– อาคิยามะ เออิชิ –
12.10 น.
ผมหลับไปนานกว่าสองชั่วโมงทำให้ตอนที่ตื่นขึ้นมารู้สึกมึนและหนักหัวมาก
ผมนอนนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเริ่มเช็กสภาพการทำงานของร่างกายอย่างคร่าวๆ
[‘โปร่งโล่งจนเกือบเป็นปกติแล้ว’]
รู้สึกดีจนคิดว่าตัวเองน่าจะลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นได้แล้วแต่ถ้าทำแบบนั้นผมอาจจะหูชาได้อีก ดังนั้นสิ่งที่ผมทำจริงๆ จึงเป็นแค่การลุกขึ้นมานั่ง หยิบปรอทมาเสียบรักแร้เพื่อวัดไข้ ระหว่างที่รอก็เก็บที่หลับที่นอนให้มันดูเรียบร้อย
ตี๊ดด… ตี๊ดด…ตี๊ดด…
ตัวเลขที่แสดงบนหน้าจอแอลอีดีคือ 37.1 แบบนี้ถือว่ายังมีไข้อ่อนๆ
“ไข้แค่นี้ขยับร่างกายสักหน่อยก็หายแล้ว”
ผมพาร่างกายที่เมื่อยขบเพราะนอนมากเกินไปของตัวเองลงมาข้างล่างโดยมีความตั้งใจเดิมคืออยากจะอาบน้ำเพราะทั้งตัวมีแต่เหงื่อ แต่ความกระหายน้ำพาให้ผมแวะเข้าครัวเพื่อหาน้ำดื่มซะก่อน
[‘อ้าว อยู่นี่เอง’]
อันนะที่ผมคิดว่ากลับไปแล้วกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ เธอตัวเล็กมากจนสิ่งที่โผล่มาจากโซฟาคือส่วนหัวแค่นิดเดียว
ผมร้องทักเธอและขอบคุณเธออีกครั้งที่ช่วยดูแลผมมาตั้งแต่เช้า คิดจะชวนเธอกินข้าวหลังอาบน้ำเสร็จสักหน่อย แต่…
“เธออยู่นี่ แล้วใครนั่งอยู่นั่น…”
ในครัว เด็กสาวตัวเล็กนั่งทำอะไรสักอย่างอยู่หน้าตู้เย็น ข้างๆ เธอเป็นเหยือกน้ำใบใหญ่ เธอมองมาที่ผมแล้วจึงหยิบเหยือกนั้นลุกขึ้นยืน นั่นแหละผมถึงได้สติแล้วหันกลับไปมองที่โซฟา ตรงที่ผมเห็นคนที่คิดว่าเป็นอันนะนั่งอยู่
ตรงนั้นก็มีเด็กสาวยืนอยู่
เธอสวมเสื้อยืดสีขาวกับกระโปรงยาวลายตารางหมากรุกโทนน้ำตาลอ่อน ผมของเธอสั้นประมาณบ่า และมีดวงตาที่กระจ่างใสแม้จะมองจากที่ไกลๆ ตรงนี้
[‘ได้ไงเนี่ย’]
เคยคิดไว้เล่นๆ ว่าถ้าป่วยก็อยากจะให้โอโตเมะมาคอยดูแล อยากมีอีเวนท์เฝ้าไข้แบบคู่พระนางในนิยายหรือมังงะหลายๆ เรื่อง แต่ใครจะคิดว่ามันจะเกิดขึ้นในชีวิตจริงแบบนี้ล่ะ
ผมยืนบื้อจนกระทั่งโอโตเมะเป็นฝ่ายทักทายขึ้นมาก่อน หลังจากทักทายตอบแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ต่างฝ่ายเลยต่างเงียบ
“อ่ะพี่ หิวน้ำไม่ใช่เหรอ?”
“อ๊ะ ขอบคุณนะ”
ผมรับน้ำที่อันนะส่งมาพลางคิดในใจว่าเธอรู้ได้ยังไงว่าผมอยากดื่มน้ำ
“งั้นฉันกลับเลยนะ”
อันนะวางเหยือกน้ำแล้วเดินตรงไปหยิบเสื้อตัวนอกที่วางพาดไว้ตรงโซฟา เธอหันกลับมาบอกผมในขณะที่สวมเสื้อตัวนั้นไปด้วย
“เอ๊ะ จะกลับแล้วเหรอ?”
