– อาคิยามะ เออิชิ –
ทุกท่านเคยเป็นมั้ยครับ… บางครั้งเวลาที่เราต้องเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ไม่คาดฝันแล้วทำอะไรไม่ถูก เราจะเผลอทำตัวให้เล็กเข้าไว้เพื่อให้ปัญหามันมองไม่เห็นเรา แล้วพอปัญหามันมองผ่านเราไป เราอาจจะผ่านสถานการณ์นั้นไปได้โดยไร้รอยขีดข่วน อะไรแบบนั้น
คือที่เกริ่นมานั่นมันคือตัวอย่างครับ เป็นทฤษฎีที่จำไม่ได้แล้วว่าไปอ่านมาจากเว็บบล็อกไหน
จำได้ว่าเจ้าของบล็อกเขียนไว้อย่างมั่นอกมั่นใจครับว่าชีวิตจริงเราจะเจอเหตุไม่คาดฝันกันได้ตลอดเวลา แต่เหตุไม่คาดฝันที่ถึงขั้นทำให้เราตัวลีบได้น่ะไม่ค่อยเจอนักหรอก ดังนั้นถ้าคุณเผลอไปเจอสถานการณ์แบบนั้น แค่ทำตัวลีบๆ เล็กๆ หลบเลี่ยงสถานการณ์นั้นไปก็พอ
แล้วถ้าคุณหลบเลี่ยงไปไม่ได้ล่ะ?
ผมล่ะอยากจะเข้าไปพิมพ์ถามเจ้าของบล็อกนั้นมันซะตอนนี้เลยว่าคุณมีวิธีอะไรดีๆ มั้ย หากต้องอยู่เผชิญเหตุไม่คาดฝันชนิดที่หนีออกมาไม่ได้ อย่างเช่นการต้องเดินกลับบ้านโดยมีแฟนเก่าขนาบขวา และผู้หญิงที่เล็งว่าอยากได้เป็นแฟนใหม่ขนาบซ้าย สำคัญทั้งสองยังเป็นเพื่อนกันอีก
เป็นสถานการณ์ที่ผมรู้สึกว่าน่าอึดอัดและทำอะไรไม่ถูกแบบสุดๆ
ครั้นจะชวนทั้งสองคุยก็ไม่รู้จะคุยอะไร ไม่รู้ด้วยว่าทั้งสองรู้ความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายกับตัวผมมั้ย
เหล่มองไปทางขวาก็พบทาเคโนะอุจิที่เดินอยู่ริมถนนกำลังเหล่มองผมอยู่ก่อนแล้ว แถมยังเดินใกล้ผมมากจนศอกจะชนกันอยู่แล้ว ไม่รู้ว่ากลัวรถหรือมีจุดประสงค์อะไร
พอหันไปทางซ้าย โอโตเมะที่เดินติดกำแพงกลับทำหน้านิ่งๆ ไม่ได้เอ่ยหรือพูดอะไรนับจากเดินออกมาจากประตูโรงเรียน สีหน้าทางท่าดูเหมือนจะผ่อนคลายแต่ผมกลับรู้สึกได้ว่าเธอตึงมึนใส่ผมอยู่
[‘นี่มันอะไรกันเนี่ยยย…’]
ผมร้องตะโกนอยู่ในใจพลางเดินกอดกระเป๋าไว้แนบอก ทุกท่านเคยมั้ยครับ เดินกอดกระเป๋าตัวเองจนถึงบ้านน่ะ…
—
“เอ่ออ… เข้ามารอข้างในก่อนมั้ย?”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมพาผู้หญิงเข้าบ้าน ก่อนหน้านี้ก็เคยพาหลายคนเข้ามา หรือที่เคยเข้ามาพร้อมกันหลายคนกว่านี้ก็เคย แต่บอกตามตรงเลยว่าไม่เคยมีครั้งไหนหนักใจเท่าครั้งนี้
ผมลังเลเล็กน้อยตอนที่หันไปถามสองสาวที่เดินตามมาส่งผม รู้สึกราวกับว่ากระเป๋าในอ้อมแขนได้กลายร่างเป็นขอนไม้กลางมหาสมุทรใหญ่ให้ผมได้ยึดเกาะลอยคอไปเสียแล้ว
ทาเคโนะอุจิยิ้มกลับมาแทนคำตอบก่อนจะหันไปทางโอโตเมะเหมือนให้เธอเป็นคนตัดสินใจ ผมจึงย้ายสายตาตามไปที่โอโตเมะด้วย
“งั้นขอรบกวนหน่อยนะ”
ผมพาทั้งสองไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่น โอโตเมะเคยมาแล้วเลยรู้ที่รู้ทาง ต่างจากทาเคโนะอุจิที่ไม่เคย… เข้ามา
