บทที่ 180 สหายเมิ่ง ขอแสดงความเสียใจด้วย
เมื่อทุกคนได้ยินที่ซุนไท่กงเอ่ย จึงพากันเข้ามาช่วย
ไม่นานนัก แคร่ไม้ก็ถูกจัดเตรียมขึ้นในลานบ้านของสกุลเมิ่ง ท่านหมอเฉินอุ้มร่างของหลี่เยว่หานขึ้นพาดบ่า ส่วนมู่ชวนก็จับมือของหลิงซีเอาไว้ตลอด ก่อนจะวางร่างแต่ละคนลงบนแคร่ไม้
บ้านสกุลเมิ่งเต็มไปด้วยแสงสว่าง ทุกคนจึงมองเห็นว่าใบหน้าของหลี่เยว่หานและหลิงซีกลายเป็นสีคล้ำ ประหนึ่งร่างไร้วิญญาณไม่มีผิด แม้แต่บ้านที่ตามปกติแล้วไม่ค่อยได้คบค้ากันสักเท่าไหร่ ยังพากันโศกเศร้า
“วันนี้เมื่อตอนเที่ยง หลี่เยว่หานก็ซื้อไก่จากบ้านข้าไปด้วย บอกว่าจะนำไปใช้ทำน้ำแกงบำรุงให้สหายเมิ่ง ผู้ใดจะทันคาดคิด…”
จินเสวี่ยเอ๋อร์เห็นว่าหลี่เยว่หานและหลิงซีสิ้นใจไปแล้วจริง ๆ ก็ทรุดตัวนั่งลงบนพื้น ดวงตากลมโตฉายแววความว่างเปล่า ไม่ทราบเลยว่ากำลังคิดการณ์อันใด
หากแต่หวังเหอฮวาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างองอาจ พลางยกนิ้วมือยื่นเข้าไปตรวจดูลมหายใจของหลี่เยว่หาน ก่อนจะตกใจจนเซถอยหลัง “เหตุใด… เหตุใดจึงตายจริง ๆ …ข้าบอกนางแล้วแท้ ๆ นางเองก็ทราบดี…”
“จริงสิ” หวังเหอฮวาเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะไปยืนขวางหน้าซุนไท่กง “ในตอนนั้น หลี่เยว่หานได้ลองตรวจดูแล้วว่าคำพูดของข้าเชื่อถือได้หรือไม่ จึงได้ไปซื้อไก่มาหนึ่งตัวจากบ้านของจวี๋ฮวาที่อยู่ถัดจากกัน หลังจากกินเนื้อตุ๋นได้ไม่นานไก่ตัวนั้นก็น้ำลายฟูมปากและตายไป ข้าจะไปตรวจดูไก่ที่ฝังเอาไว้ในสวนหลังบ้าน”
“พี่เหอฮวา! ท่านอยากให้บ้านข้ากลายเป็นเช่นไรจึงจะพอใจท่านกัน!” มู่ชวนเอ่ยขณะยืนปาดน้ำตา “สวนหลังบ้านเป็นที่ที่อาหญิงของข้าชอบปลูกของที่เอาไว้ใช้ทำอาหารตลอด แล้วจะฝังไก่ที่ตายด้วยยาพิษลงในนั้นได้อย่างไร? เช่นนั้นแล้วปุ๋ยดินในสวนหลังบ้านก็จะปนเปื้อนพิษไปเสียหมดมิใช่หรือ!”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้… ข้าบอกนางแล้ว… เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…” ท่าทางของหวังเหอฮวาดูแทบไม่อยากจะเชื่อ ในเวลาต่อ นางก็เป็นลมหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของคนใช้ที่นางพามาด้วย
“ดึกมากแล้ว ทุกคนกลับไปพักผ่อนเสียเถิด พรุ่งนี้พ่อหนุ่มเมิ่งก็กลับมาแล้ว บ้านสกุลเมิ่งจะได้สะสางทุกอย่าง ถึงเวลานั้นคงต้องวอนขอความช่วยเหลือจากทุกคนแล้วล่ะ” ซุนไท่กงกล่าวพลางถอนหายใจก่อนจะก้าวเดินออกไปพร้อมไม้เท้าค้ำยันคู่กาย
ส่วนมู่ชวนยืนอยู่กับ ‘ศพ’ ทั้งสองร่าง โดยร่างหนึ่งตัวใหญ่ส่วนอีกร่างตัวเล็ก ท่าทางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ในมือยังคงจับด้ามขวานเอาไว้แน่น หลิวโหย่วฉายเกลี้ยกล่อมเขาอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่ยอมวางมันลง กลับจ้องมองไปยังจินสวี่ยเอ๋อร์ด้วยแววตาโกรธแค้น
มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นอันเงียบสงบ ตลอดทั้งคืนนี้ บ้านสกุลเมิ่งเต็มไปด้วยแสงสว่าง ทุกคนเองก็นอนไม่หลับเช่นกัน
ท่านหมอเฉินใช้ข้ออ้างเรื่องที่เมิ่งฉีฮ่วนยังไม่กลับมา จึงจำเป็นต้องพักค้างแรมอยู่กับมู่ชวนและหลิวโหย่วฉายตลอดทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงของกีบม้ากระทบดังมาจากที่ไกล ๆ ก่อนจะมาหยุดลงตรงหน้าประตูบ้านสกุลเมิ่ง
เมิ่งฉีฮ่วนลงมาจากรถม้า พลางตะโกนซ้ำ ๆ อยู่หน้าประตูบ้าน “เยว่หาน! เยว่หาน! เจ้าตื่นหรือยัง! ข้ากลับมาแล้ว!”