“อืออ… ฉันมีนัดกับพวกยูมิตอนบ่ายน่ะ”
“ไม่เห็นบอกกันก่อนเลย”
“ก็กะว่าจะรอให้พี่ตื่นก่อนนั่นแหละ”
“เอ่ออ… งั้นฉันก็กลับด้วยเลยดีกว่า มารบกวนนานแล้วด้วย”
โอโตเมะที่ยืนอยู่ตรงนั้นเอ่ยขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปจะหยิบเสื้อคลุมของตัวเองขึ้นมา แต่เธอโดนอันนะขัดไว้ก่อน
“รุ่นพี่อยู่ก่อนเถอะ ยังไงก็มาเยี่ยมพี่ชายนินา”
“แต่…”
“ถ้าไม่มีธุระก็อยากให้อยู่ต่อสักหน่อย เอาแค่จนกว่าท่านแม่จะกลับมาก็พอ เพราะถ้าปล่อยพี่ชายไว้คนเดียวเดี๋ยวได้ทำอะไรแปลกๆ จนไข้กลับขึ้นมาอีก”
“นี่เธอเห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย”
ผมบ่นอันนะแบบไม่จริงจังอะไรแล้วจึงดื่มน้ำในแก้วให้หมด อันนะเองก็ไม่ได้สนใจคำบ่นของผมแต่อย่างใด เธอหันกลับไปคุยกับโอโตเมะต่อ
“นี่เที่ยงแล้ว เดี๋ยวท่านแม่ก็กลับ รบกวนรุ่นพี่ถึงตอนนั้นก็พอ”
โอโตเมะมีท่าทีอึกอักเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดปฏิเสธ อันนะจึงยิ้มให้เธอเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องนั่งเล่น เห็นดังนั้นผมจึงเดินตามไปส่งเธอ
“ขอบคุณนะอันนะ”
“เรื่องอะไรคะ?”
“ก็… ทุกเรื่องเลย”
อันนะมองผมแล้วถอนหายใจเล็กน้อย ท่าทางเหมือนพี่สาวที่กำลังเหนื่อยใจเพราะน้องชายที่ไม่ได้เรื่อง
“ฉันทำเพราะอยากทำแหละ เพราะงั้นพี่ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก”
“แบบนั้นมันยิ่งต้องขอบคุณมั้ย ไหนจะเรื่องโอโตเมะอีก”
“บอกแล้วไงคะว่าฉันทำเพราะอยากทำเอง ถ้าฉันไม่อยากทำต่อให้เป็นคำขอของพี่ฉันก็ไม่ทำหรอก”
“ฉันรู้”
“แต่ถ้าเธอยังทำพี่เสียใจอีก คราวนี้ฉันอาจจะเกลียดเธอจริงๆ ก็ได้นะ”
ผมขยี้หัวอันนะเบาๆ ทำให้เธอมองผมตาขวาง บ่นพึมพำเบาๆ ว่าทำอะไรของพี่เนี่ย
“ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะ”
“ถ้าจะขอโทษก็ทำหน้าให้มันสำนึกผิดหน่อยสิคะ ยิ้มหน้าบานแบบนั้นใครเขาจะไปเชื่อ”
“งั้นเหรอ คราวหน้าจะระวังนะ”
“เฮ้ออ… ถ้ารู้ตัวว่าจะมีคราวหน้าก็สู้ระวังอย่าทำอะไรให้น้องสาวลำบากดีกว่านะคะ”
“คร้าบบบ…”
—
– โอโตเมะ อามายะ –
“ตกใจอะไรขนาดนั้น…”
อาคิยามะหัวเราะที่ฉันสะดุ้งลุกขึ้นมายืนอีกครั้งตอนที่เขาเดินกลับเข้ามาในห้อง
“ไม่ต้องเกร็งหรอก ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน ทำตัวตามสบายเถอะ”
[‘เกร็งเพราะไม่มีใครอยู่นี่แหละ’]
อาคิยามะไม่ได้สนใจความในใจของฉันแล้วเดินเข้าครัวไปดื่มน้ำ เขากระดกอึกๆๆ สองอึดใจก็หมดแก้ว
“เธอกินข้าวเที่ยงหรือยัง?”