ผมบอกให้พวกเธอจัดการดูแลตัวเองกันตามสบาย จากนั้นจึงแยกตัวไปเก็บข้าวเก็บของที่จำเป็น
แต่ความกังวลถึงบุคคลทั้งสองข้างล่างกลับทำให้ความเร็วในการเก็บของของผมลดลง หยิบโน่นผิด ใส่นี่ไม่ถูก จากที่ควรจะใช้เวลาไม่นานก็เสร็จกลายเป็นว่าผมเสียเวลาเก็บของอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง
เป็นครึ่งชั่วโมงที่จิตใจจดจ่ออยู่กับห้องนั่งเล่นมากกว่ากระเป๋าสัมภาระ ดังนั้นหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วผมจึงรีบลงมาข้างล่าง โดยหวังว่าทุกอย่างคงจะยังปกติดี ไม่ได้มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นมาอีก
ในตอนที่เดินลงบันไดมา เสียงหัวเราะเบาๆ ดังลอดออกมาจากห้องนั่งเล่นที่เปิดประตูไว้ ผสมกันไปกับเสียงพูดคุยเบาๆ ที่ฟังไม่ได้ศัพท์
ภาพที่เห็นเมื่อโผล่หน้าเข้าไปมองตามเสียงก็คือเด็กสาวในชุดนักเรียนสองคนกำลังนั่งพูดคุยกันบนโซฟา พวกเธอหันหลังให้ผม และหันหน้าเข้าหากัน
คนซ้ายปล่อยผมยาวสีดำเงางามราวแพรพรรณชั้นเลิศให้ไหลพาดไปบนไหล่หลังและบางส่วนของโซฟา มีกิ๊บเล็กๆ สองอันติดไว้บนศีรษะ ใบหน้าขาวสะอาดได้รูป ดวงตากลมโตหรี่ลงและโค้งเล็กน้อยรับกับรอยยิ้มที่แม้จะเห็นเพียงด้านข้างก็เพียงพอที่จะดึงดูดสายตาไม่ให้ละไปทางอื่น
คนขวามีผมยาวประบ่า เส้นผมถูกทัดไว้หลังใบหูและติดกิ๊บรูปหมีตัวเล็กๆ เอาไว้ เธอมีโครงร่างที่ใหญ่กว่าคนทางซ้ายแต่ก็เป็นร่างกายที่ได้สัดส่วน โครงหน้าด้านข้างของเธอก็ใหญ่กว่าเช่นกัน แทนที่จะเรียวเล็กได้รูป มันกลับดูเรียวแต่ไม่บางมาก มองเห็นได้ชัดว่าแก้มของเธอนั้นดูนุ่มนิ่มน่าสัมผัสขนาดไหน เธอกำลังพูดอะไรสักอย่างที่ทำให้คนทางซ้ายยิ้มในขณะที่ตัวเองก็ยิ้มตามไปด้วย
เป็นภาพที่มองแล้วชวนให้เพลิดเพลินตา จะบอกว่าให้นั่งมองทั้งวันก็น่าจะได้
[‘คู่ควรกับคำว่าภาพของสาวงามโดยแท้’]
ภาพชวนฝันนั้นคงอยู่เพียงชั่วครู่ราวกับว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นเป็นเพียงภาพมายา
คนแรกที่หันมาเห็นผมคือโอโตเมะ จากนั้นทาเคโนะอุจิจึงหันมามองตาม
ผมขอโทษพวกเธอทั้งสองคนที่ปล่อยให้รอเสียนานทั้งที่ในความเป็นจริงก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าพวกเธอจะมารอไปส่งผมกันทำไม แล้วก็ไม่เข้าใจอยู่แบบนั้นแม้ว่าพวกเธอทั้งคู่จะกลับบ้านหลังจากมาส่งผมแล้วก็ตาม
—
– โอโตเมะ อามายะ –
นี่คือความรู้สึกของการไปส่งผู้ชายที่บ้าน… ช่างแปลกและแตกต่าง
ปกติเคยแต่ไปส่งเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน ความรู้สึกก็จะแค่ประมาณว่าไว้เจอกันนะ อาจจะมีจิ๊จ๊ะบ๊ะโบ๊ะเม้าท์มอยกันเล็กน้อยแล้วก็ต่างคนต่างแยกย้าย
