหน”
อาโอะ : “เจ้าหมอน?”
เมกุมิ : “อะไรน่ะ?! อะไร?”
เซริ : “ก็ชื่อเล่… อุฟ..”
อามายะ : “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”
บอกไปแบบนั้นแท้ๆ แต่สุดท้ายก็โดนเมกุมิกับอาโอะจังทรมานจนต้องยอมคายออกมาจนได้
ความสงสัยว่าเจ้าหมอนจะขึ้นไปได้ถึงจุดไหนก็เป็นอันต้องพับเก็บไว้ก่อน เพราะสรุปสุดท้ายกลายเป็นว่าเย็นนี้ฉันจะต้องไปหาอะไรแพงๆ สักร้อยสองร้อยเยนมาเลี้ยงเพื่อนๆ เพื่อไถ่โทษที่แอบปิดบังเรื่องชวนจิ้นเอาไว้
แต่หลักๆ เลยคือตั้งใจไปฉลองหลังสอบเสร็จ เพราะหลังจากนี้น่าจะมีโอกาสรวมตัวกันน้อยเนื่องจากงานสภาของฉันที่เยอะขึ้น รวมถึงเซริที่เห็นว่าเริ่มงานพิเศษใหม่อีกอย่างแล้ว
—
คาบเรียนเช้ายังคงผ่านไปอย่างเชื่องช้าและหนักหน่วง นี่แค่ผ่านไปสามคาบเท่านั้น ยังเหลือคาบสุดท้ายอยู่อีก แต่ฉันรู้สึกเหมือนแบตเตอรี่ของตัวเองกำลังจะหมดลง
หลายๆ คนในห้องก็ดูจะไม่ต่างกัน ทุกครั้งที่พักเปลี่ยนคาบสั้นๆ จะมีคนลุกออกไปห้องน้ำบ้าง ยืดเส้นเหยียดสาย ไม่ก็ลุกเดินไปเดินมาเพื่อผ่อนคลายร่างกาย
เนื่องด้วยเทอมนี้มีวิชาเลือกเยอะขึ้น บรรดาวิชาหลักจึงได้มากระจุกรวมกันเพื่อเปิดทางให้วิชาเลือกเหล่านั้น และฉันเองก็ชอบวิชาเลือกพวกนั้นมากกว่าวิชาเรียนหลักซะอีก
ในระหว่างที่กำลังดีใจที่พรุ่งนี้จะได้เรียนวิชาคหกรรมพร้อมกับเตรียมตัวสำหรับวิชาต่อไปไปด้วย ความวุ่นวายในห้องก็ค่อยๆ บังเกิด
มันเริ่มมาจากตรงไหนฉันไม่ทันได้สังเกต ตอนที่รู้ตัวนั้นเสียงกระซิบกระซาบในห้องก็เริ่มดังจนได้ยินชัดเจนแล้วว่าใครคือคนที่ถูกกล่าวถึง
ฉันเงยหน้ามองกลุ่มเพื่อนร่วมห้องเหล่านั้นก่อนจะหันไปมองยังตำแหน่งด้านหลังอันเป็นโต๊ะของบุคคลที่กำลังถูกนินทาซึ่งหน้าแล้วก็พบว่าเขานั่งหันหลังให้ฉันอยู่ที่โต๊ะของโฮตานิ กำลังคุยอยู่กับโฮตานิ โดยมีคนสี่ห้าคนยืนอยู่รอบๆ
เขาไม่เห็นว่าฉันหันไปมอง คงจะเป็นโฮตานิกระมังที่บอก อาคิยามะหันมายิ้มให้กันเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปพูดคุยกับกลุ่มคนที่รุมล้อมเขาอยู่
เหงาเหรอ…
จะเรียกความรู้สึกนี้ว่าเหงาได้หรือเปล่าแม้แต่ตัวเองก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก
[‘นายเริ่มแล้วเหรอ?’]