“อ๊ะ? ยัง”
“กินข้าวด้วยกันมั้ย อืมม… แต่มีแค่ข้าวต้มนะ”
อาคิยามะเงยหน้าจากตู้เย็นหันมาบอกว่าวัตถุดิบมีแค่นั้น แล้วก็หันไปค้นๆ ในตู้เย็นต่อ
“เอ่ออ… ไม่เป็นไรหรอก ฉันเกรงใจน่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ฉันจะทำกินเองอยู่แล้ว”
[‘ข้าวเที่ยงฝีมือเขาเหรอ? ไม่ได้กินนานแล้วแฮะ’]
ฉันมองอาคิยามะที่ยังคงค้นตู้เย็นอยู่พลางจินตนาการถึงอาหารที่เขาเคยทำให้กิน ครั้งนั้นเป็นอาหารไทยที่เขาภาคภูมิใจซะเหลือเกินว่าอร่อยกว่าร้านที่เราเคยไปกินด้วยกัน
…และมันก็อร่อยจริงๆ
“งั้นรอแปบนะ ขอฉันไปอาบน้ำก่อน เหงื่อออกจนเหนียวเหนอะหนะไปหมด”
[‘อาบน้ำ?’]
ความสงสัยดึงความสนใจของฉันจากการปฏิเสธข้าวกลางวันให้หันไปที่การอาบน้ำของอาคิยามะแทน
“นายอาบน้ำได้แล้วเหรอ? ไม่ใช่ว่ายังมีไข้?”
“อาบได้ ไม่มีปัญหาหรอก”
ว่าแบบนี้แล้วก็ทำท่าเบ่งกล้ามโชว์
[‘แบบนี้หรือเปล่านะไอ้เรื่องแปลกๆ ที่อันนะจังว่า’]
“แต่เสียงนายยังแหบอยู่เลยนะ เพิ่งฟื้นไข้อย่าเพิ่งอวดเก่ง แค่เช็ดตัวก็พอแล้วล่ะมั้ง”
“มันเช็ดได้ไม่ทั่วตัวนิ หรือเธอจะเช็ดให้ฉัน?”
[‘เอ๊ะ? เช็ดตัวเหรอ? ต้องถอดเสื้อผ้าสิ? เอ๋…?’]
“กะ… ก็… ไม่เป็นไรนิ ฉะ… ก็… ไม่ได้รังเกียจหรอก”
[‘เอ๋…? อะไร? นี่ฉันเพิ่งพูดอะไรไปเนี่ย?’]
อายจนเกินกว่าจะมองหน้าอาคิยามะได้ตรงๆ เลยต้องก้มหน้ามองพื้นแทน อาคิยามะก็คงตกใจเพราะไม่เห็นเขาพูดอะไรเลย
[‘แบบนี้เขาจะรังเกียจคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงลามกหรือเปล่าเนี่ย?’]
แอบเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย เห็นเขายืนอยู่ มือนึงเท้าเอว อีกมือปิดหน้า ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“อาาา… แบบนั้นอาจจะไม่ดีเท่าไร ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นผู้ชายที่มีความอดทนสูงขนาดนั้น”
[‘เอ๊ะ? อาคิยามะมีความอดทนต่ำ? เรื่อง… แบบนั้น… อ๊าาา…><’]
รู้สึกเลยว่ายิ่งคิดยิ่งร้อน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปตัวฉันคงมีควันลอยขึ้นมาแน่ๆ
“ไปๆๆ นายไปอาบน้ำเลย เดี๋ยวฉันทำข้าวต้มเอง แล้วก็ไม่ต้องรีบกลับมานะ เอาสักสิบ ไม่…ยี่สิบนาทีเลยแล้วค่อยเข้ามา”
“อะ… อ่ออ…”
“เข้าใจแล้วก็ออกไปได้แล้วย่ะ”
ฉันไล่เจ้าของบ้านออกไปจากห้องนั่งเล่นแล้วตัวเองก็นั่งเอามือกุมหน้าเพราะอับอายจากความบ้าและจินตนาการของตัวเอง ดีนะที่อาคิยามะไม่ได้พูดอะไรออกมา ไม่งั้นฉันอาจจะอายจนพยายามหารูแถวๆ นี้เพื่อมุดลงไปก็ได้
หลังการปรับลมหายใจอยู่ครู่หนึ่งฉันก็ฟื้นตัวขึ้นมาพอให้สามารถขยับตัวได้อีกครั้ง
คิดได้ว่าเมื่อกี้ตอนที่ไล่อาคิยามะออกไปตัวเองเป็นคนบอกว่าจะทำข้าวต้มให้เขา งั้นตอนนี้ก็คงต้องทำตามที่พูด