แต่การมาส่งผู้ชายครั้งแรกของฉันกลับมีความรู้สึกหลากหลายทั้งตื่นเต้น สับสน สงสัย ดีใจ และอึดอัดไปพร้อมๆ กัน
ความตื่นเต้นนั้นย่อมมีเป็นธรรมดา นี่ฉันกำลังไปส่งผู้ชายที่บ้านเลยนะ ไปบ้านผู้ชายยย… คาดหวังหน่อยๆ เลยแหละค่ะ
แต่พอยูบิจังบอกว่าจะไปด้วยมันก็แบบ เอ๊ะ? ทำไมล่ะ? ไม่ใช่ว่ายูบิจังมีเคอร์ฟิวอยู่เหรอ? แบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ?
แม้จะสับสนสงสัยแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเพื่อนสาวคนสวยนี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายแถมเหตุผลที่เธอตามไปก็เพื่อฉันมากกว่าอาคิยามะ ก็นะ… พูดมาแบบนั้นแล้วก็ขอรบกวนหน่อยแล้วกัน
แต่อาการของอาคิยามะไม่ได้น่ากังวลอย่างที่ฉันคิดไว้ในตอนแรก จริงอยู่ว่าเขาดูอ่อนเพลียแต่มีสภาพดีกว่าเมื่อเที่ยงเยอะ สามารถพูดคุยโต้ตอบไปทันทีไม่มีดีเลย์แบบตอนพักกลางวันซึ่งนั่นทำให้ฉันโล่งใจไม่น้อย
ทว่าจู่ๆ ความโล่งใจก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความอึดอัดเมื่ออาคิยามะดูเหมือนจะหลงเสน่ห์ยูบิจังเข้าเต็มเปา ฝ่ายยูบิจังเองก็ดูท่าจะสนใจอาคิยามะอยู่เหมือนกัน
ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นความสนใจในแง่ไหน แต่ระหว่างเดินกลับทั้งคู่เหล่มองกันอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะอาคิยามะที่มีท่าทางแปลกไปจนสังเกตได้ ถามพูดอะไรด้วยก็ตอบกลับมาชนิดที่ว่าถามคำตอบคำ ดังนั้นในช่วงครึ่งหลังของการเดินทางกลับจึงเป็นการเดินทางที่ทั้งเงียบเหงาและอึดอัด
—
บ้านของอาคิยามะยังคงเหมือนเดิมอย่างที่ฉันจำได้ ที่ทางเข้ามีตู้ใส่รองเท้าเล็กๆ ที่ไม่รู้ใช้มั้ยเนื่องจากรองเท้าวางเรียงรายกันอยู่ตรงทางเข้าบ้าน
ข้างๆ บานประตูมีตะกร้าเก็บร่มวางอยู่ ร่มดำคันใหญ่ที่น่าจะเป็นคันเดียวกับที่เคยเห็นวางสงบนิ่งอยู่ในนั้น
ด้านซ้ายของทางเดินในบ้านคือประตูเชื่อมต่อเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ที่แบ่งส่วนออกเป็นโซนห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องกินข้าว และพื้นที่ซักล้างด้านหลังบ้าน
ฉันกับยูบิจังถูกอาคิยามะพามานั่งพักรออยู่ที่ห้องนั่งเล่น จากนั้นเขาก็หนีขึ้นไปชั้นสองเพื่อเก็บข้าวของของตัวเอง ก่อนไปยังใช้ให้ฉันบริการตัวและยูบิจังเผื่อวางเธอต้องการอะไร
[‘ทำไมฉันต้องมาทำหน้าที่เจ้าของบ้านด้วยนะ’]
ก็บ่นเขาในใจไปตามประสานั่นแหละแต่ก็รับคำเขาแต่โดยดี…
“ขอบคุณนะที่มาเป็นเพื่อนกัน”
ฉันพูดขอบคุณยูบิจังอีกครั้งก่อนจะนั่งลงบนโซฟาข้างๆ เธอ เนื่องจากเห็นว่าอาคิยามะแค่มาเก็บข้าวของเล็กน้อย ไม่น่าใช้เวลานาน ฉันจึงตัดการบริการเครื่องดื่มและขนมออกจากรายการต้อนรับแขกซึ่งก็คือตัวเอง