แอ๊ด…
ประตูบ้านของสกุลเมิ่งถูกเปิดออก มู่ชวนที่ไม่ได้นอนทั้งคืนเดินออกมาพร้อมทั้งดวงตาแดงก่ำ
เมื่อเมิ่งฉีฮ่วนเห็นภาพนี้ ก็รู้สึกเหมือนภายในใจเต้น ‘ตุบตุบ’ เหมือนจะกระตุกวูบลง ก่อนจะวางของที่อยู่ในมือแล้วก้าวเดินเข้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว “เกิดอะไรขึ้น? ที่บ้านเกิดเรื่องอันใดหรือ?”
“ท่านอา…” น้ำตาที่อัดอั้นเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนของมู่ชวนก็ไหลรินลงมาในที่สุด ก่อนจะพุ่งเข้าสวมกอดเมิ่งฉีฮ่วนแล้วร้องไห้เสียงดัง “ท่านอาหญิงกับหลิงซีไม่อยู่แล้ว! พวกนางจากไปแล้ว!”
เมื่อได้ยินดังนั้น เมิ่งฉีฮ่วนก็รู้สึกเหมือนมีเสียง ‘วิ๊ง’ ดังขึ้นในหัว ก่อนจะรีบอุ้มมู่ชวนขึ้นมาแล้วรีบวิ่งเข้าประตูไป
ทันทีที่ก้าวพ้นเข้าประตู ก็ได้เห็น ‘ศพ’ สองร่างวางนอนอยู่บนสนาม ภายในใจรู้สึกว่างเปล่าในทันที
“เป็นไปได้อย่างไร…” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา พลางก้าวเดินไปหยุดอยู่ข้างกายของหลี่เยว่หานและหลิงซี ก่อนจะจ้องมองร่างที่ซีดเซียวราวกับไร้การไหลเวียนเลือดของทั้งสองด้วยสายตาเหลือเชื่อ ชายชาตรีสูงราว ๆ เจ็ดฉื่อหลั่งรินน้ำตาของตน “เยว่หาน! เยว่หานเจ้าตื่นสิ เจ้าตื่นสิ! ข้ากลับมาแล้ว ข้าจะไม่ออกไปไหนอีกแล้ว เจ้าตื่นสิ!”
เมื่อได้ยินเสียงคร่ำครวญของเมิ่งฉีฮ่วน ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงรีบสวมเสื้อผ้าแล้วเดินมายังบ้านสกุลเมิ่ง จินเสวี่ยเอ๋อร์ที่โดนเชือกมัดเอาไว้หลายเส้นก็ค่อย ๆ ตื่นขึ้นมาเช่นกัน
หลิวโหย่วฉายที่พักค้างแรมอยู่ เดิมทีรู้สึกง่วงมาก แต่เมื่อได้ยินเสียงของเมิ่งฉีฮ่วนเขาก็ตื่นขึ้นทันทีพลางก้าวเดินมา “พี่เมิ่ง ข้าขอโทษที่ไม่สามารถช่วยดูแลครอบครัวของท่านได้ จนนังผู้หญิงเลวคนนี้สบโอกาส ใส่ยาพิษลงในหม้อ เมื่อวานนี้หมอเฉินช่วยเอาไว้ได้ครู่หนึ่ง แต่เมื่อตกเย็น ฮูหยินกับ… หลิงซี… ก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีก…”
หลังจากฟังคำพูดของหลิวโหย่วฉายแล้ว เมิ่งฉีฮ่วนจึงปรายตาหันไปมองที่จินเสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ตรงมุมด้านใน
โดยไม่รอให้หลิวโหย่วฉายรู้ตัว เมิ่งฉีฮ่วนก็หยิบขวานขึ้นมาหวังจะพุ่งเข้าไปสับร่างของจินเสวี่ยเอ๋อร์
สิ่งที่แตกต่างจากมู่ชวนคือ เมิ่งฉีฮ่วนเป็นบุรุษผู้เติบใหญ่แล้วจึงแข็งแรงกว่ามาก หลิวโหย่วฉายเพียงคนเดียวจึงไม่สามารถห้ามปรามความคลุ้มคลั่งของเมิ่งฉีฮ่วนในตอนนี้ได้เลย ชาวบ้านในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นที่กำลังง่วงนอนกันอยู่ต่างตกใจตื่นเมื่อเห็นภาพนี้ ชายหนุ่มหลายคนรีบพุ่งตัวเข้ามา ร่วมกันใช้พละกำลังมหาศาลเพื่อหยุดเมิ่งฉีฮ่วนเอาไว้ พลางรีบคว้าขวานออกจากมือของเขา
จินเสวี่ยเอ๋อร์รอดชีวิตอีกครั้งอย่างหวุดหวิด
ซุนไท่กงมาถึงช้า เมื่อก้าวผ่านเข้าทางประตูใหญ่เข้ามาแล้วจึงได้เห็นทุกคนช่วยกันห้ามเมิ่งฉีฮ่วนเอาไว้ เขาจึงเอ่ยขึ้น “พ่อหนุ่มเมิ่ง! เจ้าใจเย็นเสียหน่อยเภิด! คนตายไปแล้วไม่สามารถฟื้นคืนได้ เจ้ายังมีมู่ชวนที่ต้องดูแล อย่าทำลายชีวิตตัวเองเพราะผู้หญิงคนนี้เลย! เช่นนั้นแล้วมู่ชวนจะทำเช่นไร!”