รู้อยู่ก่อนแล้วว่าอาคิยามะตั้งใจจะทำอะไร รู้อยู่แล้วว่าทำไมเขาถึงทำ ถึงกระนั้นมันก็ราวกับว่าตัวตนของฉันกำลังค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ ค่อยๆ หมดความสำคัญ หมดความจำเป็น กลายเป็นมีหรือไม่มีก็ได้
[‘เพราะงี้ใช่มั้ย คืนนั้นนายเลยมาถามฉันก่อน… ฉันอยากสนับสนุนนาย แต่แบบนี้มัน…’]
เงาหลังของอาคิยามะถูกบดบังโดยร่างของเด็กผู้หญิงคนใหม่ที่เดินเข้าไปร่วมวงสนทนา
เสียงพูดคุยหยอกล้อ เสียงหัวเราะเฮฮา เสียงชื่นชมยินดี ดังแว่วมาเป็นระยะจากกลุ่มสนทนานั้น
ทั้งที่ฉันควรจะรู้สึกดีใจ แต่ทำไมฉันกลับรู้สึกแย่แบบนี้นะ…
—
– อาคิยามะ เออิชิ –
[‘เมื่อเช้ายังดีๆ อยู่เลย’]
เสียงโอดครวญในใจที่ไม่มีใครได้ยินของผมดังขึ้นเป็นรอบที่ห้าหรือหกแล้วในเวลาแค่ประมาณ 1 ชั่วโมง
รอบๆ ตัวผมเต็มไปด้วยเพื่อนร่วมห้องที่มารุมล้อมจนแม้แต่โซเฮย์ที่นัดกันว่าพักกลางวันแล้วเราจะหนีตามกันไปยังเข้ามาไม่ได้
ผมหันซ้าย หันขวา พลางปั้นหน้ายิ้มรับทุกคนที่เข้ามาคุย คำพูดยกย่อง ชมเชย แสดงความยินดี และอีกมากมาย ทำให้ผมทำได้แค่ยิ้มรับและขอบคุณ
[‘อยากไปกินข้าวแล้วเว้ย’]
พยายามหาโอกาสอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีจังหวะดีๆ ให้พูดแทรกขึ้นมาได้เลย ทำเอาผมสงสัยว่าเพื่อนร่วมห้องเหล่านี้เป็นระบบชาร์จไฟหรืออย่างไร ไม่ไปกินข้าวกินปลากันมั่งเหรอ
คิดอยู่ว่าจะขอความช่วยเหลือจากโซเฮย์ที่อยู่นอกวง แต่พอมองไปกลับเห็นเพื่อนนั่งหน้าละห้อยตัวหดเหลือสามนิ้วอีกแล้ว
[‘แบบนี้ช่วยตัวเองยังไม่รอด งั้นเปลี่ยนเป้าหมาย’]
สอดส่ายสายตาหาช่องระหว่างบุคคลเพื่อดูว่าโอโตเมะอยู่ตรงไหน เป็นไปได้ก็อยากจะขอความช่วยเหลือจากท่านรองประธานสักหน่อย ไหนๆ เมื่อคืนก่อนเธอก็บอกแล้วว่าตัวเองมีอำนาจ แค่สลายการชุมนุมแค่นี้ไม่น่ามีปัญหา…
…ไม่มีซะที่ไหนเล่า
แม่สาวรองประธานนั่งทำหน้าเหวอมองมาทางผมอยู่ ในขณะเดียวกัน ท่านประธานนักเรียนก็เอ่ยขอทางก่อนจะเดินแหวกฝูงชนเข้ามา ใบหน้าได้รูปที่พูดได้คำเดียวว่างดงามนั้นมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่
รอยยิ้มโปรยปรายให้แก่ฝูงชนที่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วจึงส่งต่อมาให้ผมโดยตรง เป็นรอยยิ้มที่บอกเลยว่าถ้าเป็นชายแท้ทั้งแท่ง ร้อยทั้งร้อยมีเหม่อมองกันบ้าง
[‘ดีนะที่มีภูมิต้านทานแล้ว’]
ถึงการได้รับภูมิต้านทานมานั้นจะมีประสบการณ์ที่ไม่น่าพิสมัยปะปนอยู่ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มีความสุขดี เพราะงั้นผมในตอนนี้ที่มองทุกอย่างในฐานะเรื่องราวชีวิตที่ผ่านพ้นไปแล้วจึงยิ้มตอบเธอกลับไป
ในฐานะเพื่อนร่วมงาน…
“ดีใจด้วยนะ ทำไงก็สู้เธอไม่ได้จริงๆ น่าเจ็บใจชะมัด”
เป็นเพียงแค่ประโยคทักทายแสดงความยินดีกันธรรมดา แต่พอมีคนที่สวยระดับดารามาพูดพร้อมกับมีแอคชั่นท่าทางประกอบ มันก็ทำให้คนที่เห็นพลอยมองกันตาค้าง ส่วนผมทำได้แค่ยิ้มต่อไปแล้วขอบคุณเธอ
“อ่ออ… จริงซิ ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอน่ะ มาด้วยกันหน่อยซิ”
[‘เรื่องอยากคุย?’]