“ไม่เป็นไรหรอก จริงๆ ฉันก็อยากลองตามมาดูอยู่เหมือนกัน”
“ตามมาดู?”
“อ่ออ หมายถึงตามมาดูพวกเธอน่ะ อาคิยามะเองก็ตัวใหญ่ด้วย ถ้าเกิดเขาเป็นอะไรระหว่างทาง อามายะจังคนเดียวคงจะลำบาก”
“ก็จริง ยังดีนะที่หมอนั่นเหมือนจะอาการดีขึ้นแล้ว”
“ก็คงอย่างนั้น”
แม้ยูบิจังจะตอบฉัน แต่เธอกลับหันไปหันมามองโน่นมองนี่ไม่หยุด ท่าทางลุกลี้ลุกลนแตกต่างจากบุคลิกเคร่งขรึมที่โรงเรียนแบบเป็นคนละคน
ดูราวกับเด็กน้อยที่ถูกพามาบ้านเพื่อนครั้งแรกแล้วอยากออกสำรวจให้ทั่วแต่กลับต้องนั่งอยู่กับที่เพราะถูกผู้ปกครองสั่งไว้
เป็นอะไรที่ทั้งแปลกตาและน่ารัก
[‘คนสวยนี่ทำอะไรก็ดูดีไปหมดจริงๆ แหละนะ’]
ความสวยของยูบิจังเป็นอะไรที่แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันยังต้องยอมรับ ถ้านับแค่ความสวยอย่างเดียวในตอนนี้เธอคงจะเป็นที่หนึ่งของโรงเรียนได้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง
แต่ยูบิจังไม่ได้สวยอย่างเดียว เธอเก่งด้วย เก่งมาก แถมเก่งหลายอย่าง เก่งจนคนที่อิจฉาในความสวยของเธอต้องยอมแพ้ เก่งจนทุกคนในโรงเรียนให้การยอมรับว่าเธอคู่ควรกับความสวยนั้น
ฟังดูดี แต่ก็ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าทุกคนจะไม่ยอมรับคนสวยที่ไม่เก่ง
ฉันเคยคุยเรื่องนี้กับยูบิจังครั้งหนึ่งตอนที่ขอเคล็ดลับการดูแลผิวของเธอ
ยูบิจังบอกว่าสังคมภายนอกยังมองผู้หญิงเป็นเบี้ยล่างผู้ชายอยู่เยอะ คนที่มีดีแค่หน้าตาอย่างเดียวถ้าเป็นผู้ชายก็คงไม่เป็นไร แต่พอเป็นผู้หญิงกลับถูกคนส่วนใหญ่บอกว่าเป็นพวกสวยใสไร้สมอง แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันเองก็ยังว่า เหตุผลเพียงแค่เพราะว่าอิจฉากัน
– [‘เราไม่มีทางหยุดความอิจฉาของคนอื่นได้หรอกนะอามายะจัง แต่มีทางปิดปากคนพวกนั้นได้ วิธีการที่ว่าก็คือต้องทำให้ตัวเองเก่งพอจะขึ้นไปยืนอยู่ในจุดที่ทุกคนยอมรับให้ได้ ถึงตอนนั้นแล้วต่อให้มีคนอิจฉามากขนาดไหน พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องแหงนหน้ามองเราจากจุดที่ต่ำกว่าเท่านั้น’] –
ตอนนั้นฉันคิดว่าความคิดของยูบิจังช่างเผด็จการ แตกต่างจากบุคลิกจริงๆ ของเธอที่แสดงออกมาว่าเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาๆ คนหนึ่ง จนยูบิจังมาเฉลยตอนท้ายว่านั่นเป็นความคิดของคนคนนึงไม่ใช่ของเธอ
ฉันเดาว่าคนคนนั้นน่าจะเป็นแฟนเก่าของยูบิจัง เนื่องจากบางครั้งเธอจะเผลอพูดถึงคนคนนี้ออกมา ซึ่งฉันรู้สึกว่าหลายสิ่งหลายอย่างในตัวยูบิจังได้รับอิทธิพลมาจากคนคนนี้
“จริงซิ อามายะจังเคยมาที่นี่บ่อยมั้ย?”