เมื่อได้ฟังคำพูดของซุนไท่กง สุดท้ายเมิ่งฉีฮ่วนก็สงบลงได้ครู่หนึ่ง แต่สายตาของเขาก็ยังจับจ้องไปยังจินเสวี่ยเอ๋อร์อย่างดุเดือด ก่อนจะนั่งลงข้างแคร่ไม้ที่ทุกคนร่วมด้วยช่วยกันตั้งขึ้นเพื่อวาง ‘ศพ’ ของหลี่เยว่หานและหลิงซี เขารู้สึกอัดแน่นจนหายใจแทบไม่ออกพลันแววตาแดงก่ำ
เมื่อหมอเฉินเห็นเช่นนั้น ก็ได้แต่ถอนหายใจ พลางย่อตัวนั่งลงข้างเมิ่งฮีฮ่วน “คนตายฟื้นคืนไม่ได้ สหายเมิ่ง ข้าเสียใจด้วย”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็ตบบ่าเมิ่งฉีฮ่วน ก่อนจะใช้เวลาไม่นานเพื่อกระซิบเข้าที่ข้างหูของเขา “ยาไทซี”
เพียงคำพูดสามพยางค์ เมิ่งฉีฮ่วนก็เรียงลำดับเหตุการณ์ได้ในทันที นอกจากนี้ เมื่อวานตอนที่เขาอยู่ที่เมืองชิง ยังได้รับสาสน์จากนกกระจอก จึงสงบจิตสงบใจลงได้
ถึงแม้ว่าสาสน์ที่มู่ชวนเขียนมาให้ แจ้งเพียงว่ามีคนในครอบครัวถูกวางยาพิษเท่านั้น แต่เขาก็คาดเดาเอาไว้ว่าพวกเขาอาจหาวิธีรับมือเฉพาะหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปในเมื่อวาน
“ท่านปู่ซุน” เมิ่งฉีฮ่วนยันตัวลุกขึ้นยืนจากพื้น ก่อนจะเดินมาหาซุนไท่กง ยังคงมีอาการหายใจติดขัดและดวงตาแดงก่ำอยู่ “แจ้งทางการไปหรือยัง?”
“เมื่อวานข้าส่งคนไปแจ้งทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รอเวลาก่อน เจ้าหน้าที่ทางการและทางบ้านสกุลหลิ่วจะมาที่นี่โดยเร็ววัน”
“ตระกูลหลิ่ว?” เมิ่งฉีฮ่วนรู้สึกสับสน
“เยว่หานเป็นบุตรสาวบุญธรรมของตระกูลหลิ่ว จึงต้องส่งคนไปแจ้งข่าวให้ตระกูลหลิ่วทราบด้วย” ซุนไท่กงเอ่ยอธิบาย
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เมิ่งฉีฮ่วนดูนิ่งสงบมากกว่าบุคคลภายนอกอยู่ไม่น้อย
แต่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียภรรยากลับเขียนไว้บนใบหน้าอย่างชัดเจน เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นจึงจินตนาการได้ว่าจิตใจของเขาแตกสลายมากเพียงใด
เมิ่งฉีฮ่วนเข้าใจคำพูดของซุนไท่กงแล้ว จึงไม่ต้องลงมือทำสิ่งใดนอกจากนั่งอยู่บนพื้นอย่างเงียบ ๆ เขาจ้องมองไปยังร่างของหลี่เยว่หานและหลิงซีที่นอนอยู่บนนั้น มู่ชวนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ร้องไห้แล้วร้องไห้อีกจนสลบไป ตอนนี้ท่านหมอเฉินจึงต้องพาเขาเข้าไปฝังเข็มตรงลานด้านในบ้าน
อาจารย์หลี่ได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับสกุลเมิ่ง ในยามเช้าจึงพาฮูหยินของตนมายังบ้านสกุลเมิ่ง เมื่อก้าวข้ามผ่านประตูเข้ามาก็ได้เห็นภาพตรงหน้า ฮูหยินหลี่ร้องห่มร้องไห้ในทันที
อาจารย์หลี่ท่าทางสงบกว่ามาก พลางตบบ่าเมิ่งฉีฮ่วน “สหายเมิ่ง ขอแสดงความเสียใจด้วย”
MANGA DISCUSSION