แต่อนิจจา ทันทีที่เดินมาถึงครัวก็เพิ่งคิดได้ว่านี่ไม่ใช่ครัวที่บ้านของตัวเอง ข้าวของเครื่องใช้แม้จะคล้ายๆ แต่ตำแหน่งการวางไม่มีอะไรเหมือน ฉันยืนอึ้งเหม่อมองครัวที่ไม่คุ้นเคยอยู่พักหนึ่งแล้วจึงทำสิ่งแรกที่ควรทำเมื่อเข้าครัวนั่นก็คือสวมผ้ากันเปื้อน
จากนั้นก็เปิดตู้เย็นดูว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง เห็นอาคิยามะก้มๆ เงยๆ ดูแล้วบอกว่าทำได้แค่ข้าวต้ม แต่พอเปิดมาจริงๆ มันมีวัตถุดิบเยอะกว่านั้นมาก
กำลังสงสัยอยู่ว่าอาคิยามะแค่อยากกินข้าวต้มหรือเปล่า หรือว่าเขายังกินอย่างอื่นไม่ไหว ก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในห้อง
[‘ตาบ้าเอ้ย นี่ยังไม่ถึง 10 นาทีเลยนะ’]
คิดจะหันไปบ่นอาคิยามะ แต่กลายเป็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับเป็นผู้หญิง
‘ระบบกำลังประมวลผล กรุณารอสักครู่’
หญิงวัยกลางคนที่เข้ามาในห้องมีสีหน้าตกใจแล้วก็เปลี่ยนไปเป็นประหลาด จากนั้นรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าเธอ
‘ประมวลผลเสร็จสิ้น’
ชื่อหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว พร้อมกันนั้นตัวตนของหญิงวัยกลางคนร่างท้วมคนนี้ก็ปรากฏขึ้นมา
นาคาจิมะ ฮิโยริ แม่ของคุณนาคาจิมะ และตอนนี้ก็เป็นแม่บุญธรรมของอาคิยามะด้วย
หนึ่งในเจ้าของบ้านตัวจริงเสียงจริงกลับมาแล้ว
“เอ่ออ… สวัสดีค่ะ ขอโทษที่มารบกวนนะคะ”
ฉันก้มหัวทักทายเธอที่เดินเข้ามาหาฉันซึ่งยังยืนอยู่ในครัว
“หนูอามายะจังใช่มั้ยจ๊ะ?”
“อ่าาา… ค่ะ โอโตเมะ อามายะค่ะ ขอโทษที่ถือวิสาสะเข้ามาใช้ครัวนะคะคุณนาคาจิมะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ อ่อ เรียกฉันว่าฮิโยริก็ได้นะอามายะจัง”
“เอ่ออ… ค่ะ คุณฮิโยริ”
“ว่าแต่ทำอะไรอยู่เหรอ?”
“กำลังจะทำข้าวต้มค่ะ อาคิยามะบอกว่าจะกิน…”
“ตายจริง เจ้าเด็กนี่ให้แขกที่มาเยี่ยมมาทำข้าวกลางวันให้กินได้ยังไง…”
“อ๊ะ… เปล่าค่ะ หนูอาสาทำเอง”
“งั้นเหรอจ๊ะ ขอบคุณมากเลยนะที่มาช่วยดูแลเขา เด็กคนนี้บางทีก็ดื้อแปลกๆ ฉันเองก็เพิ่งรู้นิสัยนี้ตอนที่เขาป่วยนี่แหละ”
คุณฮิโยริทำท่าทางถอนหายใจพร้อมกับบ่นอาคิยามะไปด้วย ท่าทางแบบนั้นเหมือนกับแม่ตอนที่บ่นฉันให้เพื่อนๆ ของแม่ฟังเลย คือบ่นนะแต่ก็ยิ้มไปด้วย
ฉันมองเธอแล้วก็ยิ้มตาม คุณฮิโยริก็ไม่ได้ว่าอะไร เธอบ่นอาคิยามะให้ฉันฟังอีกเล็กน้อยจากนั้นก็ช่วยฉันทำข้าวต้มให้ลูกชายบุญธรรม แต่แล้วจู่ๆ เธอก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้ซื้อของทำข้าวเย็น งั้นป้าฝากอามายะจังดูเออิชิหน่อยนะ เดี๋ยวป้าไปซื้อของแปบนึง”
แล้วเธอก็เดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งฉันที่สงสัยว่าของในตู้เย็นนี่ไม่พอทำอาหารเย็นหรอกหรือไง
“สงสัยบ้านนี้จะกินกันเยอะน่าดู”
MANGA DISCUSSION