[‘อ๊ะ เผลอจินตนาการเรื่องราวของคนอื่นอีกแล้ว สงสัยจะติดจากเซริกับเมกุมิมาแน่ๆ’]
ฉันบ่นตัวเองเล็กน้อยพร้อมกับดึงความคิดที่เตลิดไปไกลของตัวเองกลับมา
“เคยมาอยู่ที่นี่สองเดือน…”
“เอ๊ะ!? อยู่กับ…”
“ไม่ๆๆ ฉันหมายถึง… ตอนนั้นฉันอยู่กับพี่สาว คือเรามาเช่าบ้านหลังนี้อยู่กันราวๆ2 เดือนน่ะ”
“งั้นเหรอ? งั้นอามายะจังก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วซิว่านี่เป็นบ้านของอาคิยามะคุงน่ะ”
“เปล่าหรอก ฉันเพิ่งมารู้เมื่อไม่นานนี้เอง”
“เอ๋?”
“ก็ตอนนั้นหมอนั่นไม่ได้อยู่ที่นี่น่ะ แล้วคนที่ติดต่อเรื่องบ้านคือพี่ ฉันแค่ขอมาอยู่ด้วยเพราะมันใกล้โรงเรียนเฉยๆ”
“อ่ออ… แบบนี้เองเหรอ ฉันนึกว่าทั้งคู่… อยู่ด้วยกันแล้วอะไรแบบนั้น”
[‘อยู่ด้วยกัน? เฮะ?’]
คำสั้นๆ ที่ทำฉันเกิดภาวะบลูสกรีน ไม่รู้หรอกนะว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่ยูบิจังน่ะทำหน้าแบบสงสัยสุดๆ เลย
“ดะๆ … เดี๋ยวซิ อยู่ด้วยกันนี่คืออะไร?”
ฉันถามยูบิจังกลับไปเพื่อความชัวร์ว่าตัวเองไม่ได้คิดลึกไปเองฝ่ายเดียว
“ก็แบบคิดว่าอามายะจังกับอาคิยามะคุง…”
“บะ… บ้าแล้ว!! มันจะเป็นอย่างนั้นได้ไงเล่า”
“แต่แหม… หน้าแดงเชียวนะ”
[‘เอ๊ะ? แดงจริงดิ’]
เผลอจับหน้าตัวเองโดยไม่ทันคิดอะไร เลยถูกยูบิจังที่นั่งจ้องอยู่หัวเราะจนตัวงอ
“โอยย… นี่แกล้งกันงั้นเหรอ?”