นึกไม่ออกว่าทาเคโนะอุจิอยากจะคุยอะไรกับผม ครั้นจะชะโงกหน้าไปถามทางโอโตเมะก็คิดว่าท่าทางแบบนั้นของตัวเองคงดูแปลกๆ ประจวบเหมาะกับเหลือบไปทางโซเฮย์แล้วสมองก็ปิ๊ง…
[‘นี่มันช่องทางในการหลบเลี่ยงฝูงชนที่รุมล้อมตัวเองอยู่นี่นา’]
“เอาซิ ไปกันเลยมั้ย?”
ไม่รอช้าผมตอบรับคำเชิญของทาเคโนะอุจิทันที
“อื้ออ… ขอโทษน้าทุกคน ฉันขอยืมตัวเอสหน่อยนะ…”
ผมไม่ได้สนใจนักหรอกว่าทาเคโนะอุจิบอกคนอื่นว่ายังไง อาศัยจังหวะนั้นลุกแล้วหันไปเรียกโซเฮย์ให้ออกไปพร้อมกัน
เราสามคนพากันเดินออกทางประตูหลังห้องโดยมีเป้าหมายดั้งเดิมของผมและโซเฮย์เป็นหลังอาคารเรียนที่ไม่มีค่อยมีคน แต่ก่อนหน้านั้นต้องไปหาเสบียงที่โรงอาหารก่อน
กำลังคิดว่าจะหันไปถามโซเฮย์ที่เดินอยู่ข้างหลังว่าเที่ยงนี้จะกินขนมปังไส้อะไรดี ทาเคโนะอุจิดันเหมือนจะรู้เลยหันกลับไปพูดกับโซเฮย์ก่อน
แล้วโซเฮย์ก็เดินแยกตัวไปโรงอาหารคนเดียว ปล่อยให้ผมและทาเคโนะอุจิเดินทางล่วงหน้าไปก่อน
ลางสังหรณ์บอกผมว่าเรื่องราวหลังจากนี้อาจจะไม่ค่อยดีสักเท่าไรนัก อันที่จริงก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะดีตั้งแต่ที่ทาเคโนะอุจิพูดกับโซเฮย์แล้ว
– “ขอคุยกับเอสตามลำพังสักครู่ได้มั้ยคะ?” –
เป็นเสียงที่ใสเพราะฟังรื่นหู แต่กลับสื่ออารมณ์ออกชัดเจนว่าไม่ยอมให้ปฏิเสธ
โซเฮย์ที่มีภูมิต้านทานน้อยกับเรื่องแบบนี้ถูกกดดันอ้อมด้วยรอยยิ้มจนดูเหมือนจะตัวสั่นนิดๆ
แต่เขาก็ยังเป็นคนที่อ่านสถานการณ์ได้ดีพอ หลังการสื่อสารกันทางสายตาระหว่างลูกผู้ชาย โซเฮย์ตัดสินใจไปซื้อขนมปังที่โรงอาหารให้ก่อน จากนั้นค่อยตามไปสมทบกันที่ฐานทัพ
– “ค่อยๆ เดิน ไม่ต้องรีบนะคะ” –
– “นี่เธอแกล้งเขาใช่มั้ยเนี่ย?” –
– “ฟุๆๆ เธอคิดมากไปแล้วนะเอส” –
MANGA DISCUSSION