“ฟุๆๆ … ก็ไม่คิดว่าอามายะจังจะมีปฏิกิริยาแบบนั้นอ่ะ เห็นแล้วเลยอดแกล้งไม่ได้”
“ฮึ่มมม… ไม่ขำเลยนะ”
“ฟุๆๆ”
“ยังไม่หยุดหัวเราะอีก”
“จ้าๆ หยุดแล้วๆ ขอโทษๆ อย่าโกรธเลยนะ”
“โถ่… เล่นอะไรก็ไม่รู้เธอเนี่ย”
ฉันบ่นยูบิจังผู้ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสำนึกสักเท่าไรเพราะยังกลั้นหัวเราะไปขอโทษไปอยู่
ความจริงก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรหรอก แค่รู้สึกอายนิดหน่อยที่เผลอปล่อยความต้องการลึกๆ ในใจออกมาต่อหน้าเพื่อนสนิท
“งั้นตอนนี้ล่ะ อามายะจังไม่คิดจะมาอยู่นี่บ้างเหรอ?”
[‘ยัง… ยังไม่จบ’]
“จะมาได้ไงล่ะ นี่ไม่ใช่บ้านฉันนะ”
“เอ๋… ก็เป็นบ้านแฟน…”
“ฉันกับเขาไม่ใช่แฟนกันสักหน่อย”
“ไม่ใช่เหรอ?”
“ก็… ไม่ใช่หรอก ตอนนี้เป็นแค่เพื่อนกันน่ะ”
“ไม่ใช่อาคิยามะคนนี้เหรอที่อามายะจังแอบชอบน่ะ?”
“เดี๋ยวซิ เสียงดังไปแล้ว ละ…แล้วฉันไปบอกแบบนั้นตอนไหนน่ะ”
ยูบิจังทำตาโตกลับมา ท่าทางของเธอเหมือนเด็กที่กำลังเจอเรื่องสนุกๆ
“งั้นเหรอ? ถ้างั้นฉันจีบเขาได้ซินะ”
“เอ๊ะ?”
บลูสกรีนเป็นครั้งที่สอง…
ทำไมจู่ๆ บทสนทนาถึงได้เปลี่ยนไปเป็นแบบนั้นได้ล่ะ ฉันมองหน้ายูบิจัง พยายามค้นหาความหมายของคำพูดที่เธอเพิ่งพูดออกมา แต่กลับเจอแค่ใบหน้าสวยได้รูปที่ยิ้มแย้มให้ฉันเหมือนทุกที
“ฟุๆๆ อามายะจังทำหน้าดุเชียว ที่เก๊กๆ ไว้ก่อนหน้านี้หลุดออกมาหมดแล้วนะ ฟุๆๆ”
“ยัยบ้า!!”
ฉันคว้าหมอนที่อยู่ตรงนั้นฟาดยูบิจังที่หัวเราะเบาๆ เธอรับหมอนไว้พร้อมกับขอโทษที่แกล้งกันแต่ก็ยังหัวเราะไม่หยุดตามเคย
ใช้เวลานานพอสมควรเลยกว่าเราทั้งคู่จะสงบลงได้
“โอยยย… หัวเราะจนน้ำตาไหลเลยอ่ะ”
“กล้าพูดนะ ตัวเองเป็นคนแกล้งคนอื่นเขาแท้ๆ”
“ก็แหม อามายะน่าแกล้งออกนินา”
“หึๆๆ ทีใครทีมันนะคร้าาา…”
“อ๊ะ! เอาจริงเหรอ?”
“หึๆๆ …”
“แง… งั้นฉันไปฟ้องอาคิยามะนะ”
“ไหงงั้น หมอนั่นเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ?”
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าอามายะแกล้งฉันจะไปฟ้องเขา”
“เดี๋ยวนี้ชักขี้โกงเก่งขึ้นทุกวันแล้วนะยูบิจัง”
“เขาเรียกว่ามีการเจริญเติบโตค่ะคุณรองประธาน”
“คนหรือต้นไม้เนี่ย”
“นางฟ้าต่างหาก”
“โอ้ววว… ยอมรับแล้วซินะแม่เทพธิดา”
“ก็แบบว่าเล่นเองเจ็บน้อยหน่อยไง”
“ใครเขาจะคิดว่าว่าที่ประธานจะมาเล่นมุกโบ๊ะบ๊ะแบบนี้”
“ไม่เห็นเป็นไรนิ รองประธานก็ช่วยชงช่วยตบมุกอยู่ ถือว่าช่วยกันทำมาหากินไง”
“ไหงเหมือนกลายเป็นคู่สามีภรรยากันไปแล้ว”
“ฟุๆๆ งั้นอามายะเป็นภรรยานะ”
“ฉันอยากเป็นสามีมากกว่าอ่ะ”
“เอ๊ะ… อามายะลามก”
“เดี๋ยวเถอะ”
“ฟุๆๆ ฮ่าๆๆ” / “คิกๆๆ ฮ่าๆๆ”
สุดท้ายก็กลายเป็นบทสนทนาที่หาสาระอะไรไม่ได้ เราคุยเล่นเรื่อยเปื่อยกันไปจนกระทั่งถึงตอนที่อาคิยามะลงมา นั่นแหละฉันถึงรู้สึกตัวอีกครั้งว่าอาคิยามะที่อยู่ต่อหน้ายูบิจังนั้นแปลกไปกว่าปกติ
—
“ขอบคุณที่มาเป็นเพื่อนกันนะ แต่กลับช้าแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ?”
ระหว่างรอรถไฟด้วยกันฉันเอ่ยขอบคุณยูบิจังที่มาส่งอาคิยามะเป็นเพื่อนกัน
“ไม่เป็นไรหรอก ตอนฉันลำบากอามายะจังก็เข้ามาช่วย ถ้าอามายะมีเรื่องลำบากเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ฉันจะต้องช่วย อีกอย่างฉันก็อยากจะเจอคนที่อามายะจังให้ความสนใจอยู่เหมือนกันนั่นแหละ อยากรู้ว่าเธอจะสนใจคนแบบไหนน่ะ เพราะงั้นไม่ต้องเกรงใจหรอก”
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่แบบนี้ยูบิจังจะไม่โดนที่บ้านว่าใช่มั้ย? มันจะถึงเคอร์ฟิวที่เธอเคยบอกแล้วด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงต่อไปก็อาจจะต้องกลับช้าอยู่แล้ว ที่บ้านเข้าใจแล้วล่ะ”
“งั้นเหรอ”
เสียงประกาศเตือนรถไฟเข้าเทียบชานชาลาทำให้บทสนทนาของเราขาดตอนไป ฉันยืนฟังประกาศนั้นโดยมียูบิจังยืนอยู่ข้างๆ เงียบๆ
รถจอดเทียบนิ่งสนิท ทันทีที่ประตูเปิดออกเหล่าผู้โดยสารในขบวนก็ทยอยกันเดินออกมา ในขณะที่ผู้โดยสารในสถานีต่างก็ทยอยกันเข้าสู่ขบวนรถ
“งั้นไปก่อนนะอามายะจัง”
“อื้ม วันนี้ขอบคุณนะ”
“เจอกันวันจันทร์นะ อ่ออ… จริงซิ อามายะจังน่ะชอบอาคิยามะคุงใช่มั้ย?”
“ก็บอกว่า…”
“ฟุๆๆ ไม่ต้องเขินหรอก ก็พวกเราน่ะชอ…”
[ขบวนรถกำลังจะปิด ขอความกรุณาถอยห่างจากตัวรถเพื่อความปลอดภัย ]
เสียงประกาศในสถานีทำให้ประโยคสุดท้ายของยูบิจังขาดหายไป ฉันไม่รู้ว่าเธอตั้งใจจะพูดอะไรแล้วก็คงไม่มีทางได้รู้แล้วด้วย
เด็กสาวผู้งดงามหันกลับมามองฉันผ่านทางกระจกประตูรถไฟ รอยยิ้มอ่อนโยนที่มีไว้ให้คนเป็นเพื่อนยังคงประดับอยู่บนใบหน้าของเธอ
ฉันส่งยิ้มกลับไปให้ มองส่งเธอจนกระทั่งรถไฟแล่นหายลับไปจากสายตา ในใจภาวนาด้วยความเห็นแก่ตัว
[‘ขอให้ครั้งนี้พวกเราอย่าได้ชอบอะไรเหมือนๆ กันเลย’]
MANGA DISCUSSION